--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพุธที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ดึงน้ำฆ่าปู. แผนแตก เจอม.31 !!?

ในห้วงเวลาวิกฤต จะช่วยให้รู้ซึ้งถึงแก่นแท้ของคนแต่ละคน ว่าจริงๆแล้วเป็นเทพ หรือเป็นมาร ยึดมั่นผลประโยชน์ประชาชน หรือว่ามุ่งหวังแต่ผลประโยชน์ส่วนตัว

ยิ่งกับอุทกภัยครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในรอบนี้ ไม่ใช่เรื่องเล็กๆที่จะช่วยให้บรรดา “อีแอบ”ทั้งหลาย ยังสามารถที่จะซ่อนหางได้อย่างมิดชิด ใครเป็นอย่างไรในวันนี้เชื่อว่าประชาชน คนไทยที่โดนน้ำท่วมต่างก็รู้กันดีมากขึ้น

เพราะความเดือดร้อนนั้นแผ่กระจายโดยตรงไปกว่าครึ่งค่อนประเทศ พลังของน้ำนั้นกวาดเรียบไล่มาจากภาคเหนือ ลงสู่ภาคกลาง เพื่อต้องการที่จะไหลลงสู่อ่าวไทย

แต่ปัญหาใหญ่ที่เกิดขึ้นก็คือ กรุงเทพฯซึ่งเป็นเมืองหลวง ซึ่งเป็นใจกลางของเศรษฐกิจที่สำคัญของคนไทยทั้งประเทศ ดันมาเป็นเมืองที่ขวางทางลงของมวลน้ำที่จะไหลลงสู่อ่าวไทย

ถ้ากรุงเทพฯท่วม ความเสียหายที่ว่ากันว่าขณะนี้อยู่ที่ 2-3 แสนล้านบาทนั้น จะทวีคูณความเสียหายขึ้นเป็น 4-5 แสนล้านบาทเลยก็เป็นได้ ถือเป็นความเสี่ยงสูงสุดสำหรับรัฐบาลในการตัดสินใจ

กรีดน้ำแหวกออกซ้ายขวา เพื่อให้กรุงเทพฯเป็นไข่แดงตรงกลาง ในทางปฏิบัติก็ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายอยู่แล้ว แต่ก็ยังต้องเจอกับปัญหาจังหวัดรอบข้าง หรือเมืองบริวารของกรุงเทพฯที่กลายเป็นแหล่งรับน้ำแทน
วันนี้ด้านตะวันตก ปทุมธานี นนทบุรี โดยเฉพาะปากเกร็ด บางบัวทอง บางใหญ่ บางกรวย ไทรน้อย กลายเป็นเมืองล่มไปหมดแล้ว

แถมยังมีนครปฐม บางเลน ที่กำลังกลายเป็นทางผ่านของน้ำเพื่อป้องกันกรุงเทพฯ
ไม่แตกต่างกับด้านตะวันออกที่จะมีการผันน้ำเข้าสู่ 5 คลองหลัก ใน 4 เขต ได้แก่ มีนบุรี หนองจอก ลาดกระบัง และคลองสามวา เพื่อให้ไหลลงสู่อ่าวไทย

แน่นอนว่าต้องผ่านรังสิต เฉียดกรุงเทพฯ ออกฉะเชิงเทรา กระทบกันอ่วมไปตามๆกัน
หนีไม่พ้นที่จะเป็นแรงกดดันสำหรับรัฐบาล ที่โดนตั้งคำถามว่า ตัดสินใจได้ถูก หรือเหมาะสมเพียงใด???
แต่ที่ร้ายที่สุดก็คือประเด็นโจมตีทางการเมือง เป็นภัยแทรกซ้อนขึ้นมาในสภาวะวิกฤตอุทกภัยใหญ่
ไม่น่าเชื่อว่า จะมีพฤติกรรมเช่นนี้เกิดขึ้นมาได้ในภาวะหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้
หัวจิตหัวใจของคนบางกลุ่มที่เรียกตัวเองว่าเป็นนักการเมืองนั้นไม่รู้ว่าทำด้วยอะไร จึงอำมะหิตได้อย่างไม่รู้จักกาละเทศะเช่นนี้

ในขณะเดียวกัน ก็ยังมีกลุ่มคนในสังคมบางกลุ่มที่ไม่ได้มากมายอะไร เพราะพิสูจน์ให้เห็นชัดจากความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคมที่ผ่านมา... ชัยชนะอย่างท่วมท้นของพรรคเพื่อไทย ด้วยจำนวนเสียงของผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งกว่า 15 ล้านคน

เป็นข้อพิสูจน์ได้เป็นอย่างดี ว่าขั้วการเมือง 2 ขั้ว รวมทั้งบรรดาตัวแทรกทางการเมือง ที่พยายามปลุกปั่นสร้างสาวกเอาไว้เป็นอำนาจใจการต่อรองทางการเมืองนั้น
ของจริง ของแท้ในมือของแต่ละขั้วนั้น มีเท่าไรกันแน่

แต่เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองที่มุ่งหวัง แม้จะชัดเจนว่าเป็นแค่ชนกลุ่มน้อย แต่ก็พยายามทำตัวเป็นคนกลุ่มน้อยที่ขยันพูด ขยันวิจารณ์ ขยันปั่นกระแส และขยันโจมตี

พยายามทำทุกทางเพื่อที่จะให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองให้ได้ แม้ว่าจะรู้ทั้งรู้ว่ารัฐบาลชุดปัจจุบันเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอย่างแท้จริง และก็ไม่ได้มีการจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหารเลยสักนิด
ทุกวันนี้ในโซเชี่ยลเน็ตเวิร์กที่คนกลุ่มนี้เข้าถึงได้มีการพยายามปั่นประแส เพื่อหาเรื่องโจมตีรัฐบาลในทุกเรื่อง โดยไม่สนว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ไม่สนว่าจะเป็นการบิดเบือน เป็นการกล่าวหาที่ไม่มีความจริงเลยสักนิด

หรือไม่ได้กังวลเลยสักนิดว่า จะเขียนข้อความโดยมีการกล่าวอ้างที่พาดพิงไปถึงสถาบันใดๆ
เห็นนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ทำงานสู้น้ำท่วมเคียงคู่กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ก็ตาร้อนผ่าวกลัวว่า หากยังร่วมมือทำงานไปด้วยกันเรื่อยๆ จะเกิดความเข้าใจกัน จะเกิดความร่วมมือกันแน่นแฟ้นขึ้น

พอถึงเวลาจะยุแยงตะแคงรั่วให้แตกกันลำบาก จะยุให้กองทัพทำการปฏิวัติรัฐประหารได้ไม่ง่าย ก็เลยต้องเสี้ยมเสียตั้งแต่ตอนนี้

แค่รัฐบาลตัดสินใจออกคำสั่งภายใต้ พ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยปี 2550 มาตรา 31 ในการเตือนภัยพิบัติร้ายแรง โดยให้ทุกหน่วยงานขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี เพื่อการทำงานที่เป็นเอกภาพ
ก็เร่งแปลงสารว่า รัฐบาลรวบอำนาจ นายกฯปูอยากเป็นใหญ่ อยากเก่งคนเดียว

ทั้งๆที่มาตร 31 เป็นเรื่องการการรวมศูนย์ในการทำงานเพื่อให้เกิดพลังสามัคคี เนื่องจากที่ผ่านมาเจอทั้งพวกที่เข้าเกียร์ว่าง พวกมือไม่พายเอาเท้าราน้ำ และพวกที่พยายามปัดแข้งปัดขาในการทำงานอย่างไม่ละอาย

ยิ่งในการปกป้องพื้นที่ กทม. ไม่น่าเชื่อว่ายังดันทะลึ่งมีการแบ่งขั้วการเมืองกันอยู่อีก รัฐบาลเป็นเรื่องของนายกฯปูกับพรรคเพื่อไทย ในขณะที่ กทม.ต้องเป็นเรื่องของ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร และพรรคประชาธิปัตย์ เท่านั้น

แต่เวรกรรมในพรรคประชาธิปัตย์เอง ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ ก็โดนเล่นกันเองแทงกันเอง เพราะบางกลไกในกทม. ดันถูกขีดเส้นแบ่งว่า นี่คือคนของผู้ว่าฯคนนี้ แต่อีกกลุ่มเป็นคนของอดีตผู้ว่าฯกทม.อีกคน
เล่นกันเละตุ้มเป๊ะ จนทำให้การระวังป้องกันและการระบายน้ำใน กทม. ไม่เป็นเอกภาพ
ทำเอาคน กทม.ต้องลุ้นระทึกว่า ฟังรัฐบาลอย่งหนึ่ง ฟังผู้ว่าฯ กทม.ก็อีกอย่างหนึ่ง ยิ่งถ้าฟังพรรคประชาธิปัตย์บางคนที่หวังเขย่าสถานการณ์ด้วยแล้วยิ่งไปกันใหญ่
ไม่รู้ว่า กรุงเทพฯจะรอดน้ำท่วมหรือไม่รอดกันแน่

คนกรุงเทพฯหลายคนบอกฟังข่าวของคนพวกนี้บางทีอยากจะเขวี้ยงให้โทรทัศน์พัง แต่นึกได้ว่าโทรทัศน์เป็นของตัวเอง พังไปนักการเมืองพวกนั้นก็ไม่รู้สึก สู้จดใส่บัญชีเอาไว้ว่า ไม่ว่าอย่างไรก็จะไม่ขอเลือกคนพวกนี้เป็นเด็ดขาดน่าจะดีกว่า

เพราะมีอย่างที่ไหน พอเล่นงานเรื่อง ม.31 ไม่ได้ผล ก็หันมากดดันว่าจะต้องใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯเหมือนกับรัฐบาลที่ผ่านมา ซึ่งใช้ตอนสลายการชุมนุมของประชาชน โดยหวังว่าจะได้เป็นข้ออ้างว่า เห็นหรือไม่ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯนั้น รัฐบาลนายกฯปู ก็มีการประกาศใช้เหมือนกัน

ฟังแล้วนอกจากสมเพชแล้ว ยังอดนึกถึงนิทานอีสป เรื่อง หมาจิ้งจอกหางด้วนไม่ได้
ตัวเองหางด้วนตัวเดียวไม่พอ ต้องพยายามให้คนอื่นหางด้วนไปด้วย
นี่หรือคือการเมืองสร้างสรรค์???

แม้แต่ความสูญเสียของประชาชน ก็ยังเอามาเป็นประเด็นทางการเมืองได้อย่างหน้าตาเฉย ก็กรณีการเสียชีวิตอย่างน่าสลดของคนในชุมชนบางบัวทองจำนวน 8 ศพนั้น รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ฉวยโอกาสออกมากระตุ้นประชาชนให้ฟ้องศาลเล่นงานนายกฯยิ่งลักษณ์ โดยไม่รู้ ไม่มีข้อมูลความจริงเลยแม้แต่น้อย
เพราะคนที่ออกมาพูดเจื้อยแจ้ว ไม่ได้ไปลงพื้นที่บางบัวทองเลยสักนิด

จึงไม่รู้ว่า จริงๆแล้วการไฟฟ้าฯได้มีการตัดไฟไปแล้ว ก่อนเกิดโศกนาฏกรรม แต่หลังตัดไฟทำให้คืนนั้นตลาดบางบัวทองมืดมิด บรรดาสวะมนุษย์ที่ฉวยโอกาสซ้ำเติมผู้เดือดร้อน ได้ออกมาโจรกรรมลักขโมย งัดแงะบ้านเรือนในบางบัวทองเป็นจำนวนมากมาย

จึงทำให้คนบางบัวทองต้องไปร้องขอทางการไฟฟ้าฯให้ช่วยต่อไฟกลับมา เพราะทนถูกโจรกรรมไม่ไหว จนนำมาซึ่งโสกนาฏกรรมในที่สุด

ชาวบ้านบางบัวทองเข้าใจในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมจึงมีการเอาการตายของผู้คนซึ่งเป็นเรื่องน่าเศร้า ให้กลายมาเป็นประเด็นทางการเมืองเยี่ยงนี้ ไม่รู้สึกอะไรเลยอย่างนั้นหรือ
ไม่รู้ว่าระหว่าง สวะมนุษย์ กับ สวะการเมือง ที่มากับน้ำท่วมใหญ่ครั้งนี้ อะไรย่ำแย่กว่ากัน อะไรเป็นสวะที่สมควรจะถูกกำจัดให้หมดไปจากสังคมไทยมากกว่ากัน???

หรืออย่างกรณีของมหาวิทยาลัยธรรมศาตร์ศูนย์รังสิต ซึ่งอุทิศตัวอุทิศสถานที่รับใช้ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนที่ประสบภัย ตามแนวอุดมการณ์ของธรรมศาสตร์ ของท่านผู้ประศาสน์การ ปรีดี พนมยงค์

แม้ว่าสุดท้ายธรรมศาตร์รังสิตเองจะต้องประสบชะตากรรมน้ำท่วมเสียเอง แต่ก็ยังไม่ทอดทิ้งประชาชน ไม่ปล่อยวางภารกิจ

ในขณะที่ที่อื่นๆนิ่งเงียบ แต่ที่แย่สุดๆก็คือบางที่กลับยังปั่นกระแสปล่อยข่าวไม่หยุด โดยไม่คิดจะทำภารกิจช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อนเลยแม้แต่น้อย

ก็แบบนี้นี้แหละที่ทำให้ขณะนี้กระบวนการข่าวลือ ดูเหมือนจะมีออกมาเป็นลูกระนาดอย่างผิดปกติ เป้าหมายก็คือการมุ่งโจมตีรัฐบาลและนางสาวยิ่งลักษณ์
เพื่อหวังให้เกิดการพลิกขั้วทางการเมืองให้ได้

ทำกันเป็นกระบวนการ โดยที่มีสื่อบางสื่อ มีสถานีโทรทัศน์บางช่องออกมาเขย่าขวัญประชาชนตลอดเวลา พร้อมกับเสนอข่าวไปในทิศทางเดียวกันว่า การช่วยเหลือล่าช้า การช่วยเหลือไม่ทั่วถึง
แต่ในขณะเดียวกันกลับมีสวะอีกกลุ่มหนึ่ง ที่ไม่น่าเชื่อว่าจะลงทุนกลั่นแกล้งเพื่อขัดขวางการช่วยเหลือของภาครัฐ ขัดขวางการนำรถทหาร รถโดยสาร รถบรรทุก ที่จะเข้าไปขนคนออกมา ด้วยการโรยตะปูเรือใบ ไม่ให้เอารถเข้าไปช่วยคนได้สะดวก

ต้องการโจมตีทางการเมือง ถึงกับเอาความเดือดร้อนของผู้คนมาเป็นเครื่องมือ ใครที่ทำเรื่องเช่นนี้ได้ลงคอ ต้องถือว่า แย่ยิ่งกว่าสวะที่ลอยตามน้ำท่วมในเวลานี้เสียอีก

สภาพที่เกิดขึ้นในขณะนี้ แทนที่ขั้วการเมืองต่างๆจะถือเป็นภาวะวิกฤตที่ต้องช่วยกันกอบกู้ช่วยเหลือประชาชนโดยไม่แบ่งเขาแบ่งเรา เพื่อให้ประเทศชาติผ่านพ้นวิกฤตให้ได้
แต่กลับกลายเป็นว่า ฉวยวิกฤตประชาชน เพื่อหวังผลทางการเมืองเสียนี่…..
น้ำท่วมรอบนี้ สวะลอยเกลื่อนเมืองเกลื่อนประเทศจริงๆ!!

ที่มา:บางกอกทูเดย์.
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////<

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น