--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ยิ่งลักษณ์.ผุด บิ๊ก โปรเจค New Thailand 8 แสนล้าน วางระบบน้ำ !!?




รัฐบาลวางแผนจัดงบประมาณ 6-8 แสนล้านโครงการใหญ่'New Thailand'วางระบบน้ำใหม่ ฟื้นฟูประเทศในระยะยาว ต่อเนื่องจากแผนน้ำลดที่นำร่อง 1 แสนล้าน

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พลังงาน กล่าวภายหลังประชุมร่วมกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.คมนาคม น.อ.อนุดิษฐ นาครทรรพ รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารว่า ในที่ประชุมได้ทางนายกฯ ได้กำชับการทำงาน เพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในขณะนี้อย่างเร่งด่วน

นายกฯ ยังได้เสนอแผนฟื้นฟูสองระยะ คือ ระยะแรกภายใน 1 ปีหลังจากน้ำลด จะใช้งบประมาณ 1 แสนล้านบาทเข้าไปฟื้นฟู เช่น การฟื้นฟูนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งจะช่วยเรื่องเศรษฐกิจและอัตราการว่างงาน ซึ่งขณะนี้กระทรวงพลังงานได้สั่งซื้อเครื่องสูบน้ำอีก 140 เครื่องมาเตรียมการไว้แล้วที่จะมาถึงภายใน 20 วันรวมทั้งการฟื้นฟูรถยนต์ที่เสียหายจากน้ำท่วม พร้อมพิจารณาลดค่าน้ำมันเครื่อง และอาจจะพิจารณาลดค่าไฟฟ้า ที่อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงพลังงาน

ส่วนในแผนระยะยาวก็มีความจำเป็นอย่างมาก เพราะหากประเทศไทยประสบกับภาวะวิกฤติลักษณะนี้อีก จะเป็นเรื่องใหญ่ ฉะนั้นต้องมีการแก้ไขปัญหาระบบน้ำของประเทศทั้งหมด เพื่อพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส โดยจะเป็นการวางแผนประเทศไทยใหม่ หรือ “New Thailand” โดยคาดว่าจะใช้งบประมาณทั้งหมดประมาณ 6 - 8แสนล้านบาท

ซึ่งขณะนี้ได้มีประเทศต่างๆ เช่น สหรัฐอเมริกา เนเธอร์แลนด์ ญี่ปุ่น ได้เสนอแผนฟื้นฟูประเทศไทยเป็นแบบแพ็คเกจมาแล้ว ทั้งเงินทุนและวิทยาการ แต่ทางเรายังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะใช้แผนใด เนื่องจากจะต้องประชุมหารือกันอีกครั้ง เพื่อได้แผนรวมทั้งหมดเสียก่อน ส่วนความเสียหายจากน้ำท่วมใหญ่ครั้งนี้ ยังไม่สามารถประเมินเป็นตัวเลขที่ชัดเจนได้ ต้องรอให้น้ำลดก่อน

ที่มา:กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันอาทิตย์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2554

กองทัพบกตั้ง กก.สอบคดี ทหารไทย ยิง เรือจีน !!?


พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก กล่าวถึง กรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งข้อกล่าวหากับเจ้าหน้าที่ของชุดปฏิบัติการพิเศษของหมวดลาดตระเวนระยะไกลของกองกำลังผาเมือง จำนวน 9 คน ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของลูกเรือจีน และตรวจพบยาบ้าจำนวน 920,000 เม็ด ว่า ในฐานะที่กองทัพบกเป็นหน่วยที่ผู้รับผิดชอบกองกำลังผาเมือง ไม่ได้นิ่งนอนใจกับข่าวที่เกิดขึ้น จึงตั้งคณะกรรมการสอบสวนเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และยินดีที่จะเปิดเผยข้อมูลที่มีอยู่ ขณะนี้กำลังพลทั้งหมดได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว ขณะที่กองกำลังผาเมือง กองทัพภาคที่ 3 ที่เป็นต้นสังกัด ได้เรียกตัวกลับมาอยู่ในการควบคุมของหน่วยเรียบร้อยแล้ว และพร้อมที่จะรับการสอบสวนจากเจ้าหน้าที่

พ.อ.สรรเสริญ กล่าวว่า กองทัพภาคที่ 3 ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมา 2 ชุด เพื่อสอบสวนเรื่องดังกล่าวควบคู่กับกระบวนการสืบสวนสอบสวนคดีอาญาของตำรวจ โดยกองทัพให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ ไม่ได้ปล่อยปะละเลย นอกจากนี้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบกได้มอบหมายให้ พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล เสนาธิการทหารบก ได้พบปะพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง พร้อมกับชี้แจงว่า กองทัพยินดีพร้อมที่จะสนับสนุนทุกกรณีและพร้อมที่จะเปิดเผยข้อมูลอย่างตรงไปตรงมา ไม่ซ่อนเร้น ถูก-ผิดว่าไปตามกระบวนการยุติธรรม และพยานหลักฐานที่มี ขณะที่ทหารทั้ง 9 นายพร้อมรับการตรวจสอบทั้งทางกฎหมายอาญาและวินัยของกองทัพ.

//////////////////////////////////////////////////////////

มังกร บรรหาร. อ่านม้ากลางศึก น้ำปลอบ ยิ่งลักษณ์. ทำดีที่สุดแล้ว แต่ ถ้าเป็นผมสั่ง - ฟังทีเดียวก็จบเลย !!?

สัมภาษณ์พิเศษ

กว่า 3 สัปดาห์แล้วที่รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี รับมือภาวะวิกฤตน้ำ

"นายบรรหาร ศิลปอาชา" ประเมินว่า สถานการณ์น้ำปีนี้ มี 10 รัฐบาลก็ "เอาไม่อยูˆ"

นายกรัฐมนตรีคนที่ 21 เจ้าของทฤษฎี-วิถีการป้องกันน้ำท่วมแบบ "สุพรรณบุรีโมเดล"

มีบารมีในเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มาไม่น้อยกว่า 4 สมัย

บรรทัดต่อจากนี้คือวิสัยทัศน์ของ "นายบรรหาร" ที่ถ่ายทอดผ่าน "ประชาชาติธุรกิจ" ถึงปัญหาน้ำ ปัญหาคน ในฐานะกูรูผู้ชำนาญเรื่องน้ำ

- สถานการณ์น้ำท่วมใหญ่ที่สุดในรอบ 70 ปี วิเคราะห์ว่าครั้งนี้เหตุใหญ่มาจากอะไร

ตั้งแต่เริ่มเกิดเหตุ ผมบินตรวจสอบอยู่หลายครั้ง ทำอยู่ทุกวันตลอด 1 เดือนที่ผ่านมา ปีนี้มีน้ำมากกว่าปกติเยอะ เดิมทีคิดว่าจะไม่มากเท่ากับน้ำท่วมใหญ่ปี"38 แต่สุดท้ายกลับมากกว่าถึงเท่าตัว โดยต้นเหตุมีอยู่ 3 ข้อ 1.พายุไต้ฝุ่น 5 ลูก คือ ไห่หม่า นกเตน ไห่ถาง เนสาด นาลแก ทุกลูกมาตกอยู่เหนือเขื่อนทำให้ปริมาณน้ำมีมาก 2.เขื่อนกักเก็บน้ำไม่ได้จนต้องระบายออก 3.มีน้ำสะสมมาตั้งแต่อำเภอบางระกำ

เขื่อนที่สำคัญในขณะนี้ บางคนยังเข้าใจผิดว่ากรมชลประทานเป็นคนดูแล ซึ่งความจริงไม่ใช่ อย่าง เขื่อนภูมิพล การไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ.) เป็นคนดูแลอยู่ บรรจุน้ำได้เต็มที่ 13,500 ล้าน ลบ.ม. เขื่อนสิริกิติ์ก็ของ กฟผ. เก็บได้เต็มที่ 9,000 ล้าน ลบ.ม. ตอนนี้ เขื่อนใหญ่ที่สุดทั้งสองเขื่อนก็กักเก็บน้ำเต็มที่แล้ว ส่วนในความรับผิดชอบของกรมชลประทานก็มีเขื่อนแควน้อย เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ก็เก็บได้แค่ 1,000 ล้าน ลบ.ม.

คนเข้าใจผิดว่าทำไมต้องปล่อยน้ำ ความจริงน้ำมามากเราก็ปล่อยมาก มาน้อยก็ปล่อยน้อย ถ้าถามว่า ทำไมไม่พร่องน้ำออกให้หมด ความจริงคือพร่องจนหมดอ่างไม่ได้ เพราะต้องเก็บไว้ปั่นกระแสไฟฟ้าก็ต้องเหลือน้ำไว้บ้าง ทุกเขื่อนทำเหมือนกัน แต่ก่อนที่จะมีปัญหาเขื่อนภูมิพลก็ปล่อยน้ำ 120 ล้าน ลบ.ม.ต่อวัน เขื่อนสิริกิติ์ปล่อย 40-50 ล้าน ลบ.ม.ต่อวัน วันนี้ระบายน้ำก็เยอะ ซึ่งสาเหตุที่แท้จริงคือ เราไม่รู้สถานการณ์ไต้ฝุ่นว่าจะมาอย่างไร เราไม่รู้ทิศทางเลย ทำให้ป้องกันไม่ถูก

- การพยากรณ์ของกรมอุตุฯบอกสัญญาณอะไรไม่ได้เลยหรือ

บอกได้แค่ว่ามันจะมาแล้ว อย่างบอกว่ามาถึงเวียดนามแล้ว ก็จะเข้าไทยใน 2-3 วัน แต่ไม่ได้บอกล่วงหน้าเป็น 10-20 วัน ก่อนหน้านี้ที่พายุลูกที่ 4 หรือเนสาดจะมาถึง น้ำที่อำเภอบางระกำสะสมอยู่แล้ว 3,000 ล้าน ลบ.ม. เมื่อพายุเนสาดเข้ามา น้ำท่วมเชียงใหม่ 4 วัน 4 คืน มวลน้ำเคลื่อนตัวจะมารวมอยู่ใต้เขื่อนภูมิพลอีก 3,000 ล้าน ลบ.ม. และฝนตกต่อที่กำแพงเพชรอีก 3 วัน 3 คืน ประมาณ 600 ล้าน ลบ.ม. มวลน้ำทั้งหมดไหลรวมอยู่ที่ชุมแสง พรวดเดียวมารวมกองอยู่ที่ 6-7 พันล้าน ลบ.ม.

แต่สาเหตุที่มีปัญหาหนัก คือ คันกั้นน้ำบางโฉมศรี มันขาดอยู่ 50-60 เมตร ขาดตรงคอประตูน้ำ บางกะดีก็ขาดอีกเยอะ ตรงนี้เส้นทางขาดอยู่เดือน กว่า ทำให้น้ำไหลบ่าลงมา ซึ่งกรมชลประทานทำอะไรไม่ได้ ชาวบ้านเขาไม่ให้ทำ จนต้องขอร้องให้ทหารมาช่วยทำการปิดจุดขาด

เส้นทางน้ำ 3 สายมารวมกันทำให้เกิดปัญหาหนัก สายแรกเขื่อนป่าสักฯต้องเปิดระบายน้ำมากขึ้น ไม่เช่นนั้นเขื่อนจะแตก สายที่สองมวลน้ำสะสมที่แม่น้ำเจ้าพระยา สายที่สามมวลน้ำที่แม่น้ำลพบุรีเป็นน้ำทุ่ง ทั้งหมดมารวมกันทำให้ท่วมนิคมอุตสาหกรรมโรจนะ นี่คือสาเหตุที่สำคัญที่สุด มันเป็นน้ำทุ่งผสมกับน้ำท่า

เรื่องนี้ผมว่ากรมชลประทานรู้ แต่ก็ไม่ได้พูด ผมวิเคราะห์ว่าต้องมาจากสาเหตุนี้ ไม่ใช่ว่ามีแต่มวลน้ำแม่น้ำเจ้าพระยา เพราะตรงนี้น้ำกองกันอยู่ 7 พันล้าน ลบ.ม. ผมบินไปดูหลายรอบก็เป็นอย่างนี้

- กรมชลประทานไม่ได้ชี้แจงเพราะอะไร

ผมสันนิษฐานและวิเคราะห์เอาจากข้อมูลกรมชลประทานเหมือนกันนะสาเหตุนี้ แต่ถ้ากรมชลประทานวิเคราะห์ออกไปก็ถูกเล่นงานอยู่แล้ว เขาก็กลัว ไม่กล้าทำอะไรมาก แต่ผมไม่กลัวเลยกล้าออกมาพูดถึงสาเหตุที่เกิดขึ้น

- ถ้ากรมชลประทานเปิดเผยข้อมูลจริง แล้วถูกเล่นงาน จะยุติธรรมหรือ

ก็ไม่รู้...เขาอาจจะหาแพะก็ได้ วันนี้กรมชลฯก็ถูกกล่าวหาว่าเป็นแพะอยู่แล้ว ก็ถูกเล่นงานตลอด เมื่อก่อนปี 2538 ความขัดแย้งระหว่างประชาชนก็ไม่มี แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีใครยอมใคร อย่างประตูน้ำคลอง 1 ผู้นำชาวบ้านถือปืน กรมชลประทานจะทำอะไรได้ ถึงต้องออกคำสั่งให้รองอธิบดีมาถือกุญแจ

- แก้ปัญหาด้วยวิธีการเปลี่ยนคนถือกุญแจประตูน้ำถูกต้องแล้วหรือ

เขาอาจจะมีเหตุผลมากกว่านั้นก็ได้ แต่ผมไม่รู้

- การแก้ไขปัญหาระยะสั้นเฉพาะหน้าจะทำอย่างไร

ประเด็นปัญหากรมชลฯต้องตรวจสอบว่า ประตูน้ำที่อยู่มานานตรงไหนจะรับไหวบ้าง และตรวจสอบคันกั้นน้ำทั้งหมดว่ามีตรงไหนขาดระยะบ้าง ก็ต้องซ่อมแซม ไม่เช่นนั้นก็จะเกิดน้ำทะลักรุนแรงอีก

- ควรป้องกันพื้นที่ กทม.อย่างไร

สถานการณ์โดยสรุปมีน้ำตอนบน กทม.ประมาณ 4 ล้าน ลบ.ม. ตอนล่างนครสวรรค์มีอีกประมาณ 10,000 ล้าน ลบ.ม. โชคดีที่ฝนไม่ตก ไม่อย่างนั้นต้องขอให้พระเจ้าช่วย

ถามว่า จะป้องกันอย่างไร ก็มีเรื่องแปลกที่ว่า เดิมทีจะต้องระบายน้ำก้อนแรก 4 ล้าน ลบ.ม.ออกไปสู่แม่น้ำเจ้าพระยา ผ่านคลองระพีพัฒน์ แต่เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม ผมบินไปดูมา พบว่าจากคลอง 26 คลองระพีพัฒน์ตก คลองรังสิต ยังมีคนทำนาอยู่ แถมยังสูบน้ำลงคลองรังสิตด้วย

ต้องพยายามระบายน้ำคลองรังสิตออกไปให้เยอะทางฝั่งตะวันออก เมื่อผมบินดูช่วงคลอง 13 ปรากฏว่าเส้นทางน้ำมีขยะ มีผักตบชวาเต็มไปหมด อีกทั้งการสร้างสะพานของรัฐที่สร้างใหม่ มีตอม่อทั้งหมด 200 ต้น วางห่างกันเพียง 15 ซ.ม. การออกแบบวางตอม่อแบบถี่ยิบทำให้เกิดทางขวางน้ำ น้ำระบายออกไม่ได้

- การผันน้ำลงทางฝั่งตะวันตกถูกต้องแล้วใชˆไหม

สิ่งที่อธิบดีกรมชลประทานพูดก็มีเหตุผล ว่าน้ำมามีปัจจัยหลายอย่างควบคุมไม่ได้ เช่น น้ำทุ่งควบคุมไม่ได้ว่าจะไปที่ไหน เจอที่ลุ่มก็ขังไว้ก่อน เจอที่ดอนน้ำก็ไหลไป นี่คือข้อเท็จจริง

หากจะผันออกฝั่งตะวันตกปริมาณมากจะเป็นปัญหาเหมือนในขณะนี้ เพราะมีคลองผันน้ำ 4 เส้นทาง คือ คลองมะขามเฒ่า คลองพงษ์เทพ อู่ทอง แม่น้ำน้อย แต่ตอนนี้ทุกคลองเกินพิกัดหมดแล้ว

- หาก กทม.ต้องจมน้ำ 1 เดือนจะทำอย่างไร

ผมว่าไม่จมหรอก แต่เขาเตือนไว้ก่อนก็ดี...ในใจลึก ๆ ผมยังมั่นใจว่าไม่จม แต่ปี 2538 มันจมอยู่เดือนกว่าแถวฝั่งธนบุรีและริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา น้ำก็วิ่งไปตามคลองเต็มไปหมด แต่ปีนั้นปัญหาประชาชนปะทะกันเองไม่มี แต่ตอนนี้พอผันน้ำลงทางไหนก็มีปัญหาตรงนั้น

อีกอย่างที่จะบอกคือ อย่าไปรณรงค์สร้างบ้านจัดสรรกันเยอะ เพราะที่สร้างกัน มันอยู่ในพื้นที่รับน้ำทั้งหมด

- ระยะยาวควรแก้ปัญหาอย่างไร

วิธีที่จะช่วยในระยะยาวคือ จังหวัดที่อยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาต้องสร้างเขื่อน เช่น นครสวรรค์ เขื่อนบริเวณชุมแสงต้องทำ อุทัยธานี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง อยุธยาจะป้องกันสถานที่สำคัญได้บางส่วน งานนี้รัฐจะหมดเงิน 4 พันล้านบาท 6 พันล้านบาทก็ต้องทำให้เขา และจังหวัดภาคอีสานเจอน้ำท่วมตรงไหนก็ต้องทำเขื่อนด้วย กว่าจะเสร็จผูกพันงบประมาณก็อีก 3-4 ปี ถ้าไม่รีบทำก็ป้องกันไม่ทัน

- สูตรที่รัฐบาล "ยิ่งลักษณ์" ควรเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจที่เสียหายอย่างไร

ก็ต้องฟื้นฟู แก้ปัญหา เช่น ชุมชน อาคารบ้านเรือน ไร่นา ก็คงต้องใช้เงินมากหน่อย อุตสาหกรรมก็ต้องหาทางเยียวยา

ที่จริงอยุธยาผมไม่อยากจะบอกเลยนะ ว่ามันเป็นพื้นที่ลุ่ม เป็นที่รับน้ำเต็มที่ แต่ที่คนมุ่งไปทำธุรกิจที่นั่นเพราะได้รับสิทธิประโยชน์จากการส่งเสริมการลงทุนเขต 3

- 6 นิคมอุตสาหกรรมที่เสียหายไปแล้ว รัฐบาลควรจะแก้ปัญหาอย่างไร

ก็ต้องดูความเหมาะสมในการช่วยเหลือ แต่ผมว่านายกรัฐมนตรีท่านก็ทำดีที่สุดแล้ว ไม่ควรจะไปตำหนิท่าน เพราะเดิมทีท่านก็ไม่ได้เป็นนักการเมือง ทำได้ขนาดนี้ก็น่าพอใจ

ส่วนกรมชลประทานจะมาบอกว่า ต้องรับผิดชอบคนเดียวก็ไม่ถูกต้อง เรื่องน้ำ มันไม่เข้าใครออกใคร บอกไม่ได้ทั้งหมดหรอก ก็ทำได้แต่ประเมินได้นิดหน่อย

- รัฐบาลกับ กทม.มาจากคนละพรรคทำให้แก้ปัญหายากขึ้นหรือไม่

สมัยปี 2538 ผมแก้ปัญหาร่วมกับ ผู้ว่าฯ กทม. ท่านกฤษฎา อรุณวงศ์ ณ อยุธยา และปลัด กทม. ท่านประเสริฐ สมะลาภา เราทำงานกันเต็มที่ แต่ครั้งนี้คนละพรรค คนละขั้ว ผมก็ไม่ทราบว่าทำงานมีปัญหาหรือไม่ เพราะผมไม่ได้อยู่ข้างใน

แต่วันนี้อธิบดี-เจ้าหน้าที่กรม ชลประทานก็ทำงานเต็มที่ ท่านธีระ (วงศ์สมุทร รมว.เกษตรฯ) ก็เป็นคนที่รัฐบาลจะต้องฟัง แต่ใน ศปภ.มีที่ปรึกษาเยอะมาก ล่าสุดเอาคุณปราโมทย์ (ไม้กลัด) มาอีกคน ทำให้มีหลายความเห็น ต้องเสียเวลาวินิจฉัยอีก ถ้าฟังกรมชลประทานเป็นหลัก สถานการณ์จะดีขึ้นกว่านี้ เพราะเขาอยู่กับน้ำ อยู่กับชุมชน เขาจะรู้ดีว่าต้องทำอย่างไร

- การปรับเปลี่ยนกำลังพล อย่างกรณีย้ายผู้ว่าฯ ปทุมธานีเหมาะหรือไม่

ย้ายเลยหรือ ย้ายจังหวัดเดียวเองหรือ ไหนว่าจะชะลอไว้ก่อน รอให้น้ำลด แปลว่าอาจจะมีเหตุผลพอสมควร

- การเปลี่ยนม้ากลางศึก เปลี่ยนคนถือกุญแจประตูน้ำ นายกฯต้องการส่งสัญญาณอะไร

รองอธิบดีคนนี้ (ชัชวาล ปัญญาวาทีนันท์) เพิ่งจะเข้ามาเป็น ดูงานด้านบริหาร อธิบดีใช้งานส่วนนี้อยู่แล้ว ท่านก็อยู่พื้นที่มาหลายเดือน นี่คือการจัด คำสั่งให้ถูกต้องชัดเจน ว่าใครจะถือกุญแจ ไม่เช่นนั้นชาวบ้านยึดเอาไปทำเองหมด ทุกวันนี้ทหารยังไม่กล้ามีปัญหากับชาวบ้านเลย แล้วกรมชลฯจะทำอย่างไร

ผมเชื่อถือกรมชลประทาน ตัวเลข มันถูกต้อง แต่หัวใจสำคัญคือ การบริหารจัดการ จะสั่งซี้ซั้วไม่ได้ เอาข้อมูลจากกรมชลฯไปก็ต้องคิดให้ได้ว่าจะทำอย่างไรต่อ

- เท่ากับว่าตอนนี้การแก้ปัญหาน้ำมีคนทำงานถึง 4 รัฐบาล (ไทยรักไทย พลังประชาชน เพื่อไทย และชาติไทย) ในฐานะท่านเป็นพรรคร่วมรัฐบาลมีอะไรจะแนะนำบ้าง

ที่จริง...ผมไม่รู้ว่าเวลาประชุมเขาทำอย่างไรบ้าง แต่ผมเคยบอกว่า น่าจะต้องยึดแนวคิดกรมชลประทานเป็นหลัก ส่วนที่ปรึกษาคนอื่นเสนออะไรก็พิจารณากันอีกที พวกนี้อยู่กับน้ำมา 40 ปี แต่คนที่ไม่รู้ เป็นอาจารย์ นักทฤษฎี ไม่รู้เรื่องจะแก้ปัญหาอย่างไร อย่างผมเองยังต้องขอข้อมูลกรมชลประทานมาทำงานเองเลย

- หากต้องเข้าไปช่วยรัฐบาลวันนี้ 1 เรื่องที่ "บรรหาร" จะทำคืออะไร

หากผมเข้าไปทำงาน ใครพูดมาไม่ถูกต้องผมก็โวยวาย แต่ทั้งหมดที่ผมเล่ามา ผมก็เอามาจากกรมชลประทาน และวิเคราะห์ซ้ำอีกทีหนึ่ง เขามีเหตุผล ก็ต้องเชื่อถือเขา ส่วนผมอยู่กับน้ำมา 20-30 ปี ก็พอมีประสบการณ์บ้าง

- ทุกสายตาที่รุมจ้อง ศปภ.เกินกว่าครึ่งคิดว่าพึ่งไม่ได้แล้ว

ผมว่ายังพึ่งได้ วันนี้นายกฯมีอำนาจเต็มเลย อย่างผมยังไม่มีอำนาจสั่งอะไรเลย ผมเคยเป็นนายกฯมา ผมรู้ดีว่าสั่งการได้ทุกเรื่อง สั่งได้ทั้งทหารและพลเรือน แต่บังเอิญท่านได้รับข้อมูลหลายทาง ก็สับสน ถ้าเป็นผมฟังทีเดียวก็จบเลย

- การประกาศมาตรา 31 พ.ร.บ. ปภ.กับ พ.ร.ก.ฉุกเฉินมีผลต่างกันอย่างไร

เพราะวันนี้ทหาร ตำรวจ ไม่กล้าทำอะไรรุนแรงกับประชาชน การต้องประกาศมาตรา 31 ผมว่าดีกว่า พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ขนาดญี่ปุ่นเจอสึนามิเขายังไม่กล้าประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินเลย ไม่อย่างนั้นต่างประเทศตกใจแย่ ทำลายภาพลักษณ์หมด และการประกาศต้องประกาศทั่วประเทศ ก็โกลาหลกันไปใหญ่ นี่เรายังโชคดีที่เจอแค่น้ำท่วม ไม่เจอแผ่นดินไหวเหมือนประเทศอื่น
ที่มา:ประชาชาติธุรกิจ
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันเสาร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2554

มัวเงื้อง่าราคาแพง...เดี๋ยวรัฐบาลจะหมดแรง !!?

มัวเงื้อง่าราคาแพง...เดี๋ยวรัฐบาลจะหมดแรง!
ยับยั้งมหาวิบัติภัยน้ำท่วมไม่ได้...เขาต้องเชิญออกไปนะ!
ที่รู้ มีการเตรียมตั้ง “รัฐบาลแห่งชาติ” ให้เข้ามาแทนที่
ยามนี้,ต้องเร่งเอาน้ำไปลงทะเลให้ได้...ข้าราชการคนใด “เข้าเกียร์ว่าง” ต้องฟันให้จั๋งหนับ
มัวเงื้อง่าราคาแพง...จะถูกอำนาจอื่นเข้าแทรกแซง?..จนรัฐบาลหมดแรงเอานะครับ??

++++++++++++++++++++++++++++

ขีดเส้นตาย ..โปรดได้ระวัง!
เดือน “พฤศจิกายน” ที่จะถึงนี้...ถ้า “นายกฯปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยังแก้น้ำท่วมไม่สะเด็ด..มีสิทธิ์ตกบัลลังก์
ฉะนั้น, “นายกฯปู” ต้องเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส...โชว์ความสามารถ ออกมาให้เห็น
ไล่น้ำท่วม ลงน้ำทะเลได้เร็ว ..ประชาชนย่อมเชียร์กันตรึม ในฐานะนายกฯที่ทำงานเป็น
แต่เท่าที่สังเกต วันที่ไปดูการปฏิบัติงาน ของ “อุโมงค์ยักษ์” ของ กทม.นั้น...ดูเหมือนถูก “วางยา” การระบายน้ำทำได้แค่ ๑๐-๒๐ เปอร์เซ็นต์ ..ผันน้ำได้ช้า ไม่เต็มสตีม!!!
ยิ่งกทม.ผันน้ำอืด...อายุรัฐบาลปูก็ไม่ยืด?...ดูไม่จืดมีสิทธิ์ หัวทิ่ม???

++++++++++++++++++++++++++++

รัฐมนตรีแถวสอง ช่างไลฟ์บอย!
กิตติรัตน์ ณ.ระนอง” รองนายกฯ ฝ่ายเศรษฐกิจ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ต้องโชว์ฝีมือหน่อย??
น้ำจืด-น้ำขวดไม่มีขาย
อาหารสำเร็จรูป,ผัก-ข้าว-ปลา ไม่มีซื้อ หยั่งงี้สถานการณ์ ก็ไม่ไหว
ความเดือดร้อนแผ่ซ่านไปทั่ว “รัฐมนตรีกิตติรัตน์” ต้องเร่งแก้ปัญหา “ปากท้องชาวบ้าน” ให้อยู่กินนอนหลับ
ถึงจะเป็นรัฐมนตรีแถวสอง...ก็ต้องมาโชว์กึนโชว์สมอง?..ให้กึกก้อง คนเขาถึงจะยอมรับ??

++++++++++++++++++++++++++++

แตกละเอียด..แตกกระจาย!
“น้ำ” ซึมแทรก ทะลุ ทะลวง เข้าไปตรงไหน..มีแต่เรื่อง “แตกความคิด” หนักข้อขอรับเจ้านาย
ความเป็น “เสื้อแดง” เสื้อเหลือง” “เสื้อสลิ่ม” เสื้อหลากสี ยิ่งมีให้เห็น กันไปทั่ว
น้ำแตกตัว เกิดเรื่องบานปลายยังพอทำเนา...แต่ขณะนี้คนกำลัง “แตกแยกความคิด” เป็นเรื่องที่น่ากลัว
อย่าให้น้ำมาทำลาย สามัคคีของชาติ ที่กำลังพัฒนาไปในทางที่ดี
มิใช่ชนะเรื่องน้ำท่วม..แต่คนไทยหันมาซัดกันน่วม...อ่วมอรทัย อีกนะครับท่าน?

++++++++++++++++++++++++++++

เป็นชายต้องกล้า!
ยามนี้, “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ใส่เกียร์ถอยหลังหน่อย ก็ไม่มีใครว่า
ลดโทนเสียง อย่าได้ห้าวหาญ จนดูอึดอัดเกินไป
อย่าให้เรื่องเล็ก มาทำให้เสียงานใหญ่
มหันตภัยอุทกภัยน้ำท่วม “ทหาร” ก็ได้คะแนนไปเต็ม ๆ ที่ออกไปช่วยประชาชน ในทุกทิศทุกทาง!!!
คะแนนทหารกำลังเข้าตา.....อย่าให้ต้องมาสะดุดขา?.....เกิดปัญหา ดีกว่ากระมัง

ที่มา:คอลัมน์ ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
///////////////////////////////////////////////////////

จีนขอบคุณไทยคลี่คดีฆ่าลูกเรือ 13 ศพ !!?

ทหารกองกำลังผาเมือง 9 นาย เข้ามอบตัวกับพนักงานสอบสวน สู้คดีฆ่าลูกเรือชาวจีน 13 ศพ

ที่กองบังคับการตำรวจภูธรจ.เชียงราย พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา รอง ผบ.ตร. พล.ต.ต.สุเทพ เดชรักษา รอง ผบช.ก. พล.ต.ต.ทรงธรรม อัลภาชน์ ผบก.ภ.จว.เชียงราย ร่วมกันแถลงข่าวความคืบหน้ากรณีคดีที่มีกัปตันและลูกเรือชาวจีน 2 ลำถูกปล้นและฆ่าทิ้งลงแม่น้ำโขงจำนวน 13 ศพ หลังจากนั้นเรือได้ลอยเข้ามาริมแม่น้ำโขง ในฝั่งไทย บริเวณริมถนนสายเชียงแสน-แม่สาย หมู่ 1 ต.เวียง อ.เชียงแสน และเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบก็พบศพคนตายบนเรือ 1 ศพ และตรวจพบยาบ้าอีก 920,000 เม็ด ซุกซ่อนมาด้วย เหตุเกิดเมื่อวันที่ 5 ต.ค. ที่ผ่านมา

พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา เปิดเผยว่ากรณีดังกล่าวว่าพล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงษ์ ผบ.ตร. ได้ให้ความสำคัญกับคดีนี้เป็นอย่างมาก เพราะเกี่ยวข้องกับความสำพันธ์ระหว่างประเทศไทยและประเทศจีน ซึ่งทางการจีนได้ติดตามความคืบหน้าในเรื่องของคดีมาโดยตลอด ซึ่งในวันนี้ได้มีการแจ้งข้อกล่าวหาแก่เจ้าหน้าที่ทหารจำนวน 9 นายที่เข้ามอบตัว ระดับ ยศ พ.ต. 1 นาย ร.ท. 1 นาย และส.อ. 7 นาย ในข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและยักย้ายทำลายศพ

พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ กล่าวอีกว่าจากการสืบสวนสอบสวน รวบรวมพยานหลักฐานต่างๆจนนำมาซึ่งการตั้งข้อกล่าวหาแก่เจ้าหน้าที่ทหารกองกำลังผาเมืองทั้ง 9 นาย ได้ปฎิบัติหน้าที่เฉพาะกลุ่ม ทางกองทัพไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างใด ซึ่งการสอบสวนดำเนินคดีก็ได้รับความร่วมมือจากผู้บังคับบัญชาจากทางฝ่ายทหารเป็นอย่างดี เบื้องต้นทั้งหมดให้การปฎิเสธ และทางทีมพนักงานสอบสวนได้ทำการสอบสวนเพื่อให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย และจะส่งมอบตัวให้กับนายทหารรัฐธรรมนูญมารับตัวไปควบคุมตัวเพื่อดำเนินการต่อไป ในส่วนของยาเสพติดที่พบบนเรือจะมีการสอบสวนหาที่มาที่ไปอย่างละเอียดและชัดเจนอีกครั้ง

ส่วนที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ วันเดียวกัน พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา รรท.ที่ปรึกษาสบ 10 และพล.ต.ท.ชัยวัฒน์ โชติมา รรท.บช.ปส. ให้การต้อนรับนายจาง ชินเฟิง รมช.กระทรวงรักษาความสงบภายในแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน นายกว่าย มู่ เอกอัครราชฑูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทยและคณะ ที่เดินทางมาเพื่อขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยที่สามารถคลี่คลายคดีสังหารลูกเรือชาวจีน 13 ราย เมื่อวันที่ 5 ต.ค. ที่ผ่านมา

นายจาง กล่าวว่า วันนี้มีการแถลงข่าวคดีฆาตรกรรมชาวจีน 13 คน บริเวณอ.เชียงแสน จ.เชียงราย เมื่อวันที่ 5 ต.ค. โดยผู้ก่อเหตุเป็นทหารและได้มอบตัวทั้งหมด 9 นาย ซึ่งถือได้ว่าคลี่คลายคดีในเบื้องต้นแล้ว โดยรัฐบาลไทยได้ให้ความสำคัญในคดีนี้ และได้สั่งการให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติคลี่คลายคดีนี้โดยเร็ว ภายใต้การสั่งการของ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ และพล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ได้มอบหมายให้รองผบ.ตร. 2 นาย คือ พล.ต.อ.ปานศิริ และพล.ต.อ.ภาณุพงศ์ ลงไปคลี่คลายได้อย่างรวดเร็วและมีคุณภาพ

“ผู้กระทำผิดทั้ง 9 คน ได้มอบตัว ขั้นตอนต่อไปก็คือเข้าสู่กระบวนยุติธรรม ส่วนสาเหตุการฆ่าจะคลี่คลายในโดยเร็ว ตำรวจจีนจะช่วยเหลือในการสืบสวนสวบสวนต่อไป โดยทางกระทรวงรักษาความมั่นคงได้ทิ้งทีมงานซึ่งประกอบด้วย เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนสอบสวน เจ้าหน้าที่ตำรวจปราบปรามยาเสพติด และผู้เชี่ยวชาญด้านพิสูจน์หลักฐานเอาไว้ 1 ชุด ” นายจาง กล่าว

ด้านพล.ต.อ.เพรียวพันธ์ กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องเป็นเรื่องที่รัฐบาลได้สั่งการให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดูแลการสืบสวนสอบสวน ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับความร่วมมืออย่างดีจากกองทัพไทย และพล.ท.วรรณทิพย์ ว่องไว แม่ทัพภาคที่ 3 โดยไม่ได้ปิดบังข้อมูลแต่อย่างใด โดยคดีนี้ ทางรัฐบาลจีนได้ให้ความสำคัญมากและส่งเจ้าหน้าที่จีนเพื่อร่วมปฎิบัติหน้าที่กับเจ้าหน้าที่ไทยด้วย การสืบสวนเบื้องต้นพบว่า มีพลเรือนร่วมก่อเหตุด้วย ซึ่งเป็นกลุ่มของนายหน่อคำ นักค้ายาเสพติดรายใหญ่ แต่จะเกี่ยวข้องกันอย่างไร และสาเหตุการสังหารคืออะไร ตนคงไม่สามารถบอกตอนนี้ได้ ต้องรอการสืบสวนสอบสวนต่อไป.

ที่มา เดลินิวส์ ออนไลน์
///////////////////////////////////////////////////////

วันศุกร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ตั้ง กองทุนมหันตภัย. โมเดลใหม่รับมือภัยน้ำท่วม !!?

การจัดตั้ง กองทุนมหันตภัย (Catastrophe Fund) นับเป็นหนึ่งในแนวทางที่ภาคธุรกิจและผู้คนในวงการประกันภัยต่างกำลังพูดถึง มากในวันที่ เพราะถือเป็นหนึ่งในแนวทางออกกับการจัดการปัญหาด้านประกันภัยต่อในระยะยาว เพื่อรองรับความเสียหายที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะกับมหันตภัยอย่างกรณีน้ำท่วมที่เกิดขึ้นในวันนี้

ดังรายงานของ คปภ.ที่เสนอต่อกระทรวงการคลังในการวางแผนรับมือระยะยาวที่มีข้อเสนอเรื่อง การจัดตั้งกองทุนมหันตภัย ซึ่งเป็นการจัดตั้งกองทุนโดยมีคำสั่งของกฎหมาย จัดตั้ง และให้รัฐบาลเป็นผู้สนับสนุนเงินงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายดำเนินงาน รวมถึงแนวทางการรับประกันภัยร่วม (Co-insurance) ที่เป็นการรับประกันภัยร่วมกันระหว่างบริษัทประกันภัยต่าง ๆ ซึ่งทำได้ง่ายกว่าการตั้งกองทุน และทุกวันนี้บริษัทประกันภัยในไทยก็จะใช้วิธีการเหล่านี้อยู่แล้ว

ด้วยสถานการณ์ปัญหาน้ำท่วมที่เกิดขึ้นในขณะนี้ บมจ.ไทยรับประกันภัยต่อ (ไทยรี) ซึ่งเป็นรีอินชัวเรอร์ขนาดใหญ่ของไทยเองก็เริ่มปฏิเสธรับประกันภัยต่อ จากบริษัทประกันภัยแล้ว เพื่อเป็นการปรับตัวรองรับกับความเสี่ยงและความเสียหายที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ เช่นกัน

"อรวรรณ วรปัญญา" ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าสายงานรับประกันภัยธุรกิจ บมจ.ไทยพาณิชย์สามัคคีประกันภัย บอกว่า ทุกวันนี้ผู้รับประกันภัยต่อ (รีอินชัวเรอร์) ซึ่งเป็นแหล่งในการบริหารความเสี่ยงของบริษัทประกันภัยนั้น ก็กำลังเจอภาวะที่แบกรับต้นทุนความเสียหายไปไม่น้อย เพราะเกิดภัยใหญ่ ๆ ในลักษณะ "มหันตภัยแห่งชาติ" ในหลายประเทศในระยะใกล้เคียงกันนี้ ทั้งพายุเฮอริเคนที่สหรัฐ แผ่นดินไหว ที่นิวซีแลนด์ พายุและน้ำท่วมที่ออสเตรเลีย หากจะต้องมาแบกภาระขาดทุนจากภัยน้ำท่วมในไทยไปทุก ๆ ปี ก็อาจจะตัดสินใจไปรับงาน ที่อื่นดีกว่า

"แม้เหตุการณ์น้ำท่วมในไทยจะยังมิได้รุนแรงถึงระดับเป็นมหันตภัย แต่ก็ควรต้องเตรียมหาวิธีบริหารจัดการความเสี่ยงภัยและรองรับการประกันภัย ต่อในประเทศ เช่นแนวคิดในการตั้งพูลสำหรับกรณีเกิดมหันตภัย เพื่อให้กระจายความเสี่ยงกันออกไป ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญในการบริหารความเสี่ยง และใช้ได้กับการประกันภัยทุกประเภทอีกด้วย ดังนั้นนี่คือสิ่งจำเป็น"เธอกล่าว

แนวคิดการจัดตั้งกองทุนดังกล่าว คล้ายกับวิธีจัดการเรื่องมหันตภัย อย่าง "แผ่นดินไหว" ของประกันภัยในหลายประเทศ ที่รัฐบาลได้จัดตั้งกองทุนลักษณะนี้ขึ้นมาเพื่อรับประกันภัยต่อจากบริษัท ประกันภัยอีกชั้นหนึ่ง โดยมีรัฐบาลของประเทศเป็นแกนกลางในการบริหารกองทุนและรับดูแลความเสียหายให้

"พุทธพร นิลวรางกูร" กรรมการผู้จัดการ บริษัท สมโพธิ์ เจแปน ประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า แนวคิดดังกล่าวถือเป็นเรื่องที่ดีที่จะมีกองทุนหรือระบบขึ้นมาเพื่อดูแลการ รับประกันภัยต่อให้ ซึ่งคล้ายกับวิธีบริหารจัดการประกันภัยต่อในญี่ปุ่น ทั้งกรณีของโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ และกรณีแผ่นดินไหวในญี่ปุ่น ซึ่งมีกองทุนนี้เข้ามารับประกันภัยต่อภายใต้การดูแลของรัฐบาลทั้งหมด

ขณะที่ "วิชัย สันติมหกุลเลิศ" รองผู้จัดการสาขาประเทศไทย บริษัท มิตซุย สุมิโตโม อินชัวรันซ์ จำกัด สาขาประเทศไทย และในฐานะประธานคณะกรรมการประกันภัยทรัพย์สิน สมาคมประกันวินาศภัย กล่าวว่า กองทุนลักษณะนี้คงต้องมี เงินทุนในปริมาณที่ใหญ่มากพอ เป็นหลักหมื่น ๆ ล้านบาทขึ้นไป เพื่อให้มีศักยภาพมากพอที่จะบริหารความเสี่ยงและดูแลสินไหมหากมีมหันตภัย ขนาดใหญ่ได้จริง ดังนั้น ในทาง ปฏิบัติแล้วก็ต้องให้รัฐบาลเป็นแกนนำจัดตั้ง เพราะต้องใช้ปริมาณเงินจัดตั้งค่อนข้างมาก

อย่างไรก็ตาม เราก็ต้องดูความจำเป็นควบคู่ไปด้วยว่า ถ้าตั้งกองทุนขึ้นมาแล้ว จะได้ใช้ประโยชน์จากกองทุนมาก-น้อยเพียงใด ตอนนี้คนไทยประมาณ 22 ล้านครัวเรือนมีประกันที่อยู่อาศัยเพียงไม่ถึง 2 ล้านครัวเรือน เพราะคนไทยยังเข้าใจในหลักการ และเห็นประโยชน์ของประกันภัยไม่มากนัก ซึ่งหวังว่ากรณีน้ำท่วมครั้งนี้ก็จะช่วยกระตุกเตือนให้ซื้อประกันภัยกันมาก ขึ้น" วิชัยบอก

แนวคิดของการตั้งกองทุนมหันตภัยแห่งชาติก็เป็นหนึ่งในหลักการที่สำคัญสำหรับ การบริหารความเสี่ยงให้กับระบบประกันภัย ขณะเดียวกันก็ต้องทำแบบควบคู่กันไปกับการผลักดันให้ประชาชนรู้จักประกันภัย กันมากขึ้นด้วย เพื่อให้ได้ประโยชน์อย่างจริงจังกับการจัดตั้งกองทุนซึ่งเป็นระยะยาวและลง ทุนมหาศาล


ที่มา:ประชาชาติธุรกิจ
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

น้ำล้างประเทศ !!?

วิกฤตการณ์มหาอุทกภัยถล่มประเทศไทยครั้งนี้ถือเป็นปัญหาบานปลายจนยากแก้ไข ทั้งต้องสูญเสียทรัพย์สิน ระบบความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ไปจนถึงเครดิต

เป็นที่ทราบกันดีว่าวิกฤตการณ์น้ำท่วมครั้งนี้ ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง ของประเทศ ซึ่งเป็นปัญหาที่มาจากภัยธรรมชาติ และยากที่จะป้องกัน แต่ไม่ใช่ป้องกันไม่ได้เพราะในระยะเวลากว่า 3 เดือนที่ผ่านมาหากมีการบริหารจัดการอย่างสุขุมรอบคอบแล้วปัญหาที่เกิดขึ้นครั้งนี้จะไม่เป็น “อุบัติภัย” อย่างที่เกิดขึ้น

จนถึง ณ ขณะนี้ล่วงเข้าเดือนที่ 4 ของวิกฤตการณ์น้ำท่วม หน่วยงานที่ถูกตั้งขึ้นมาเฉพาะกิจอย่าง ศูนย์ปฏิบัติการ ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย หรือ ศปภ. ที่มีรมว.กระทรวงยุติธรรม พล.อ.ประชา พรหมนอก รับตำแหน่งเป็น ผู้อำนวย การศูนย์ฯ งานนี้ประชาชนได้แต่มองหน้ากันแบบงงๆ แล้วให้ สงสัยว่าเอารมว.ยุติธรรมมาทำไม รมว.มหาดไทยไปไหน
เพราะกระทรวงมหาดไทยเป็นกระทรวงที่ใกล้ชิดกับประชาชนมากกว่าไม่ใช่เหรอ??..การประสานงานน่าจะดีกว่า พร้อมกว่า แต่ทำไมถึงเป็นท่านประชายิ่งการทำงานของศปภ.ที่ผ่านมาดูจะไม่เข้าตากรรมการสักเท่าไหนนัก โดยเฉพาะเรื่องการให้ข่าวสารกับประชาชน เพราะยังไม่เข้าใจหลักการแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการเตือนภัยและชี้แจงเพื่อการเตรียมความพร้อม ของประชาชน ทำให้การชี้แจงที่ผ่านมายังสับสน กลัวแต่ประชาชนตื่นตระหนกซึ่งเป็นการหลงประเด็น ที่จริง คือประชาชนเขาต้องการรู้ว่าอาจจะเกิดอะไรจะต้องเตรียม ตัวอย่างไร เมื่อไร แถลงข่าวเหมือน PR แทนที่จะให้ ข้อเท็จจริง นี่ยังไม่รวมการปล่อยข่าวที่คลาดเคลื่อนหลาย ต่อหลายครั้งจนผู้คนแตกตื่น ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น..และฟีดแบ็กที่ได้รับกลับมาคือ.. ประชาชนไม่ปลื้ม!!

ต้องยอมรับโดยดุษณีว่ามาตรการการจัดการน้ำ ตลอด 4 เดือนมานี้ล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า เพราะการบริหาร จัดการที่ผิดพลาดทั้งการสกัดกั้นที่ผิดลักษณะขาดแผนจนกระแสน้ำเชี่ยวกราก การผันน้ำโดยไม่ประเมินปริมาณและระดับน้ำ จนภาพที่ออกมาเหมือนโฆษณาชวนเชื่อมากกว่าแก้ปัญหาอย่างจริงจัง รัฐบาลและหน่วยงานมีระยะเวลา มากพอที่จะเตรียมการป้องกันและแก้ไขปัญหาที่จะเกิดขึ้น แต่ทว่ากลับขาดเอกภาพในการบริหารสั่งการ รวมถึงยังปล่อย ให้บางพื้นที่ยังไร้การเหลียวแลจากภาครัฐ

แต่ถึงกระนั้นในภาคการเมืองก็ยังไม่วายเล่นกลเกมหมก เม็ดกันมิได้ขาด การเปิดโต๊ะสาดโคลนตอบโต้กันยังมีทั้งฝ่าย ค้านและฝ่ายรัฐบาล ฉวยโอกาสจากสื่อพรีเซ็นต์ตัวเองอยู่ตลอดเวลา

“สวนดุสิตโพล เผยผลสำรวจคนกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เรื่องน้ำท่วมกับการเมือง โดยส่วนใหญ่ร้อย ละ 76.52 เห็นว่า การแก้ปัญหาน้ำท่วมมีการเมืองมาเกี่ยวข้อง เพราะต่างฝ่ายต่างปกป้องพื้นที่ของตนเอง โดยร้อยละ 67.10 ยังเห็นว่า การที่พรรคการเมืองแทรกแซงเรื่องน้ำท่วมจะมีผลทำให้คะแนนนิยมลดลง เพราะจะกลาย เป็นเรื่องผลประโยชน์ ทั้งนี้ ส่วนใหญ่ร้อยละ 70.02 เชื่อ ว่าการเอาการเมืองมาเกี่ยวพันกับการแก้น้ำท่วม จะทำให้ แก้ปัญหาได้ยากขึ้น”

นี่แสดงให้เห็นว่า..ประชาชนเขาไม่ได้โง่จนมองไม่ออก และเฝ้าดูการทำงานของนักการเมืองอยู่ตลอดเวลา ว่าจริงใจ กับเขาแค่ไหน

แต่ที่อดสงสัยไม่ได้จริงๆ กับ “กทม.” คือมีความจริงใจแค่ไหนในการร่วมมือกับศปภ.ในการแก้ปัญหาครั้งนี้ เพราะหน่วยงานที่ส่งเข้าไปช่วยเหลือหาได้เป็นผู้ชำนาญการในการแก้ปัญหาน้ำท่วมไม่ แต่กลับเป็นเจ้าหน้าที่ของฝ่ายทะเบียนราษฎร์ ที่ทำงานเกี่ยวกับการแจ้งเกิด การแจ้งตาย การย้ายที่อยู่ การจัดทำทะเบียนคนและทะเบียนบ้าน หรือว่ากันง่ายๆ คือ เอกสารเกี่ยวกับประชาชนคนไทย!.. เอามาทำไม??..มาช่วยแก้ปัญหาอะไรให้ศปภ. แค่ที่เป็นอยู่ศปภ.ก็ปัญหาเยอะอยู่แล้ว แล้วท่านผู้ว่ากทม.มีเจตนาอะไรกันแน่

หากจะถามหาความจริงใจของนักการเมืองในการช่วยเหลือประชาชนในครั้งนี้คงยากกว่าหาน้ำใจในสังคมไทย ฉะนั้นคนไทยคงต้องช่วยเหลือกันเองโดยไม่อยากพึ่งพานักการเมืองอีกต่อไปแล้ว เชื่อได้ว่าหลังน้ำลดรอบนี้ อาจจะเป็นรอบที่ชะล้างเอาความสกปรกของการเมืองไปด้วย และถ้าเป็นเช่นนั้นการเมืองไทยคงงดงามกว่าที่เป็น อยู่อีกมากเหลือเกิน
ที่มา:สยามธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันพฤหัสบดีที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2554

หลักฐานภาพกลิ้งยาง จำคุก13เสื้อแดงมุกฯ 20ปี ข้อหาวางเพลิง !!?

ศาลมุกดาหารสั่งจำคุก 13เสื้อแดง 20 ปี ใช้หลักฐานภาพขณะกลิ้งยางเชื่อ สมรู้ร่วมคิด ปล่อยที่เหลือ 16 คน หลังโดนขังฟรีเกือบปี เจ้าหน้าที่ ตร.คุ้มกันเพียบ ญาติทนายยื่นอุทธรณ์ยืนยันความบริสุทธิ์ ต้องการกดดันไม่ให้มีการปราบที่ราชประสงค์

27 ตุลาคม 2554 ศาลจังหวักมุกดาหารได้อ่านคำพิพากษาโดย นางวรพรรณ รักความสุข ผู้พิพากษา ตัดสินให้จำคุกผู้ต้องหาเสื้้อแดงโดยพิจารณาจากภาพถ่ายทำให้ศาลเชื่อว่าจำเลยช่วยกันขนยางเข้าไปและมีการวางแผนและแบ่งหน้าที่กันให้จำคุกจำนวน 13 คนๆละ 20 ปี ส่วนที่เหลืออีก 16 คนให้ยกฟ้อง ศาลได้ใช้เวลาอ่านคำพิพากษานาน 30 นาที โดยอ่านแล้วเสร็จเวลาประมาณ11นาฬิกาเศษ

สำหรับบรรยากาศในการพิจารณาคดี มีญาติพี่น้องของจำเลยประมาณ 100 คน มาเข้าร่วมฟังการพิจารณาคดี แต่ทางศาลไม่อนุญาตให้เข้าฟัง จึงต้องรอฟังผลอยู่ภายนอก ในห้องพิจารณาคดีจึงมีเพียงจำเลยและทนายความได้เข้าร่วมรับฟัง โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมอาวุธจำนวนประมาณ 150นายตรึงกำลังอยู่โดยรอบ เมื่อการพิจารณาคดีแล้วเสร็จเจ้าหน้าที่จึงได้นำจำเลยทั้ง13คนไปขังไว้ที่เรือนจำจังหวัดมุกดาหาร

หลังจากได้รับทราบผลการพิจารณาคดี นายนิสิต สินธุไพร แกนนำ นปช. นายอนุรักษ์ ตั้งปณิธานานนท์ นายบุญถิน ปัททุมลี นายประเสริฐ บุญเรือง นายไพจิตร ศรีวรขาน พร้อมทั้ง สส.ที่มารวม 7คน ได้ติดต่อเพื่อทำเรื่องขอประกันตัวต่อศาลในชั้นอุทธรณ์ โดยศาลได้กำหนดหลักทรัพย์ในการประกันตัว 500,000บาท โดยให้ สส.1คน สามารถยื่นประกันตัวโดยใช้ตำแหน่งแทนหลักทรัพย์กับจำเลยได้ 2 คน

โดยขณะนี้กำลังรอผลการยื่นขอประกันตัวอยู่ สำหรับเหตุผลในการยื่นขอประกันตัวคือ ในการพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นจำเลยมาฟังการพิจารณาด้วยดีตรงต่อเวลามาโดยตลอดและอ้างถึงเหตุผลเรื่องสุขภาพของผู้ต้องขังซึ่งเป็นเหตุให้มีการอนุมัติในการให้ประกันตัวโดยศาลชั้น

หลังการพิจารณาคดี อานนท์ นำภา ทนายความกล่าวว่าเบื้องต้นศาลชั้นต้นพิจารณาจากภาพว่าจำเลยช่วยกันขนยางเข้าไปจริง และเชื่อว่ามีการวางแผนและแบ่งหน้าที่กันทำ ในส่วนจำเลยต่อสู้ว่า ในวันดังกล่าวมีการเจรจาให้ขนยางเข้าไปเพื่อกดดันรัฐบาลในขณะนั้นหยุดฆ่าประชาชน ซึ่งตำรวจก็มิได้ห้ามปราม รวมทั้งจำเลยให้การว่ามีการห้ามปรามกัน และบางคนก็มีการเข็นยางออกมาด้วยซ้ำ โดยนายอานนท์ได้กล่าวต่อว่า ทางจำเลยและญาติจะยื่นอุทธรณ์ผลการพิจารณาคดีของศาลชั้นต้นเนื่องจากไม่เห็นพ้องในกรณีดังกล่าว

สำหรับผู้ต้องขังที่โดนพิพากษาจำคุก 20 ปี ทั้ง13คนได้แก่ นายดวง คนยืน นายทวีศักดิ์ แข็งแรง นายณัฐวุฒิ พิกุลศรี นายไมตรี พันธ์คูน นายวิชัย อุสุพันธ์ นายวิชิต อินตะ นายพนม กันนอก นายวินัย ปิ่นศิลปชัย นายนพชัย พิกุลศรี นายสมัคร รุนลิลา นายแก่น หนองพุดสา นายทินวัฒน์ เมืองโคตร และนายประคอง ทองน้อย

ที่มา:ประชาไท
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ทวนแผนรับมือน้ำท่วมฉบับ ปักหลักอยู่บ้าน. ไม่ย้าย ไม่อพยพ !!?


เชื่อว่าหลายบ้านยังคงปักหลักรอน้ำมาอย่างใจจดใจจ่อปนเครียดปนกังวล จะด้วยสาเหตุใดที่ไม่สามารถอพยพหรือออกจากกรุงเทพมหานครไปได้ โดยเฉพาะปัญหาหลักๆคือ อยู่ดูแลกลุ่มผู้สูงอายุที่ไม่ยอมอพยพพร้อมสัตว์เลี้ยง หรือความกังวลโจรขโมย ฯลฯ

ดังนั้นเมื่อต้องเตรียมใจอยู่รับมือ "สถานการณ์น้ำท่วม" อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นมาทวนว่าได้ "ลงมือ" เตรียมการรับน้ำและชีวิตที่ต้องอยู่กับน้ำท่วมกันอีกซักครั้ง

กฎหลัก "ยกของขึ้นที่สูง" เท่าที่จะเลือกยกและเลือกพิจารณา ระวังอย่าห่วงของทุกอย่างมากจนการยกของทำให้ต้องมารักษาอาการปวดหลังได้หลังน้ำลดไปแล้ว

หลายบ้านคงได้เตรียมการทั้งฟิวเจอร์บอร์ด กระสอบทราย ก่ออิฐ เทปูน ในหลายแบบที่จะกั้นน้ำที่จะเข้าบ้าน รวมไปถึงการอุดท่อต่างๆ ทั้งท่อระบายน้ำในบ้าน และโถส้วม (รายละเอียดสามารถดูได้อย่างในภาพ)







(เครดิตภาพจากพันทิป)

กฎข้อต่อมา ตรวจตราปลั๊กไฟ เต้าเสียบ ให้แน่ใจว่าอยู่ในตำแหน่งเสี่ยงน้ำท่วมถึงหรือไม่ หากไม่แน่ใจ ขอให้ทำการเบื้องต้นด้วยการหาพลาสติกหรือเทปปิดที่ช่องปลั๊ก หรือยาด้วยกาวซิลิโคน แม้จะช่วยไม่ได้หมด เพราะข้อเท็จจริงที่ต้องยึดถือปฏิบัติ คือการสับคัทเอ้าท์ทันที่น้ำเข้ามาในบ้าน

ซึ่งวิธีการหาพลาสติกหรือสก๊อตเทปกันน้ำมาปิดที่ช่องปลั๊ก จะช่วยทำให้เมื่อหลังน้ำลดแล้ว หากปลั๊กมีน้ำค้างก็จะมีจำนวนน้อยลงหรือเพียงชื้นๆ ถือเป็นการเตรียมการเพื่อความปลอดภัยหลังน้ำลดอีกชั้นหนึ่ง

กฎสำคัญที่สุด เมื่อน้ำเริ่มผุดขึ้นในบ้าน สับคัทเอ้าท์ทันที เพราะเมื่อผุดมาได้ตามท่อแล้วน้ำจะขึ้นไวมาก หากจะรีบแก้สถานการณ์ ก็ต้องสับคัทเอ้าท์ก่อน หากบ้านมีชั้นเดียวยิ่งต้องรีบดำเนินการอย่างรวดเร็ว หากบ้านมีสองชั้น ขอให้ไปตรวจดูล่วงหน้าว่าคัทเอ้าท์ได้แบ่งวงจรระหว่างชั้น 1 และชั้น 2 หรือไม่ ถ้าแบ่งขอให้มีการซ้อมสับคัทเอ้าท์ และตรวจให้เรียบร้อยว่าไฟได้ถูกตัดจริง เพื่อให้เมื่อน้ำมาจะได้ไม่ฉุกละหุก

ข้อคิดอีกอย่างคือหากเป็นบ้านทาวน์เฮาส์ควรได้มีการหารือกับเพื่อนบ้านเช่นกันว่าจะต้องสับคัทเอ้าท์ เพื่อป้องกันหากลงมาเดินลุยน้ำบริเวณด้านนอกบ้าน

กฎอีกประการ พยายามอย่าเดินเท้าเปล่าในบ้าน แม้จะมีการสับคัทเอ้าท์ไปแล้วก็ตาม ควรใส่รองเท้าแตะที่เป็นผ้า หรือรองเท้าผ้าใบ รองเท้าบูท รองเท้าพื้นยาง เพื่อป้องกันเรื่องกระแสไฟ

สำหรับผู้ใช้งาน ต้องไม่ยืนอยู่บนพื้นที่ชื้นแฉะ สวมรองเท้า เมื่อเปิดใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าแล้วพบสิ่งผิดปกติ เช่น มีกลิ่นเหม็นไหม้ เสียงดัง ฯลฯ ให้หยุดใช้งานในทันที

ส่วนการช่วยเหลือผู้ถูกไฟฟ้าดูด 1) ห้ามใช้มือเปล่าหรือส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายสัมผัสถูกตัวผู้ถูกไฟฟ้าดูด ให้ยืนอยู่บนพื้นหรือวัสดุที่แห้งและสวมรองเท้าพื้นยาง

2) รีบตัดกระแสไฟฟ้า โดยสับสวิตช์ไฟ ยกสะพานไฟและเบรกเกอร์ออกในทันที หรือนำวัสดุที่เป็นฉนวนป้องกันไฟฟ้า เช่น ผ้าแห้ง กิ่งไม้แห้ง ฯลฯ มากระชาก ผลัก หรือดันตัวผู้ถูกไฟฟ้าดูดออกจากจุดที่มีกระแสไฟฟ้ารั่ว

และ 3) เมื่อช่วยเหลือผู้ถูกไฟฟ้าดูดออกมาได้แล้ว หากหมดสติให้ปั๊มหัวใจหรือผายปอดโดยการเป่าปาก และรีบนำส่งโรงพยาบาลในทันที



เมื่อตัดสินใจไม่ย้าย ไม่อพยพ การติดตามข่าวสารได้เป็นเรื่องที่ควรทำ หากยังไม่ถูกตัดไฟ ยังสามารถรับข่าวสารผ่านทีวี วิทยุ หรืออินเทอเน็ตผ่านโซเชียลมีเดียยังเป็นเรื่องที่ดี แต่หากน้ำท่วมสูงและตัดไฟ ขอให้เตรียมการล่วงหน้าในการชาร์จแบตโทรศัพท์ที่มีทั้งหมด รวมทั้งหาซื้อถ่านใส่วิทยุ ถ่านใส่ไฟฉาย และอุปกรณ์อื่นใดที่ให้แสงสว่าง หรือสามารถทำให้รับฟังข้อมูลข่าวสารได้

เมื่อต้องติดเกาะอยู่บ้าน อาหาร-น้ำ-ยาสามัญประจำบ้านต้องพร้อม น้ำต้องรองน้ำกินและน้ำใช้ให้พอเท่าที่จะพอได้

เตรียมการจดเบอร์โทรศัพท์สำคัญแปะไว้ตามผนังจุดที่เห็นได้ชัด ตั้งแต่เบอร์ขอความช่วยเหลือของหน่วยงานรัฐ รวมไปถึงเบอร์ของสำนักข่าวสื่อสารมวลชนที่เปิดรับเรื่องร้องเรียน เบอร์ของการไฟฟ้าฯ ฯลฯ และเบอร์คนรู้จักหรือบุคคลที่จะสามารถให้การช่วยเหลือได้ ส่วนใครที่ยังสามารถใช้โซเชียลมีเดียอย่างทวิตเตอร์ และเฟซบุคได้ ขอให้ใช้ช่องทางนี้อีกด้าน อาทิ js100radio ของจส.100 และ FM91trafficpro เป็นต้น

หมายเลขฉุกเฉินต่างๆที่ควรทราบมีดังนี้
1) หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ช่วยผู้ประสบภัยสาธารณสุข โทร 1669
2) สายด่วนกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย โทร 1784
3) สายด่วนกรมชลประทาน โทร 1460, 026692560
4) สายด่วนกรมทางหลวง โทร 1586
5) ศูนย์ปลอดภัยคมนาคม 1356
6) กรมทางหลวงชนบท 1146
7) การรถไฟฯ 1690
8) บขส. 1490
9) ตำรวจทางหลวง 1193 สอบถามเส้นทางน้ำท่วมได้ 24 ชม.
10) หน่วยแพทย์ฉุกเฉิน 1669 กู้ชีพฟรี
11) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค 1129

อย่างไรก็ตามขอให้พยายามทำใจ เมื่อตัดสินใจไม่อพยพ และย้ายแต่เบื้องต้น การประสานติดต่ออาจจะต้องคอย

จัดกระเป๋าสำรองที่มีเสื้อผ้าพอใช้ อย่าให้หนักมาก กับเอกสารสำคัญห่อพลาสติกใส่กระเป๋าไว้ เมื่อหากต้องอพยพหลังติดเกาะมาหลายวันจะได้หยิบได้ทันที

เมื่อน้ำเข้าบ้านจะมียุงตามมาด้วยจำนวนมาก เพราะน้ำดันทะลุท่อระบายน้ำ หากเตรียมยากันยุงได้ทันก็ควรเตรียม

เตรียมไม้ยาวๆ เช่น ไม้กวาดหยากไย่ที่มีความยาว ทำปลายไม้ด้วยไม้แขวนเสื้อใช้เป็นที่เกี่ยวของ หากจำเป็นจะได้ใช้ไม้ยาวนี้ในการรับอาหารน้ำดื่มที่มีการส่งเข้ามาบริจาค

เรื่อง ใกล้ตัวยังรวมถึงการขับถ่ายอุจจาระ ให้ใส่ถุงพลาสติกและใส่ปูนขาวลงไปเล็กน้อย ปิดปากถุงให้แน่น แล้วซ้อนใส่ถุงดำอีกชั้นก่อนนำไปทิ้งในบริเวณที่จัดไว้

สิ่งที่ต้อง ระมัดระวังคือสัตว์มีพิษที่อาจหนีน้ำท่วมเข้ามาอาศัยอยู่ในบ้าน โดยเฉพาะบริเวณใต้ตู้ รองเท้า เสื่อ ควรปิดฝาภาชนะกักเก็บน้ำให้มิดชิด เพื่อกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงที่อาจเป็นพาหะของโรคในช่วงน้ำท่วม

หากคิดอพยพแล้ว หรือต้องการออกนอกบ้านชั่วคราวไปหาอาหาร น้ำดื่ม ด้วยการโดยสารเรือ ให้สวมใส่เสื้อชูชีพหรือนำอุปกรณ์ที่ลอยน้ำได้ติดไว้ในเรือ เช่น ถังแกลลอนเปล่าที่มีฝาปิดมิดชิด ลูกมะพร้าวแห้ง ห่วงยาง เพื่อใช้ลอยตัวกรณีเรือล่ม สิ่งของมีค่า เอกสารสำคัญเก็บไว้ในถุงพลาสติกกันน้ำ

และท้ายสุดพยายามใจเย็น ตั้งสติ และอย่าวิตกกังวล เมื่อตัดสินใจอยู่บ้าน หากน้ำเข้ามาจริงก็ต้องทำใจ ข้าวของเป็นสิ่งนอกกาย แต่สิ่งสำคัญคือระมัดระวังความปลอดภัยของผู้อยู่อาศัยในบ้านเป็นหลักเหนือสิ่งอื่นใด
ที่มา:ประชาชาติธุรกิจ

/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันพุธที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2554

อย่าโทษ. ที่ปลายเหตุ !!?

ป้องกันน้ำท่วมไม่ได้ โยนโครม โทษความผิดมวลใหญ่มาให้ “นายกฯปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นเรื่องทุเรศ??
ก่อนนารีขี่ม้าขาว เข้ามาคุมาอำนาจขั้วแห่งประเทศไทย..แผ่นดินก็สำรักน้ำไปทั่ว
จุดวิบัติหายนะ มาก่อน “นายกฯปู” จะสวิงสวายเข้ามา..ฉะนั้น,อย่ายัดเหยียดอะไรมั่วๆ
เข้ามาแก้ปัญหา ผ่อนหนักให้เป็นเบา ...วิกฤติหนักสาหัสเช่นนี้ ยังพาบ้านเมืองรอด!!!
ที่นี่ตรงนี้ให้กำลังใจ....ถือว่า “นายกฯปู”แก้ปัญหาได้..น่าพอใจสุดยอด

+++++++++++++++++++++++++++++

การเมืองชิงอำนาจ!!
เอาความทุกข์ร้อนยากเข็ญ ..คนไทยต้องจมน้ำท่วม ๕๐ กว่าจังหวัด...มาบีบ “รัฐบาลปู”ให้พ้นไป...เป็นเรื่องอุบาทว์??
และเริ่มเห็นชัด...ว่ามีการใช้มวลสารน้ำก้อนใหญ่ เป็นเหตุอ้าง “นายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” เป็น “ของต้องห้าม” ของแผ่นดิน ยก “นายกฯปู”มาตำหนิ กล่าวร้าย ซะแทบดาวดิ้น
แท้ที่จริง “มหาวิบัติภัยน้ำท่วม” มีการเต้าข่าว เร้าอารมณ์เพื่อโยนความผิดใส่ “นายกฯปู”
เดินแผนวิชามาร...ทำแต่เรื่องหน้าด้าน?....ไม่อายกันมั่ง เลยล่ะหนู???

++++++++++++++++++++++++++++

ซ่อมแซมประเทศ!!!
ต้องยกเครื่องใหม่ ด้านบริหาร กันอย่างยกใหญ่ แบบอัพเกรด??
ไอ้เรื่องทุเรศ ที่เอาทรัพยากรบุคคล ดีหนึ่งประเทศหนึ่ง ที่โดนเว้นวรรคการเมือง..เพื่อให้บางพรรคได้กรรมสิทธิ์ เข้ามาเป็น “นายกรัฐมนตรี”
ไปแขวนเอา คนบ้านเลขที่ ๑๑๑ และ ๑๐๙ จนชาติไร้สมอง ขาดคุณภาพที่ดี
เห็นด้วยที่ “คุณหญิงหน่อย” สุดารัตน์ เกยุราพันธ์ุ สมาชิกบ้านเลขที่๑๑๑ ลงมาช่วยแก้ปัญหาน้ำท่วม..รวมทั้งคนดี “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์”, “จาตุรนต์ ฉายแสง” เข้ามา ช่วยคนละไม้ละมือ!!!
อยากให้บางพรรคเป็นรัฐบาล....แต่บ้านเมืองวอดวายมหันต์?..มันคุ้มกันแล้วล่ะหรือ

+++++++++++++++++++++++++++++

“พลังไทย” ยังมีอีกมาก!!!
กลุ่มนักศึกษา “รด.” ต้องเรียกระดมมาช่วยยามน้ำท่วม และน้ำลด..เพื่อบรรเทาความทุกข์ยาก
เพียงกำลังพล ของกองทัพ ทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ ยังรับวิบัติมหาตะภัยนี้ไม่อยู่
ต้องดึง “พลังเด็กหนุ่ม” จาก “รด.” มาเป็นกำลังเสริม กำลังช่วย ถึงจะแก้ปัญหาได้เร็ว เข้าตากรรม น่าดู
“บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้เป็นจ่าฝูงของกองทัพ..ต้องเร่งระดมพล “รด.” มาเป็นพลังแผ่นดิน เพื่อช่วยวิกฤติชาติให้พ้นภัย!!!
ฝึก รด.อย่างน่าเกรงขาม.....ฝึกเอาไว้ใช้ในยามสงคราม?...ขอถามสักคำ มีที่ตรงไหน???

+++++++++++++++++++++++++++++

มาไว เคลมเร็ว ตามระเบียบ!!
เมื่อผลงาน “รัฐบาลปู๑” บางคนไม่เข้าตา ก็ต้องโล๊ะ เสียให้เรียบ??
ปล่อยให้ “ผบ.เหล่าทัพ” ใช้อำนาจ “สภากลาโหม” ใหญ่กว่า รัฐมนตรี..ดังนั้นการรุสต๊อก “บิ๊กอ๊อด” พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา จึงเป็นเรื่อง จำเป็น
เหมือนกันกับ “พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต” รัฐมนตรีว่าการคมนาคม ก็ต้องไปเช่นกัน เท่าที่เห็น
เป็นหน่วยงานหลัก เป็นหน่วยงานตัวแม่ ที่จะป้องมหาวิบัติภัยได้อย่างเต็มสตรีม..แต่ก็ไม่โชว์พาว โชว์ออฟเท่าที่ควร
กราบเรียนนายกฯปูคนดี..รัฐบาลจะมีคุณภาพกว่านี้...บางทีต้องปลดรัฐมนตรีพวกนี้เป็นการด่วน

ที่มา:คอลัมน์ ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
***********************************************

ดึงน้ำฆ่าปู. แผนแตก เจอม.31 !!?

ในห้วงเวลาวิกฤต จะช่วยให้รู้ซึ้งถึงแก่นแท้ของคนแต่ละคน ว่าจริงๆแล้วเป็นเทพ หรือเป็นมาร ยึดมั่นผลประโยชน์ประชาชน หรือว่ามุ่งหวังแต่ผลประโยชน์ส่วนตัว

ยิ่งกับอุทกภัยครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในรอบนี้ ไม่ใช่เรื่องเล็กๆที่จะช่วยให้บรรดา “อีแอบ”ทั้งหลาย ยังสามารถที่จะซ่อนหางได้อย่างมิดชิด ใครเป็นอย่างไรในวันนี้เชื่อว่าประชาชน คนไทยที่โดนน้ำท่วมต่างก็รู้กันดีมากขึ้น

เพราะความเดือดร้อนนั้นแผ่กระจายโดยตรงไปกว่าครึ่งค่อนประเทศ พลังของน้ำนั้นกวาดเรียบไล่มาจากภาคเหนือ ลงสู่ภาคกลาง เพื่อต้องการที่จะไหลลงสู่อ่าวไทย

แต่ปัญหาใหญ่ที่เกิดขึ้นก็คือ กรุงเทพฯซึ่งเป็นเมืองหลวง ซึ่งเป็นใจกลางของเศรษฐกิจที่สำคัญของคนไทยทั้งประเทศ ดันมาเป็นเมืองที่ขวางทางลงของมวลน้ำที่จะไหลลงสู่อ่าวไทย

ถ้ากรุงเทพฯท่วม ความเสียหายที่ว่ากันว่าขณะนี้อยู่ที่ 2-3 แสนล้านบาทนั้น จะทวีคูณความเสียหายขึ้นเป็น 4-5 แสนล้านบาทเลยก็เป็นได้ ถือเป็นความเสี่ยงสูงสุดสำหรับรัฐบาลในการตัดสินใจ

กรีดน้ำแหวกออกซ้ายขวา เพื่อให้กรุงเทพฯเป็นไข่แดงตรงกลาง ในทางปฏิบัติก็ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายอยู่แล้ว แต่ก็ยังต้องเจอกับปัญหาจังหวัดรอบข้าง หรือเมืองบริวารของกรุงเทพฯที่กลายเป็นแหล่งรับน้ำแทน
วันนี้ด้านตะวันตก ปทุมธานี นนทบุรี โดยเฉพาะปากเกร็ด บางบัวทอง บางใหญ่ บางกรวย ไทรน้อย กลายเป็นเมืองล่มไปหมดแล้ว

แถมยังมีนครปฐม บางเลน ที่กำลังกลายเป็นทางผ่านของน้ำเพื่อป้องกันกรุงเทพฯ
ไม่แตกต่างกับด้านตะวันออกที่จะมีการผันน้ำเข้าสู่ 5 คลองหลัก ใน 4 เขต ได้แก่ มีนบุรี หนองจอก ลาดกระบัง และคลองสามวา เพื่อให้ไหลลงสู่อ่าวไทย

แน่นอนว่าต้องผ่านรังสิต เฉียดกรุงเทพฯ ออกฉะเชิงเทรา กระทบกันอ่วมไปตามๆกัน
หนีไม่พ้นที่จะเป็นแรงกดดันสำหรับรัฐบาล ที่โดนตั้งคำถามว่า ตัดสินใจได้ถูก หรือเหมาะสมเพียงใด???
แต่ที่ร้ายที่สุดก็คือประเด็นโจมตีทางการเมือง เป็นภัยแทรกซ้อนขึ้นมาในสภาวะวิกฤตอุทกภัยใหญ่
ไม่น่าเชื่อว่า จะมีพฤติกรรมเช่นนี้เกิดขึ้นมาได้ในภาวะหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้
หัวจิตหัวใจของคนบางกลุ่มที่เรียกตัวเองว่าเป็นนักการเมืองนั้นไม่รู้ว่าทำด้วยอะไร จึงอำมะหิตได้อย่างไม่รู้จักกาละเทศะเช่นนี้

ในขณะเดียวกัน ก็ยังมีกลุ่มคนในสังคมบางกลุ่มที่ไม่ได้มากมายอะไร เพราะพิสูจน์ให้เห็นชัดจากความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคมที่ผ่านมา... ชัยชนะอย่างท่วมท้นของพรรคเพื่อไทย ด้วยจำนวนเสียงของผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งกว่า 15 ล้านคน

เป็นข้อพิสูจน์ได้เป็นอย่างดี ว่าขั้วการเมือง 2 ขั้ว รวมทั้งบรรดาตัวแทรกทางการเมือง ที่พยายามปลุกปั่นสร้างสาวกเอาไว้เป็นอำนาจใจการต่อรองทางการเมืองนั้น
ของจริง ของแท้ในมือของแต่ละขั้วนั้น มีเท่าไรกันแน่

แต่เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองที่มุ่งหวัง แม้จะชัดเจนว่าเป็นแค่ชนกลุ่มน้อย แต่ก็พยายามทำตัวเป็นคนกลุ่มน้อยที่ขยันพูด ขยันวิจารณ์ ขยันปั่นกระแส และขยันโจมตี

พยายามทำทุกทางเพื่อที่จะให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองให้ได้ แม้ว่าจะรู้ทั้งรู้ว่ารัฐบาลชุดปัจจุบันเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอย่างแท้จริง และก็ไม่ได้มีการจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหารเลยสักนิด
ทุกวันนี้ในโซเชี่ยลเน็ตเวิร์กที่คนกลุ่มนี้เข้าถึงได้มีการพยายามปั่นประแส เพื่อหาเรื่องโจมตีรัฐบาลในทุกเรื่อง โดยไม่สนว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ไม่สนว่าจะเป็นการบิดเบือน เป็นการกล่าวหาที่ไม่มีความจริงเลยสักนิด

หรือไม่ได้กังวลเลยสักนิดว่า จะเขียนข้อความโดยมีการกล่าวอ้างที่พาดพิงไปถึงสถาบันใดๆ
เห็นนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ทำงานสู้น้ำท่วมเคียงคู่กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ก็ตาร้อนผ่าวกลัวว่า หากยังร่วมมือทำงานไปด้วยกันเรื่อยๆ จะเกิดความเข้าใจกัน จะเกิดความร่วมมือกันแน่นแฟ้นขึ้น

พอถึงเวลาจะยุแยงตะแคงรั่วให้แตกกันลำบาก จะยุให้กองทัพทำการปฏิวัติรัฐประหารได้ไม่ง่าย ก็เลยต้องเสี้ยมเสียตั้งแต่ตอนนี้

แค่รัฐบาลตัดสินใจออกคำสั่งภายใต้ พ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยปี 2550 มาตรา 31 ในการเตือนภัยพิบัติร้ายแรง โดยให้ทุกหน่วยงานขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี เพื่อการทำงานที่เป็นเอกภาพ
ก็เร่งแปลงสารว่า รัฐบาลรวบอำนาจ นายกฯปูอยากเป็นใหญ่ อยากเก่งคนเดียว

ทั้งๆที่มาตร 31 เป็นเรื่องการการรวมศูนย์ในการทำงานเพื่อให้เกิดพลังสามัคคี เนื่องจากที่ผ่านมาเจอทั้งพวกที่เข้าเกียร์ว่าง พวกมือไม่พายเอาเท้าราน้ำ และพวกที่พยายามปัดแข้งปัดขาในการทำงานอย่างไม่ละอาย

ยิ่งในการปกป้องพื้นที่ กทม. ไม่น่าเชื่อว่ายังดันทะลึ่งมีการแบ่งขั้วการเมืองกันอยู่อีก รัฐบาลเป็นเรื่องของนายกฯปูกับพรรคเพื่อไทย ในขณะที่ กทม.ต้องเป็นเรื่องของ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร และพรรคประชาธิปัตย์ เท่านั้น

แต่เวรกรรมในพรรคประชาธิปัตย์เอง ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ ก็โดนเล่นกันเองแทงกันเอง เพราะบางกลไกในกทม. ดันถูกขีดเส้นแบ่งว่า นี่คือคนของผู้ว่าฯคนนี้ แต่อีกกลุ่มเป็นคนของอดีตผู้ว่าฯกทม.อีกคน
เล่นกันเละตุ้มเป๊ะ จนทำให้การระวังป้องกันและการระบายน้ำใน กทม. ไม่เป็นเอกภาพ
ทำเอาคน กทม.ต้องลุ้นระทึกว่า ฟังรัฐบาลอย่งหนึ่ง ฟังผู้ว่าฯ กทม.ก็อีกอย่างหนึ่ง ยิ่งถ้าฟังพรรคประชาธิปัตย์บางคนที่หวังเขย่าสถานการณ์ด้วยแล้วยิ่งไปกันใหญ่
ไม่รู้ว่า กรุงเทพฯจะรอดน้ำท่วมหรือไม่รอดกันแน่

คนกรุงเทพฯหลายคนบอกฟังข่าวของคนพวกนี้บางทีอยากจะเขวี้ยงให้โทรทัศน์พัง แต่นึกได้ว่าโทรทัศน์เป็นของตัวเอง พังไปนักการเมืองพวกนั้นก็ไม่รู้สึก สู้จดใส่บัญชีเอาไว้ว่า ไม่ว่าอย่างไรก็จะไม่ขอเลือกคนพวกนี้เป็นเด็ดขาดน่าจะดีกว่า

เพราะมีอย่างที่ไหน พอเล่นงานเรื่อง ม.31 ไม่ได้ผล ก็หันมากดดันว่าจะต้องใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯเหมือนกับรัฐบาลที่ผ่านมา ซึ่งใช้ตอนสลายการชุมนุมของประชาชน โดยหวังว่าจะได้เป็นข้ออ้างว่า เห็นหรือไม่ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯนั้น รัฐบาลนายกฯปู ก็มีการประกาศใช้เหมือนกัน

ฟังแล้วนอกจากสมเพชแล้ว ยังอดนึกถึงนิทานอีสป เรื่อง หมาจิ้งจอกหางด้วนไม่ได้
ตัวเองหางด้วนตัวเดียวไม่พอ ต้องพยายามให้คนอื่นหางด้วนไปด้วย
นี่หรือคือการเมืองสร้างสรรค์???

แม้แต่ความสูญเสียของประชาชน ก็ยังเอามาเป็นประเด็นทางการเมืองได้อย่างหน้าตาเฉย ก็กรณีการเสียชีวิตอย่างน่าสลดของคนในชุมชนบางบัวทองจำนวน 8 ศพนั้น รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ฉวยโอกาสออกมากระตุ้นประชาชนให้ฟ้องศาลเล่นงานนายกฯยิ่งลักษณ์ โดยไม่รู้ ไม่มีข้อมูลความจริงเลยแม้แต่น้อย
เพราะคนที่ออกมาพูดเจื้อยแจ้ว ไม่ได้ไปลงพื้นที่บางบัวทองเลยสักนิด

จึงไม่รู้ว่า จริงๆแล้วการไฟฟ้าฯได้มีการตัดไฟไปแล้ว ก่อนเกิดโศกนาฏกรรม แต่หลังตัดไฟทำให้คืนนั้นตลาดบางบัวทองมืดมิด บรรดาสวะมนุษย์ที่ฉวยโอกาสซ้ำเติมผู้เดือดร้อน ได้ออกมาโจรกรรมลักขโมย งัดแงะบ้านเรือนในบางบัวทองเป็นจำนวนมากมาย

จึงทำให้คนบางบัวทองต้องไปร้องขอทางการไฟฟ้าฯให้ช่วยต่อไฟกลับมา เพราะทนถูกโจรกรรมไม่ไหว จนนำมาซึ่งโสกนาฏกรรมในที่สุด

ชาวบ้านบางบัวทองเข้าใจในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมจึงมีการเอาการตายของผู้คนซึ่งเป็นเรื่องน่าเศร้า ให้กลายมาเป็นประเด็นทางการเมืองเยี่ยงนี้ ไม่รู้สึกอะไรเลยอย่างนั้นหรือ
ไม่รู้ว่าระหว่าง สวะมนุษย์ กับ สวะการเมือง ที่มากับน้ำท่วมใหญ่ครั้งนี้ อะไรย่ำแย่กว่ากัน อะไรเป็นสวะที่สมควรจะถูกกำจัดให้หมดไปจากสังคมไทยมากกว่ากัน???

หรืออย่างกรณีของมหาวิทยาลัยธรรมศาตร์ศูนย์รังสิต ซึ่งอุทิศตัวอุทิศสถานที่รับใช้ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนที่ประสบภัย ตามแนวอุดมการณ์ของธรรมศาสตร์ ของท่านผู้ประศาสน์การ ปรีดี พนมยงค์

แม้ว่าสุดท้ายธรรมศาตร์รังสิตเองจะต้องประสบชะตากรรมน้ำท่วมเสียเอง แต่ก็ยังไม่ทอดทิ้งประชาชน ไม่ปล่อยวางภารกิจ

ในขณะที่ที่อื่นๆนิ่งเงียบ แต่ที่แย่สุดๆก็คือบางที่กลับยังปั่นกระแสปล่อยข่าวไม่หยุด โดยไม่คิดจะทำภารกิจช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อนเลยแม้แต่น้อย

ก็แบบนี้นี้แหละที่ทำให้ขณะนี้กระบวนการข่าวลือ ดูเหมือนจะมีออกมาเป็นลูกระนาดอย่างผิดปกติ เป้าหมายก็คือการมุ่งโจมตีรัฐบาลและนางสาวยิ่งลักษณ์
เพื่อหวังให้เกิดการพลิกขั้วทางการเมืองให้ได้

ทำกันเป็นกระบวนการ โดยที่มีสื่อบางสื่อ มีสถานีโทรทัศน์บางช่องออกมาเขย่าขวัญประชาชนตลอดเวลา พร้อมกับเสนอข่าวไปในทิศทางเดียวกันว่า การช่วยเหลือล่าช้า การช่วยเหลือไม่ทั่วถึง
แต่ในขณะเดียวกันกลับมีสวะอีกกลุ่มหนึ่ง ที่ไม่น่าเชื่อว่าจะลงทุนกลั่นแกล้งเพื่อขัดขวางการช่วยเหลือของภาครัฐ ขัดขวางการนำรถทหาร รถโดยสาร รถบรรทุก ที่จะเข้าไปขนคนออกมา ด้วยการโรยตะปูเรือใบ ไม่ให้เอารถเข้าไปช่วยคนได้สะดวก

ต้องการโจมตีทางการเมือง ถึงกับเอาความเดือดร้อนของผู้คนมาเป็นเครื่องมือ ใครที่ทำเรื่องเช่นนี้ได้ลงคอ ต้องถือว่า แย่ยิ่งกว่าสวะที่ลอยตามน้ำท่วมในเวลานี้เสียอีก

สภาพที่เกิดขึ้นในขณะนี้ แทนที่ขั้วการเมืองต่างๆจะถือเป็นภาวะวิกฤตที่ต้องช่วยกันกอบกู้ช่วยเหลือประชาชนโดยไม่แบ่งเขาแบ่งเรา เพื่อให้ประเทศชาติผ่านพ้นวิกฤตให้ได้
แต่กลับกลายเป็นว่า ฉวยวิกฤตประชาชน เพื่อหวังผลทางการเมืองเสียนี่…..
น้ำท่วมรอบนี้ สวะลอยเกลื่อนเมืองเกลื่อนประเทศจริงๆ!!

ที่มา:บางกอกทูเดย์.
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////<

วันอังคารที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2554

กองทัพสหรัฐฯถอนเรือช่วยน้ำท่วมกลับ เหตุ รบ.ไทยท่าทีไม่ชัด ด้านทูตสหรัฐยันนาวิกฯยังทำงานอยู่ในพื้นที่ !!?

เรือขนส่งอากาศยานของสหรัฐ 'ยูเอสเอส จอร์จ วอชิงตัน' ที่เตรียมช่วยอุทกภัยในไทย ถอนกลับแล้ว หลังจากรบ.ไทยส่งสัญญาณไม่ชัดเจนในการขอความช่วยเหลือ ด้านไทยปฏิเสธ ไม่ได้ปัดความช่วยเหลือ ทูตสหรัฐระบุ ทีมนาวิกฯ สหรัฐ ยังช่วยน้ำท่วมในพื้นที่

สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า กองทัพเรือสหรัฐได้ถอนเรือจำนวนหนึ่งที่ส่งมาให้ความช่วยเหลืออุทกภัยน้ำท่วมในประเทศไทย กลับฐานทัพของสหรัฐไปแล้ว เนื่องจากได้รับสัญญาณที่ "ไม่ชัดเจน" จากรัฐบาลไทย

โฆษกกองทัพเรือสหรัฐ ชี้ กลับเพราะไม่ได้รับคำขอที่ชัดเจน

รายงานดังกล่าว อ้างคำพูดของโฆษกกองทัพเรือสหรัฐ นาวาตรีจอห์น เพอร์กิน ซึ่งระบุว่า เรือบรรทุกเครื่อบินยูเอสเอส จอร์จ วอชิงตัน และเรืออื่นๆ อีกจำนวนหนึ่ง ถูกส่งมาในพื้นที่ใกล้เคียง เพื่อเตรียมพร้อมการให้ความช่วยเหลือต่ออุทกภัยในประเทศไทย อย่างไรก็ตาม กองทัพสหรัฐ ไม่เคยได้รับคำขอร้องอย่างเป็นทางการจากรัฐบาลไทย ทำให้สหรัฐตัดสินใจถอนเรือขนส่งเครืองบิน และเรือลำที่สี่ ออกจากพื้นที่ดังกล่าว และถอนกลับไปประจำที่กองทัพสหรัฐ

พวกเราเตรียมพร้อมที่จะช่วยอยู่แล้ว หากแต่เราไม่ได้รับคำร้องขอ" เจ้าหน้าที่กองทัพสหรัฐรายหนึ่งที่ไม่เปิดเผยชื่อกล่าว "มีสองช่องทาง (สำหรับรัฐบาลไทย) หนึ่งก็คือตอบรับว่า 'รับ' และอีกอัน ก็คือ 'ไม่รับ'"
เรือขนส่งอากาศยานขนาดใหญ่ ยูเอสเอส จอร์จ วอชิงตัน ได้เดินทางมาถึงท่าเรือประเทศสิงคโปร์เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม และสี่วันถัดจากนั้น ก็ได้รับคำสั่งให้หันหัวเรือและเดินทางต่อมายังประเทศไทย เพื่ออยู่ในตำแหน่งที่เตรียมพร้อมหากได้รับการขอความช่วยเหลือ

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 15 ต.ค. ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่กองทัพเรือสหรัฐจำนวนสิบคน ได้เดินทางมายังประเทศไทย เพื่อขนส่งถุงทรายหลายพันถุง และเพื่อประเมินว่า กองทัพสหรัฐจะสามารถช่วยเหลือไทยได้อย่างไร
ในขณะนี้ เรือขนส่งเครื่องบิน ยูเอสเอส จอร์จ วอชิงตัน อยู่ในระหว่างการเดินทางไปยังญี่ปุ่น เพื่อเข้าร่วมการฝึกทหารประจำปี

ทางการไทยแจง ไม่ได้ปฏิเสธความช่วยเหลือ

ด้านสุรพงษ์ โตจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ว่า ยังไม่ทราบรายละเอียดที่ชัดเจน แต่จะกลับไปหารือที่กระทรวงว่าเป็นอย่างไร และกล่าวว่า ทางกองทัพสหรัฐและทหารไทยได้เดินทางลงไปยังพื้นที่ และมีข้อสรุปร่วมกัน ซึ่งเขายังไม่เห็น แต่ตอนแรกที่สหรัฐประสงค์จะให้ความช่วยเหลือ ประเทศไทยก็ยินดี อย่างไรก็ตาม ต้องขอดูรายงานในรายละเอียดล่าสุด
รมว. กระทรวงต่างประเทศกล่าวต่อว่า จนถึงขณะนี้ เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำประเทศไทย ยังไม่ติดต่อมา และทราบว่า เรือดังกล่าวของสหรัฐจะเดินทางกลับ แต่ประเทศอื่นๆ เช่น จีน ไม่มีปัญหาอะไร

นอกจากนี้ มติชนออนไลน์รายงานว่า ฐิติมา ฉายแสง โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ปฏิเสธกระแสข่าวดังกล่าว โดยกล่าวว่า ไทยยินดีรับความช่วยเหลือจากมิตรประเทศ ส่วนที่มีข่าวว่าเรือบรรทุกเครื่องบินสหรัฐจะเดินทางไปประเทศอื่น แปลว่าสหรัฐถอนความช่วยเหลือจากไทยจึงไม่เป็นความจริง เพราะเรือดังกล่าวจะแวะผ่านภูมิภาคนี้อยู่แล้ว มีความคิดจะเข้ามาช่วยเหลือไทยจริง แต่เนื่องจากช่วงเวลากระชั้นชิดและมีกำหนดการเดินทางไปประเทศอื่น จึงเดินทางออกไปโดยไม่เกี่ยวกับการถอนความช่วยเหลือแต่อย่างใด

ด้านคริสตี เคนนี เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ได้ชี้แจงต่อข่าวดังกล่าวในทวิตเตอร์ส่วนตัว ราว 10 นาฬิกาของวันนี้ (25 ต.ค. 54) ว่า ในขณะนี้ ทีมให้ความช่วยเหลือของนาวิกโยธินสหรัฐ ยังคงทำงานในพื้นที่กับทางการไทยอย่างต่อเนื่อง และเรือยูเอสเอส มัสติน ยังคงจอดอยู่ที่ท่าเรือในประเทศไทย

คริสตี เคนนี @kristiekenney ทวีตชี้แจงเมื่อเวลาประมาณ 10.00น. วันนี้

ที่มา:ประชาไท
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจการเมืองโลกหลังวิกฤตน้ำท่วมประเทศไทย !!?

โดย:เบ๊นซ์ สุดตา
ปี 2011 ถือเป็นปีแห่งภัยพิบัติโดยแท้จริง โดยหลังจากที่ญี่ปุ่นเผชิญวิกฤตนิวเคลียร์หลังแผ่นดินไหวรุนแรงและสึนามิเข้าซัดฝั่งตะวันออก ไทยก็เกิดน้ำท่วมใหญ่กินพื้นที่ไปทั่วทั้งภาคกลาง และมีโอกาสสูงที่กรุงเทพฯ อาจมีน้ำท่วมสูงเป็นประวัติการณ์ไปทั่ว หากว่าภาครัฐนำโดย ศปภ. และกรุงเทพมหานครไม่สามารถดำเนินการแก้ปัญหาได้ทันท่วงที โดยใช้วิธีที่เหมาะสมกับธรรมชาติของน้ำและชัยภูมิของพื้นที่ ทั้งนี้หากน้ำทะลักเข้าท่วมพื้นที่กรุงเทพฯชั้นในและสถานที่สำคัญต่างๆ ก็ย่อมทำให้ระบบเศรษฐกิจและโครงสร้างพื้นฐานของประเทศรวนหนักและชะงักงันครั้งใหญ่ได้

ความเสียหายจากภัยน้ำท่วม ข้อมูลล่าสุดระบุว่า มีประชาชนมากกว่า 2 ล้านคนเดือดร้อน โรงงานกว่า 14,000 แห่งโดยเฉพาะ 6 นิคมที่จมไปกับสายน้ำไล่ตั้งแต่สหรัตนนคร โรจนะ บ้างหว้า (ไฮเทค) บางปะอิน นวนคร และบางกระดี รวมมูลค่าเงินลงทุนมากกว่า 200,000 ล้านบาท แรงงานได้รับผลกระทบทันทีไม่ต่ำกว่า 400,000 คน เรือกสวนไร่นากว่า 10 ล้านไร่ที่เสียหายในภาคกลาง นอกจากนี้ยังมีปัญหาน้ำท่วมที่เริ่มก่อตัวขึ้นในภาคอีสาน ซึ่งมีแนวโน้มว่าความเสียหายในภาคเกษตรจะยังคงพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในอีกหลายพื้นที่

แต่สิ่งที่น่าคิดวิเคราะห์คือ เหตุการณ์มหาอุทกภัยครั้งนี้ได้รับความสนใจจากสื่อต่างชาติไม่น้อย เพราะที่ผ่านมาประเทศไทยเองมีประวัติของการที่เป็นจุดเล็กๆ ในแผนที่โลกแต่กลับเป็นจุดปะทุชนวนไปสู่เหตุการณ์ใหญ่ที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลกเช่น วิกฤตการเงินปี 1997 หรือ เหตุการณ์รัฐประหารปี 2006 ซึ่งทั้ง 2 เหตุการณ์ส่งผลให้เกิดการกระจายตัวไปยังประเทศอื่นๆ ด้วย

ถ้าเราวิเคราะห์ให้ดีจะพบว่า การที่สื่อระดับโลกไม่ว่าจะเป็น Wall Street Journal, Bloomberg หรือ Reuters ให้ความสำคัญกับข่าวอุทกภัยในประเทศไทยมากเป็นพิเศษ ทั้งที่ประเทศอื่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างกัมพูชาหรือประเทศในแถบอเมริกากลางต่างก็ประสบปัญหาอุทกภัยแต่กลับไม่มีข่าวมากเท่า ก็เนื่องมาจากว่าในทางปฏิบัติแล้ว ประเทศไทยมีความสำคัญไม่น้อยใน “ระบบระหว่างประเทศ” (International System)


น้ำท่วมโรงงานผลิตกล้อง Nikon ที่อยุธยา ส่งผลต่อการเปิดตัวกล้องรุ่นใหม่ของบริษัท (ภาพจาก @noppatjak)

สถานะของประเทศไทยในระบบเศรษฐกิจโลก

ภายใต้กระบวนการโลกาภิวัตน์ในปัจจุบัน ถึงแม้ศูนย์กลางของ “ระบบระหว่างประเทศ” จะอยู่ที่สหรัฐฯ และมีตัวแปรอื่นๆ เช่น จีน ญี่ปุ่น ยุโรป รัสเซีย เป็นปัจจัยเสริมที่สำคัญ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า หากมองในแง่เศรษฐกิจแล้ว ประเทศไทยมีความสำคัญมากในเวทีโลก เหตุเพราะประเทศไทยมีฐานะเป็นทั้ง ฐานอุตสาหกรรม (Industrial Base), ฐานเกษตรกรรม (Agricultural Base) และฐานการค้า (Trade Base) แถมเป็นประเทศที่ถือเงินทุนสำรองสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ที่เป็นศูนย์กลางเป็นทางผ่านสำคัญของภูมิภาค

ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยย่อมส่งผลสะเทือนต่อเศรษฐกิจโลกเป็นวงกว้างตามมาด้วย ฉะนั้นอย่าแปลกใจที่จะเห็นมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯกับจีนเข้ามาประชันแข่งขันกันในชั้นเชิงการทูตเพื่อแย่งชิง “ความเป็นผู้นำในการช่วยเหลือประเทศไทยในยามวิกฤต” ด้วยเหตุผลด้านการต่างประเทศและความมั่นคงดังที่กล่าวมานี้

มองในเชิงเศรษฐกิจแล้ว ประเทศไทยถือเป็นชาติการค้าที่สำคัญของโลก เป็นฟันเฟืองที่แม้จะไม่ใหญ่ในระบบเศรษฐกิจโลก แต่กลับเป็นชิ้นส่วนที่ขาดไม่ได้และใช่ว่าจะทดแทนได้ง่ายด้วย เพราะประเทศไทยเป็นฐานการผลิตสำคัญของประเทศญี่ปุ่นในอุตสาหกรรมรถยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นแหล่งผลิต Hard Disk Drive ป้อนตลาดกว่า 60% ของทั้งโลก ทำให้ไทยมีความสำคัญด้านอุตสาหกรรมฮาร์ดแวร์มาก ผลจากการที่น้ำท่วมนิคมอุตสาหกรรมในประเทศไทยได้ส่งผลให้ระบบ Supply Chain ของบริษัทญี่ปุ่นในภูมิภาค ASEAN และอินเดียสะเทือนไปทั่ว ขณะที่อุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ก็เริ่มได้รับผลกระทบแล้ว เช่น บริษัทแอปเปิลออกมาแสดงความกังวลเรื่องการผลิตเครื่องคอมพิวเตอร์แมคอินทอช
การที่ไทย ญี่ปุ่น รวมถึงประเทศในภูมิภาค ASEAN และเอเชีย เชื่อมต่อกันผ่านการค้าและการผลิต ผลกระทบจากอุตสาหกรรมญี่ปุ่นในไทยหยุดสายผลิต ย่อมค่อยๆ กระเพื่อมไปทั่วทั้งระบบ Supply Chain ในภูมิภาค เฉกเช่นเดียวกับก้อนหินที่ถูกโยนลงน้ำ

จับตา ‘ค่าเงินบาทอ่อน’ กระทบทั้งเอเชีย

เราต้องไม่ลืมว่าประเทศญี่ปุ่นยังอยู่ในช่วงฟื้นฟูหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวใหญ่-สึนามิ-วิกฤตการณ์นิวเคลียร์ ลากญี่ปุ่นสู่ภาวะตกต่ำทางเศรษฐกิจ ส่งผลสะเทือนตลาดอัตราแลกเปลี่ยนและราคาสินทรัพย์จำนวนมากจากการที่เงินเยนแข็งค่าอย่างรวดเร็ว

ดังนั้นหากสถานการณ์น้ำท่วมในประเทศไทยยืดเยื้อมาก ก็ย่อมสร้างความเสียหายโดยตรงทั้งต่อไทยและญี่ปุ่นแน่นอน ค่าเงินบาทย่อมมีโอกาสอ่อนค่าลงจากการที่ประเทศไทยต้องระดมทรัพยากรเพื่อฟื้นฟูประเทศ ทั้งจากการนำเข้าวัสดุอุปกรณ์จำนวนมาก การเร่งการส่งออก แม้แต่การเทขายเงินดอลลาร์ในทุนสำรองออกมาเพื่อขนเงินกลับไปซ่อมประเทศก็มีความเป็นไปได้

ถ้าหากเหตุการณ์นี้นำไปสู่การลดค่าเงินระดับที่สูงมาก และเกิดขึ้นพร้อมกับการที่ญี่ปุ่นตัดสินใจเริ่มขนเงินที่มีอยู่ทั่วโลกกลับไปฟื้นฟูความเสียหายของประเทศตัวเอง ย่อมจะส่งผลสะเทือนมากต่อตลาดการเงินโลก และการลดค่าเงินของไทยอาจจุดชนวนให้ประเทศอื่นๆ ในเอเชียมีการปรับนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนขนานใหญ่ เพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคการส่งออกเอาไว้ และย่อมทำให้ “สงครามค่าเงินระหว่างประเทศ” (International Currency War) กลับมาคุกรุ่นอีกครั้ง

สถานการณ์น้ำท่วมยังคงน่าเป็นห่วง

วิกฤตอาหารและสินค้าเกษตร

แต่สิ่งอื่นที่น่ากังวล และมีโอกาสความเป็นไปได้มากกว่าผลกระทบในระบบเศรษฐกิจและตลาดการเงิน คือ ความปั่นป่วนและความเสี่ยงในภาคเกษตร เพราะไทยเป็นประเทศผู้ส่งออกข้าวอันดับ 1 ของโลก คิดเป็น 30% ของตลาดโลก ความเสียหายของผลผลิตในประเทศ และการเดินหน้าโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลเพื่อไทย ย่อมเป็นแรงกดดันให้ราคาข้าวสูงขึ้นซึ่งนั่นย่อมกระทบชีวิตคนมากกว่า 2,000 ล้านคนทั่วเอเชียและประเทศยากจนอื่นๆ

ทั้งนี้หากเอาบทเรียนในอดีตมาไล่เรียงดูจะพบว่าในปี 2008 ภาวะของการเก็งกำไรและการห้ามการส่งออกข้าวในประเทศใหญ่ๆ เช่น อินเดีย ส่งผลให้ราคาข้าวทะยานมากกว่า 200% ขณะที่สินค้าเกษตรตัวอื่นก็พุ่งในหลักหลายร้อยเปอร์เซ็นต์เช่นกันในช่วงเวลาสั้นๆ ส่งผลให้เกิดจลาจลอาหารกว่า 30 ประเทศทั่วโลกไล่ตั้งแต่เฮติไปจนถึงประเทศอิยิปต์

ปี 2010 ภาวะที่คลื่นความร้อนพาดผ่านแถบทะเลดำจนส่งผลให้เกิดภาวะแล้งจัด ผลผลิตข้าวสาลีในประเทศรัสเซียและยูเครนเสียหายหนัก จนทั้ง 2 ประเทศสูญเสียความสามารถในการส่งออก ต้องประกาศห้ามส่งออกข้าวสาลี ส่งผลให้ราคาข้าวสาลีพุ่งทะยานขึ้นจนเกิดจลาจลเผาเมืองในโมซัมบิก แอลจีเรีย และเรื่อยมาจนถึงประเทศตูนิเซีย ที่เริ่มจากจุดเล็กๆ ที่วัยรุ่นเจ้าของแผงขายผักจุดไฟประท้วงฆ่าตัวตาย และนำไปสู่การประท้วงขับไล่ประธานาธิบดีเบน อาลีเป็นผลสำเร็จ เหตุการณ์นี้ยังแพร่ไปยังอิยิปต์ ลิเบีย เยเมน ตะวันออกกลาง และซีเรีย ซึ่งในกรณีประเทศอิยิปต์นั้นปัญหาส่วนหนึ่งก็มาจากค่าครองชีพที่แพงจากการที่อาหารราคาสูงด้วย ทำให้ผลจากอิยิปต์สะเทือนไปทั่วโลกอาหรับจนกลายเป็นเหตุการณ์ Arab Spring

เหตุการณ์น้ำท่วมในประเทศไทยนั้นย่อมซ้ำเติมสถานการณ์อาหารโลกอย่างเลี่ยงไม่ได้ และข้าวนั้นมีจำนวนผู้บริโภคสูงกว่าข้าวสาลีมาก แถมยังเป็นอาหารหลักของคนจนทั่วโลก การที่เกิดภาวะขาดแคลนข้าวและราคาข้าวที่สูงขึ้น ย่อมทำให้รัฐบาลทั่วโลกต้องกักตุนสินค้า และเป็นเชื้อไฟอย่างดีที่จะดึงดูดนักเก็งกำไรในตลาดโภคภัณฑ์ให้โจมตีตลาดสินค้าเกษตร ซ้ำเติมสถานการณ์ให้เลวร้ายลงไปอีก
ดังนั้นในปี 2012 โอกาสที่จะเกิดเหตุซ้ำรอย Arab Spring อันมีเหตุจากวิกฤตอาหารในประเทศไทย แล้วกระจายไปยังภูมิภาคอื่นๆ นอกเหนือจากโลกอาหรับย่อมมีโอกาสไม่น้อย และถ้าหากเกิดวิกฤตอาหารในประเทศอาหรับที่เป็นผู้ผลิตน้ำมันด้วยแล้ว วิกฤตอาหารในประเทศไทยย่อมลามไปสู่การเกิดวิกฤตพลังงานโลกได้ ซึ่งนั่นเท่ากับว่าในปีหน้าราคาอาหารจะเป็นตัวดันราคาพลังงานจากการเชื่อมโยงทางปัจจัยการเมือง ซึ่งต่างจากปี 2008 ที่ปัจจัยจากพลังงานดันราคาอาหาร เนื่องจากความเชื่อมโยงของโครงสร้างต้นทุนและการเก็งกำไรในภาคการเงิน

เพราะเหตุนี้ สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยย่อมเป็นที่สนใจจากต่างประเทศ ตัวแปรจากการควบคุมสถานการณ์ในประเทศไทยย่อมมีผลสำคัญต่อภาวะเศรษฐกิจและการเมืองโลกอันเปราะบางอยู่ก่อนแล้ว ให้เผชิญกับความผันผวนและความเสี่ยงให้สูงขึ้นไปอีกขั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ที่มา:Siam Intelligence Unit
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันจันทร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2554

บ้านคุณ..น้ำท่วมแล้วรึยัง !!?

เพราะน้ำมามากกว่าทุกปีถึง 3 เท่า และเราไม่สามารถระบายออกไปได้เลย ขณะเดียวกันก็มีพายุสะสมมา 2-3 เดือนแล้ว จะมาให้แก้ในเดือนที่ 3 คงเป็นไปไม่ได้ และสภาพภูมิประเทศปัจจุบันก็ไม่เอื้อต่อการระบายน้ำ ซึ่งในระยะยาว ต้องวางแผนในภาพรวมให้ทิศ ทางการไหลของน้ำมีความสัมพันธ์กันกับการวางผังเมือง..

น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีหญิง ที่ต้องแบกรับมวลน้ำมหาศาลที่ถล่มประเทศไทยมากที่สุดในรอบ 50-100 ปี ยอมรับความพ่ายแพ้ แต่ไม่ได้ท้อแท้ที่จะแก้ปัญหาเพื่อให้ประชาชนหลายล้านคนขณะนี้เดือดร้อนและทนทุกข์น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้

วิกฤตน้ำท่วมครั้งนี้ไม่อาจปฏิเสธได้ถึงความล้มเหลวและไร้ประสิทธิภาพอย่างสิ้นเชิงของการบริหารจัดการน้ำที่ไม่สามารถสู้กับน้ำได้เลยแม้แต่จุดเดียว ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายการเมืองหรือฝ่ายข้าราชการทุกระดับ ตั้งแต่ระดับท้องถิ่นจนถึงระดับกระทรวง ทบวง กรม

ไม่เชื่อข้อมูล ศปภ.

โดยเฉพาะศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) ที่มี พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นผู้อำนวยการถูกโจมตีอย่างมาก ทั้งการแถลงข่าวผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย และข้อมูลที่ล่าช้า ซึ่งบางครั้งก็ไม่ตรงกับสถานการณ์ แม้แต่ข้อมูลของหน่วยงานต่างๆในเว็บไซต์ก็ยังคงรักษาเอกลักษณ์ระบบราชการ จึงไม่แปลกที่ประชาชนส่วนใหญ่ไม่เชื่อข้อมูลของ ศปภ.

อย่างไรก็ตาม น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้ขอความเห็นใจจากประชาชนและพร้อมรับฟังความคิดเห็นของประชาชน เพราะขณะนี้ ศปภ. เป็นศูนย์รวมของทุกองค์กร จึงอาจทำให้มีมุมมองแตกต่างกัน ส่งผลให้ประชาชนที่รับรู้ข่าวสารเกิดความตกใจ ซึ่ง ศปภ. จะปรับปรุงและตรวจสอบข้อมูลอย่างรอบคอบ เพื่อให้ประชาชนสามารถยึดถือข้อมูลของ ศปภ. อย่างเป็นทางการได้

“ยืนยันว่าข้อมูลที่ ศปภ. ได้เข้ามาไม่มีความผิดพลาด แต่บางครั้งขอความกรุณาสื่อมวลชนเวลาสัมภาษณ์คนเดียวอาจจะมีแค่มุมเดียว ไม่เห็นภาพรวมทั้งหมด พอข้อมูลออกไปอาจทำให้ประชาชนตกใจ ดังนั้น เราต้องปรับปรุงการแถลงข่าวของ ศปภ. ให้เกิดความชัดเจนมากขึ้น สื่อมวลชนจะได้ไม่แปลงและใช้ข้อเท็จจริงนั้นในการอ้างอิงได้ วันนี้ยืนยันว่าพูดความจริง ไม่ได้ปิดบังพี่น้องประชาชน แต่ดิฉันต้องบอกว่าครั้งนี้เป็นวิกฤตใหญ่ของประเทศ ลำพังคนเดียวเราทำไม่ได้ ต้องรวมพลังจากทุกภาคส่วน และต้องเอาเกมการเมืองออกไป เราต้องแก้ไขปัญหาและสร้างขวัญกำลังใจให้กับคนไทย”

น.ส.ยิ่งลักษณ์ยอมรับว่ามีมุมมองแตกต่างจาก กทม. และกรมชลประทานเกี่ยวกับการระบายน้ำ จึงต้องเอาทุกหน่วยงานมารวมกัน แต่ปริมาณน้ำฝนไม่สามารถประมาณการได้จริงๆ จึงตอบได้ยากว่าปริมาณน้ำจะเข้า กทม. เท่าไร ไม่รู้ว่าพายุลูกใหม่จะเข้ามาเป็นอย่างไร วันนี้ประเทศไทยยังไม่มีกระบวนการในการประมาณการปริมาณน้ำที่แม่นยำ ซึ่งต้องนั่งคุยพร้อมกับผู้ที่มีความรู้

“ดิฉันเป็นผู้ที่มารับหน้าที่ในฐานะนายกรัฐมนตรี ประสานงานทุกหน่วยงาน ดังนั้น เราควรจะคุยกันพร้อมกับผู้ที่มีความรู้และให้ข้อมูลที่ถูกต้องขอความกรุณา ดิฉันอาจไม่สามารถให้ข้อมูลสื่อมวลชนได้ครบ เพราะเกรงว่าการสื่อสารในมุมที่มองจากความรู้สึกส่วนตัวหรือจากการสัมผัสจะทำให้ประชาชนขาดความมั่นใจและไขว้เขว”

ป้องกัน-แก้ไข 4 ระยะ

คำให้สัมภาษณ์ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์จึงสะท้อนชัดเจนถึงคำว่า “บูรณาการ” ซึ่งยังไม่ปรากฏในการแก้ปัญหาน้ำท่วมของ ศปภ. และหน่วยงานที่เกี่ยว ข้องเลย แต่ยังเป็นลักษณะต่างคนต่างทำ นอกจากนี้ยังมีความเห็นแตกต่างกันอีก การประชุมระหว่างรัฐมนตรีกับข้าราชการระดับสูงของกระทรวงที่เกี่ยวข้องเมื่อวันที่ 17 ตุลาคมที่ผ่านมาจึงมีข้อสรุประยะการแก้ไขและป้องกันน้ำท่วมเป็น 4 ระยะคือ

ระยะแรก แก้ปัญหาเฉพาะหน้าแบบเร่งด่วน โดยให้อำนาจผู้ว่าราชการจังหวัดทำงานได้ทันทีอย่าง เต็มที่ และสั่งการให้ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) ดูแลจังหวัดที่เกี่ยวข้อง อาทิ ปทุมธานี นนทบุรี และพระนครศรีอยุธยา เป็นต้น

ระยะที่ 2 ช่วงที่น้ำท่วมสูงและประชาชนอาจต้องอยู่กับน้ำนาน 4-6 สัปดาห์ จึงต้องปรับการทำงานของรัฐบาลและทุกกระทรวง ทบวง กรมต่างๆที่เกี่ยวข้องให้รองรับกับวิถีชีวิตของผู้ประสบภัยในบ้านที่ถูกน้ำท่วมหรือในศูนย์พักพิง ซึ่งต้องมีการจัดการให้เป็นอย่างดี

ระยะที่ 3 การฟื้นฟูหลังน้ำลด ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติให้ตั้งคณะกรรมการฟื้นฟู 3 คณะเร่งดำเนินการฟื้นฟู และระยะที่ 4 ปรับโครงการต่างๆ โดยนำมาบูรณาการร่วมกันและป้องกัน โดยมอบหมายให้นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งเป็นประธานคณะกรรมการอำนวยการและบริหารสถานการณ์อุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม (ศอส.) เร่งรัดให้คณะกรรมการดังกล่าวมีผลงานออกมาโดยด่วน เพื่อใช้ตัดสินใจในการวางแผนการทำงาน เช่น ทำแก้มลิงหรือเขื่อน เป็นต้น เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนต่างประเทศที่จะมาลงทุนในประเทศไทย และดูแลประชาชนให้ได้

ฐานข้อมูลโคตรมั่ว

แม้แผนการแก้ไขและป้องกันน้ำท่วมทั้ง 4 ระยะจะควบคุมทั้งการแก้ปัญหาระยะสั้นและระยะกลาง แต่ยังเป็นแค่ภาพกว้างๆที่ยังยากจะให้ประชาชนมั่นใจในวิกฤตน้ำท่วมครั้งนี้ เพราะรัฐบาล เองก็ยอมรับปัญหาการจัดระบบฐานข้อมูล จึงให้กระทรวงมหาดไทยเป็นเจ้าภาพ เพราะที่ผ่านมารัฐบาลไม่รู้เรื่องประชาชนย้ายที่อยู่อาศัยไปที่ใดบ้าง ศูนย์อพยพใด จำนวนเท่าใด เพศและวัยอะไร เป็นประชาชนจังหวัดใด ประกอบอาชีพอะไร เป็นธุรกิจขนาดใด ซึ่งการช่วยเหลือและฟื้นฟูต้องมีฐานข้อมูลประชาชนแต่ละกลุ่มชัดเจน

โดยเฉพาะศูนย์อพยพต่างๆ ขณะนี้ต้องใช้คำว่า “โคตรมั่ว” เพราะไม่มีการแยกแยะหรือกำหนดผู้ที่จะเข้าไปอยู่ในศูนย์อพยพแล้ว ยังไม่มีแผนการอพยพและการรองรับประชาชนที่ได้รับผลกระทบในแต่ละพื้นที่อย่างชัดเจนอีก

เช่นเดียวกับข้อมูลเกี่ยวกับน้ำที่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบ หรือแม้แต่นิคมอุตสาหกรรมที่มีการลงทุนนับหมื่นล้านบาทยังตำหนิรัฐบาลและหน่วยงานของรัฐ จนการป้องกันทุกแห่ง ทุกพื้นที่ต้องจมอยู่ใต้บาดาล และถูกนำไปเผยแพร่ในสื่อทั่วโลก พร้อมตั้งคำถามถึงความหายนะครั้งนี้เป็นความผิดพลาดของการบริหารจัดการหรือภัยจากธรรมชาติ

บทเรียนต่างประเทศรับมือวิกฤต

ภาพการอพยพประชาชนออกจาก “พื้นที่ภัยพิบัติ” ไม่ว่าจะเป็นนครสวรรค์ พระนครศรีอยุธยา และปทุมธานี ไม่ใช่เหตุการณ์ที่จะพบเห็นได้บ่อยครั้งในประเทศไทย แต่ภาพความตื่นตระหนก โดยเฉพาะคนกรุงเทพฯและปริมณฑลที่ถือเป็นอุทกภัยครั้งรุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์คือภาพที่สื่อทั่วโลกนำไปเผยแพร่การกักตุนสินค้า การแห่ซื้อวัสดุต่างๆ เพื่อทำแนวปราการป้องกันน้ำ จนทำให้เกิดภาวะขาดแคลนไปทั่ว แม้โดยธรรมชาติของผู้ที่อยู่ในข่ายความเดือดร้อนจะต้องตื่นตระหนกก็ตาม แต่ไม่ใช่อาการแตกตื่นเหมือนกระต่ายตื่นตูม

วิกฤตน้ำท่วมครั้งนี้จึงยิ่งทำให้เห็นถึงการบริ-หารจัดการวิกฤตต่างๆของประเทศไทย ทั้งระดับรัฐบาลที่เป็นฝ่ายนโยบายและข้าราชการที่เป็นฝ่ายปฏิบัตินั้น “สอบตก” เพราะมีปัญหาและจุดบกพร่องมากมาย ทั้งที่ภัยพิบัติทางธรรมชาติ โดยเฉพาะเรื่องน้ำท่วมและน้ำแล้งที่เกิดขึ้นทุกปี เพียงแต่ไม่หนักและรุนแรงเท่าครั้งนี้เท่านั้น

รัฐบาลที่เป็นฝ่ายนโยบายจึงเป็นหัวใจสำคัญที่จะต้องแก้ปัญหาการบริหารจัดการวิกฤตให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นภัยพิบัติใดก็ตาม โดยเฉพาะระบบข้อมูลในการป้องกันและการเตือนภัย ซึ่งสามารถเรียนรู้ได้จากประเทศที่มีปัญหาภัยพิบัติร้ายแรง เช่น จีน ญี่ปุ่น ที่เกิดภัยพิบัติร้ายแรงนับไม่ถ้วน ทั้งอุทกภัยน้ำท่วมใหญ่ เขื่อนพัง หรือแผ่นดินไหว

อย่างการบริหารจัดการน้ำจีนจะมีศูนย์บรรเทาภัยแล้งและควบคุมอุทกภัยแห่งชาติ (State Flood Control and Drought Relief Head Quarters) โดยมีรองนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าศูนย์ในการกำกับดูแลและประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเรื่องการจัดการน้ำให้มีประสิทธิภาพ หรือฟิลิปปินส์ที่เป็นประเทศที่มีความเสี่ยงภัยพิบัติเป็นอันดับ 12 ของโลกก็อยู่ระหว่างจัดทำแผนแม่บทในการควบคุมอุทกภัยบนเกาะมินดาเนา โดยได้รับเงินทุนสนับสนุนจากธนาคารโลก ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่การปฏิรูปเชิงโครงการและประเด็นธรรมาภิบาลต่างๆ อาทิ การวางแผนการใช้ที่ดิน การบริหารจัดการน้ำ การคุ้มครองสิ่งแวดล้อม และการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ

การเมืองกับกระแสน้ำ

ที่สำคัญปัญหาน้ำท่วมครั้งนี้ยังทำให้เห็นถึงการยึดโยงกับปัญหาการเมืองอย่างแยบยลอีกด้วย อย่างที่ “นักปรัชญาชายขอบ” นักเขียนอิสระที่เขียนบทความ “กระแสน้ำ กระแสประชาธิปไตย และกลุ่มชนชั้นนำเก่า” ว่าภาวะน้ำท่วมเกือบครึ่งประเทศและท่วมอย่างยาวนานย่อมไม่ใช่ปรากฏการณ์ ธรรมชาติล้วนๆ หากแต่เกี่ยวข้องอย่างมีนัยสำคัญกับปัญหาระบบการจัดการน้ำที่จำเป็นต้องถูกหยิบ ยกขึ้นมาทบทวนอย่างหนักไม่น้อยไปกว่าปัญหาการจัดระบบสังคมการเมือง

เพราะพื้นฐานทางความคิดในการจัดการน้ำกับการจัดระบบสังคมการเมืองของสังคมไทยนั้นอยู่บนฐานคิดเดียวกัน ซึ่งกระแสน้ำทะลัก กระแสประชาธิปไตยบ่าล้น และกลุ่มชนชั้นนำเก่าที่ยังถนัดแก้ปัญหาด้วยการแจกสิ่งของและการอบรมสั่งสอนที่ไม่รู้จะทำอย่างไรดี เพราะไม่ใช่อยู่ๆน้ำจะไหลบ่าท่วมทะลักโดยไม่เกี่ยวข้องกับนโยบายการสร้างเขื่อน การเก็บกักน้ำ การปล่อยน้ำ การเปิด-ปิดทางน้ำ การขุดคลอง การสร้างถนน การวางระบบผังเมือง และ/หรือนโยบายการจัดการน้ำโดยรวม

เช่นเดียวกันไม่ใช่อยู่ๆนักศึกษา ประชาชน นักวิชาการจะออกมาเรียกร้องประชาธิปไตย เสรีภาพ ความเสมอภาค หรือเรียกร้องอำนาจในฐานะเจ้าของประเทศ หากความเป็นประชาธิปไตย เสรีภาพ ความเสมอภาค และอำนาจในฐานะเจ้าของประเทศของพวกเขาไม่ได้ถูกฉ้อฉลโดยกลุ่มชนชั้นนำเก่าที่รวบอำนาจในการจัดการระบบสังคมการเมืองมาอย่างยาวนานด้วย “อุดมการณ์สามรัก” คือรักชาติ รักศาสนา รักพระมหากษัตริย์ จนเสมือนประเทศนี้จะเป็น “ประเทศล้นรัก” เพราะแทบทุกอย่างถูกอธิบายได้ด้วยความรัก

แม้แต่ข่าวน้ำท่วมสื่อก็สร้างกระแส “ดราม่า” จนแทบไม่ตั้งคำถามต่อสาเหตุที่แท้จริง เช่น คนไทยรักกัน คนไทยไม่ทิ้งกัน นายกฯพบผู้นำฝ่ายค้านเป็นสัญญาณความปรองดอง ฯลฯ ส่วนเรื่องที่ชาวบ้านพังคูกั้นน้ำกลับถูกนำเสนอเสมือนว่าเป็นความไม่เข้าใจสถานการณ์ ความไม่เสียสละของชาวบ้านกลุ่มนั้นๆ โดยที่สื่อไม่ตั้งคำถามถึงความเป็นธรรมหรือไม่เป็นธรรม

ที่สำคัญสื่อแทบไม่ตั้งคำถามต่อปัญหาการจัดการน้ำตั้งแต่ระดับแนวคิด นโยบายการปฏิบัติที่เป็นการผลักภาระให้คนบางกลุ่มต้องจำทนต่อสภาพน้ำท่วมแทนคนกลุ่มอื่นๆ หรือภาคธุรกิจสำคัญๆ โดยที่พวกเขาไม่มีหลักประกันความเสี่ยงและการชดเชยใดๆ

กระแสน้ำท่วมทะลักและกระแสประชาธิปไตยบ่าล้นจึงถือเป็นกระแสที่ท้าทายสังคมไทยว่าจะสามารถจัดการกับภัยธรรมชาติและจัดการระบบสังคมการเมืองอย่างมีประสิทธิภาพที่ตรวจสอบได้อย่างไรบนจุดยืนที่พ้นไปจากเรื่อง “รัก-ไม่รัก” สู่จุดยืนเรื่องความเป็นธรรม เสรีภาพ ความเสมอภาค และการมีส่วนร่วมของประชาชนในฐานะเจ้าของอำนาจอธิปไตย

เทวดา...ช่วยด้วย

ความตื่นตระหนกพร้อมๆกับการเรียกร้องสารพัดของคนไทยจึงไม่ต่างจากภาพการเมืองที่คนไทยและสังคมไทยเองก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร ได้ทำอะไรเพื่อตัวเองและส่วนรวมได้บ้าง หลายคนอยู่เฝ้าบ้าน เฝ้าทรัพย์สิน ในสถานะ “ผู้ประสบภัย” รอความช่วยเหลือ แต่อีกหลายคนออกจากบ้านยอมเป็น “ผู้อพยพ” ช่วยเหลือตนเองเพื่อลดภาระจากหน่วยงานของภาครัฐที่มิอาจดูแลทั่วถึง

โดยเฉพาะภาวะวิกฤตน้ำท่วมครั้งนี้ที่กำลังส่งผลกระทบถึงคนกรุงเทพฯ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนชั้นกลาง ภาพการแย่งการซื้ออาหารเพื่อกักตุน การออกมาเรียกร้องและร้องขอของผู้ประสบภัยถูกนำมาเปรียบเทียบกับคนญี่ปุ่นครั้งถูกสึนามิถล่ม ซึ่งรุนแรงไม่น้อยไปกว่าอุทกภัยน้ำท่วมของไทย แต่คนญี่ปุ่นกลับถูกยกย่องไปทั่วโลก เพราะแม้แต่การซื้อสินค้าในซูเปอร์มาร์เกตขณะที่ทุกคนต่างก็อยู่ในสภาพสิ้นเนื้อประดาตัวยังยืนเข้าแถวกันยาวเหยียดอย่างอดทน ไม่ว่าจะเป็นเด็กเล็ก ผู้หญิง หรือคนชรา แบ่งปันซื้อสินค้าเท่าที่จำเป็น แต่คนไทยกลับแห่กันซื้อสินค้าเพื่อกักตุนจนเกลี้ยงซูเปอร์มาร์เกต บางคน บางครอบครัวกักตุนชนิดกินใช้ทั้งปียังไม่หมด

เมื่อย้อนมามองสังคมไทยจะพบสาเหตุที่เกิดจาก “ความไม่เท่าเทียมทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม” ที่แบ่งชนชั้นที่ถับถมกันมานานจนเป็นเรื่องชาชิน

คนต่างจังหวัดในชนบท ชนชั้นรากหญ้า และผืนแผ่นดินของเขาต้องถูกน้ำท่วมซ้ำซาก อยู่อย่าง “โง่-จน-เจ็บ” เป็นแอ่งรับน้ำ เป็นเขื่อนป้องกันมิให้คนเมือง “คนชั้นกลาง-คนชั้นสูง” ที่ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานครต้องจมอยู่ใต้บาดาล

ภาพข่าว “ดราม่า” มากบ้าง น้อยบ้าง จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะปรากฏบนจอโทรทัศน์ น้ำใจคนไทยท่วมท้นไม่แพ้น้ำจากอุทกภัย

โซเชียลเน็ตเวิร์คหรือสังคมไซเบอร์ก็มิเว้นที่จะถูก “ท่วม” ไปด้วย “น้ำลาย” การแบ่งสี แบ่งฝ่าย ยังคงรักษาระยะไว้อย่างปรกติ ข้อมูลถูกขุดออกมาประจานกันแบบไม่ยั้ง

ต้นเหตุที่มาที่ไปของ “มวลน้ำ” ขนาดมหึมาที่ไหลบ่าท่วมบ้านเมืองและนิคมอุตสาหกรรมที่ปรากฏเป็น “ข่าวเชิงลึก” ถูกเผยแพร่ออกไป ซึ่งไม่แพ้ “มวลน้ำ” ที่ไหลบ่าท่วมไปค่อนแผ่นดิน

หลายคนอยากเห็นความเท่าเทียม จึงอยากเห็น “น้ำท่วมถ้วนหน้า” แต่นั่นคือความคิดชั่ววูบที่เกิดจากความน้อยเนื้อต่ำใจว่าทำไมต้องท่วมที่เรา แต่ที่อื่นไม่ท่วม โดยเฉพาะกรุงเทพฯ

สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาที่แท้จริงที่ยังคงซ่อนลึกเอาไว้เพื่อรอการสะสางหลังน้ำลด

แม้ความสะใจ อยากเห็นกรุงเทพฯจมบาดาล เพื่อวานธรรมชาติสั่งสอนให้เห็นถึงความเท่าเทียม แต่ด้วยความจริงที่ประเทศไทยมีกรุงเทพฯเป็นศูนย์ กลางของสรรพสิ่งทั้งด้านเศรษฐกิจและการเมือง

จึงเป็นเรื่องหายนะแน่ ถ้าภัยพิบัติท่วมท้นเมือง หลวง เพราะความช่วยเหลือต่างๆจะถูกตัดขาดทันที และนั่นคือหายนะของประเทศ มิใช่แค่กรุงเทพมหานคร

ถึงเวลาแล้วที่คนเมืองและชนบท หรือ “สองนครา” ต้องหันมาหยุดคิด เลิกดัดจริตมายอมรับความจริงที่ว่า “ระบอบอุปถัมภ์” มิอาจแก้ปัญหา “ความไม่เท่าเทียม” ได้ โดยไม่ต้องรอให้น้ำท่วมสองนคราเกิดขึ้นมาเป็นบทเรียน

เพราะมีแต่ “ระบอบประชาธิปไตย” เท่านั้นที่จะสร้าง “ความเท่าเทียม” ให้เกิดขึ้นในสังคมไทย

มีแต่ “การบริหารจัดการที่ดี” เท่านั้นที่จะรับมือกับภัยพิบัติร้ายแรงได้...ไม่ใช่ “อภินิหาร” จากเทวดาหน้าไหน!

ว่าแต่วันนี้...“บ้านคุณ...น้ำท่วม (เหมือนบ้านเรา) แล้วรึยัง?”


ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ถึงเวลา ศปภ. ต้องยกของขึ้นที่สูง !!?

สถานการณ์ “น้ำท่วม” มาถึงขณะนี้ หากใครพูดว่าน้ำไม่ท่วม กทม.เด็ดขาด ต้องบอกกับคนคนนั้นว่า ใช้สมองส่วนไหนคิด

เมื่อทุกฝ่ายเชื่อว่าอย่างไรเสีย กทม.ก็หนี“น้ำท่วม” ไม่พ้น สิ่งที่เป็นประโยชน์ที่สุดวันนี้คือแผน “รองรับ” กับความโกลาหลที่จะเกิดขึ้น

ต้องเอาบทเรียนจาก “เกาะเมือง” จ.พระนครศรีอยุธยา เทศบาลนครนครสวรรค์ นิคมอุตสาหกรรมนวนคร และเทศบาล
อ.บางบัวทอง มาเป็น “แนวทาง”

ที่ นายปลอดประสพ สุรัสวดี รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เจตนาดีแต่ทำให้คนแตกตื่นไปเมื่อสัปดาห์ก่อน มาสัปดาห์นี้ทำท่าจะเป็นจริงอย่างที่ท่านว่าไว้

ล่าสุดท่านก็พูดอีกว่า “กรุงเทพฯที่เลวร้ายที่สุดคือท่วม และท่วมยาวประมาณเดือนเศษ ๆ เพราะน้ำมันเยอะ เอาอย่างนี้ จ.พระนครศรีอยุธยา ท่วมนานแค่ไหน กรุงเทพฯก็เหมือนกัน อย่าลืมว่ากรุงเทพฯต่ำกว่า และเตี้ยที่สุดแถมยังโดนอิทธิพลน้ำทะเลอีก แต่อาจจะไม่รุนแรงในแง่กระแสน้ำเพราะเป็นน้ำทุ่งแต่จะสูงและยาว”

ไม่มีใครตกใจ เพราะส่วนใหญ่เตรียมใจยอมรับ “ชะตากรรม” กันไว้แล้ว

พูดถึงเรื่องความเชื่อมั่น ลำพังวันนี้ ศปภ. ที่มีที่อยู่ที่สนามบินดอนเมือง ยังถูกเตือนว่า ’ให้เตรียมยกของขึ้นที่สูง“
แล้ววันนี้เป็นไง “น้ำทุ่ง” มาจ่อที่ปากประตูทางเข้าแล้ว จนเกิดข่าวลือสารพัดว่าจะย้ายไปตั้งศูนย์ที่ จ.ชลบุรี บ้าง จะย้ายไปใช้หอประชุมกองทัพบก ถนนวิภาวดีรังสิต บ้าง

น่าสนใจว่า ศปภ.เองเคยประเมินหรือไม่ว่า ดอนเมืองกำลังจะถูก “น้ำท่วม”

ความสับสน ขาดระบบเช่นนี้ จึงไม่แปลกที่ “ความร่วมมือ” จากภาคส่วนต่าง ๆกำลังจะลอยหายไปจาก ศปภ. อย่างล่าสุด ภาคประชาชน อย่าง นายปรเมศวร์ มินศิริ เจ้าของเว็บไซต์กระปุกดอตคอม ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ไทยฟลัดดอตคอม www.thaiflood.com ได้ชี้แจงหลังถอนตัวอีกครั้งว่า

“การช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมจะต้องก้าวข้ามความเห็นต่าง หลายหมู่บ้านบ่นกันเยอะว่ารถส่งของบริจาคไม่ยอมจอด ถ้าไม่ยอมติดธงแดง อีกทั้งของบริจาคเข้าสำนักนายกรัฐมนตรีจำนวนมาก ถูกขนไปร่วมคาราวานเสื้อแดง ที่อิมพีเรียลลาดพร้าว จริงหรือไม่”

“ผมรู้สึกยินดีกับพี่น้องเสื้อแดงที่อาสามาช่วยงานด้วยความบริสุทธิ์ใจ ที่กล่าวมาไม่ได้จะเหมารวมว่าทุกคน แต่มีคนคิดฉวยโอกาสสร้างความเข้มแข็งให้กับ “ตำบลเสื้อแดง” ในช่วงที่มีผู้ประสบภัยมากขนาดนี้ผ่านกลไกของรัฐ โปรดจับตาให้ดี”

นี่เป็นคำถามที่ภาคประชาชนมีถึง ศปภ.

อีกกรณีที่เกิดขึ้นล่าสุด ก็ท่าทีสุดกร่างของ ’ขาใหญ่“ ในรัฐบาลต่อหน้าต่อตาสื่อมวลชน ถึงขนาดพูดว่า “ผมคุม ปภ. และใหญ่กว่าอธิบดี ปภ.”

ปภ. ย่อมาจากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย สังกัดกระทรวงมหาดไทย

ลำพังเรื่องแค่นี้ คนได้ยินก็หมดศรัทธา แล้วถามหน่อยจะเอา เครดิตที่ไหนไปบอกให้ “ประชาชน” เขาเชื่อถือ

สนิมเนื้อในกัดกร่อนรัฐบาล นายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตรโดยแท้.


ต้นฉบับ: http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=8&contentId=171707

ที่มา: เดลินิวส์
////////////////////////////////////////////////////

วันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ธนาคารโลก-TDRI เห็นพ้องหลังน้ำท่วมดันเศรษฐกิจโต !!?

ธนาคารโลก และ TDRI เห็นตรงกันว่าหลังจากน้ำลดจะมีกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่สร้างรายได้เกิดขึ้นมากมายจากการลงทุนเพื่อฟื้นฟูกิจการ การจับจ่ายเพื่อซ่อมแซมที่อยู่อาศัย โรงงาน ซื้อครื่องใช้ไฟฟ้าแทนของเดิมที่เสียหาย การซ่อมรถยนต์ ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้จะช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจไทยเติบโตขึ้นในปีหน้า คาดว่าจะขายได้มากกว่า 4.4% ส่วนในปีนี้อัตราการเติบโตจะต่ำกว่า 3.6% ที่ประเมินเอาไว้ช่วงต้นปี กระทรวงการคลังเตรียมเสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณาจัดตั้งกองทุนช่วยเหลือผู้ประสบภัย โดยระดมเงินจากประชาชน ให้สิทธิพิเศษงดเว้นภาษีจากเงินปันผลเป็นสิ่งจูงใจให้ซื้อหน่วยลงทุน แต่ยังไม่ได้กำหนดขนาดกองทุนว่าจะระดมเงินเท่าไร เพราะต้องรอหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อสรุปความต้องการเงินทุนฟื้นฟูแต่ละด้านก่อน

น.ส.กิริฎา เภาพิจิตร นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารโลก ประจำประเทศไทย กล่าวว่า ธนาคารโลกประเมินความเสียหายเศรษฐกิจไทยจากปัญหาอุทกภัยเอาไว้ไม่ต่ำกว่า 100,000 ล้านบาท และจะส่งผลให้การเติบโตทางเศรษฐกิจในไตรมาสสุดท้ายอยู่ในระดับติดลบ เนื่องจากความเสียหายในภาคอุตสาหกรรม อย่างไรก็ตาม การลงทุนเพื่อฟื้นฟูความเสียหายจะส่งผลให้เศรษฐกิจในปีหน้าเติบโตได้สูงกว่าระดับ 4.4% แต่ในปีนี้การเติบโตของเศรษฐกิจไทยจะต่ำกว่า 3.6% ที่ประเมินเอาไว้เมื่อต้นปี

รศ.ดร.อดิศร์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ที่ปรึกษา ฝ่ายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่า เมื่อเกิดภัยพิบัติคนทั่วไปมักคาดการณ์กันว่าจะมีผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ในความเป็นจริงสิ่งที่เกิดขึ้นมักตรงข้าม เราจะพบว่าเมื่อประเทศเกิดปัญหาภัยพิบัติอย่างรุนแรง เผชิญความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินอย่างมหาศาล ในไตรมาสต่อๆไปกลับมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่สูงขึ้น

“สิ่งที่พบช่วงหลังภัยพิบัติคือกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่สร้างรายได้บางประเภทลดลงเพราะเกิดความเสียหาย โดยเฉพาะภาคการผลิต แต่ขณะเดียวกันจะมีกิจกรรมที่สร้างรายได้เพิ่มขึ้นเกิดขึ้นอีกมาก เช่น อุปกรณ์และวัสดุก่อสร้าง อิฐ หิน ปูน ทราย ข้าวสาร อาหารแห้ง น้ำดื่มบรรจุขวด ปั๊มน้ำ อุปกรณ์ไฟฟ้า ตู้เย็น ทีวี. เครื่องซักผ้า ธุรกิจจัดสวน ไม้ดอกประดับ อู่ซ่อมรถ ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ธุรกิจประกันภัย เวชภัณฑ์ การรักษาพยาบาล รวมไปถึงการเร่งจ่ายงบประมาณภาครัฐเพื่อชดเชยให้แก่ผู้ได้รับผลกระทบจากภัยน้ำท่วม กิจกรรมเหล่านี้ล้วนเป็นกิจกรรมที่สร้างรายได้เพิ่มขึ้นจากภาวะน้ำท่วม ซึ่งการเพิ่มขึ้นของยอดขายเหล่านี้จะมีผลทำให้รายได้ประชาชาติเพิ่มขึ้น และทำให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจเพิ่มสูงขึ้นด้วย”

นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แถลงหลังประชุมจัดตั้งกองทุนเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยว่า กระทรวงการคลังจะเสนอจัดตั้งกองทุน Infrastructure Fund เพื่อใช้ลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานหลังจากการเกิดอุทกภัยในนิคมอุตสาหกรรม 6-7 แห่ง โดยกองทุนดังกล่าวจะจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และกำหนดมาตรการจูงใจให้ผู้ถือหน่วยลงทุนได้สิทธิพิเศษยกเว้นภาษีเงินปันผล ส่วนขนาดของกองทุนยังต้องหารือกับอีกหลายหน่วยงาน

นอกจากนี้กระทรวงการคลังเตรียมเสนอนายกรัฐมนตรีเพื่อกำหนดให้นิคมอุตสาหกรรมทุกแห่งจะต้องลงทุนสร้างเขื่อนถาวรเป็นคอนกรีตมีความสูงกว่าระดับน้ำที่ท่วมในปีนี้ และมีความแข็งแรงเพียงพอ

ที่มา:หนังสือพิมพ์โลกวันนี้

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เกาะติดท้องถิ่น จับตา อาฟเตอร์ช็อก.. ท้องถิ่นหลังน้ำลด !!?

ปัญหาหลังน้ำลดยังเป็นปัญหาใหญ่ไม่ต่างกับปัญหาน้ำท่วมในขณะนี้

เพราะการฟื้นฟูความเสียหาย ถนน สถานที่ราชการ หรือแม้แต่การฟื้นฟูสภาพจิตใจต้องใช้งบประมาณทั้งนั้น เมื่อเร็วๆ นี้ นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รมว. มหาดไทย ได้ระบุว่า รัฐบาลอาจต้องใช้งบประมาณสูงถึง 8 หมื่นล้านบาทในการฟื้นฟูหลังน้ำลด

ส่วนความเสียหายได้ขยายวงกว้างไปกว่า 27 จังหวัด 186 อำเภอ 1,463 ตำบล 10,999 หมู่บ้าน ราษฎรได้รับความเดือดร้อน 779,522 ครัวเรือน 2,320,169 คน พื้นที่การเกษตรคาดว่าจะเสียหาย 10,209, 891 ไร่

ขณะเดียวกันเป็นที่น่าจับตาอย่างยิ่งว่า “องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.)” จะมีงบประมาณ เข้าไปฟื้นฟูท้องถิ่นของตนเองหรือไม่? เพราะขณะนี้บางแห่งได้เทงบประมาณไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมจนแทบจะเกลี้ยงคลัง

“อบต.บางแห่งใช้เงินจ่ายขาดสะสมที่มีอยู่ไปจนหมด เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าให้ทันท่วงทีกับความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นกับชาวบ้าน” เสียงสะท้อน

จาก “กำนันตั๊ม” นพดล แก้วสุพัฒน์นายกสมาคมองค์การบริหาร ส่วนตำบลแห่งประเทศไทย

ส่วน “นายหัวชวน” นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ก็ออกมาเสนอแนะให้ทางการและภาคเอกชนเตรียมการช่วยเหลือหลังสถาน-การณ์น้ำลดลง ซึ่งจะเกิดปัญหาน้ำเน่าเสีย

“ในท้องถิ่น โดยเฉพาะนายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) และผู้ใหญ่บ้าน จะต้องรู้รายละเอียด เป็นอย่างดีว่า บริเวณ นั้นมีบ้านเรือนประชาชนอยู่กี่หลัง ซึ่งต้องให้ท้องถิ่นมีส่วนร่วมมากๆ เพราะคนนอกจะไม่มีข้อมูล เหล่านี้” นายชวนกล่าว

คำถามที่ตามมาคือ งบประมาณ “ก้อนต่อไป” จะถึงมือท้องถิ่นเมื่อไหร่ และอย่างไร ลำพังงบประมาณที่ท้อง ถิ่นได้รับการจัดสรรนั้น ยังถือว่าไม่เพียงพอต่อการช่วยเหลือ ส่วนรายได้ที่ท้องถิ่นสามารถจัดเก็บได้ ล้วนแต่ได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วม

ไม่ว่าจะเป็นกรณีน้ำท่วมพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม น้ำท่วมพื้นที่เศรษฐกิจในเขตเทศบาล น้ำท่วมแหล่งท่องเที่ยว ล้วนแต่กระทบ กับรายได้ท้องถิ่นทั้งนั้น

“หลังจากน้ำลดมาตรการฟื้นฟูทุกด้านคงต้องใช้งบประมาณ อีกหลายพันล้านบาท ถ้ารัฐบาลไม่ช่วยเหลือก็คงไม่มีงบฯ ดำเนินการและไม่ทราบว่ารัฐบาลจะชดเชยงบฯส่วนนี้ให้อบต.หรือไม่” นายกสมาคม อบต. ระบุ

ด้านกรมส่งเสริมการปก-ครองท้องถิ่น หรือสถ. ได้ร่อนหนังสือแจ้งให้ท้องถิ่นทุกแห่ง เร่งสำรวจความเสียหายทันที หลังน้ำลด เพื่อขอรับงบประมาณช่วยเหลือจากภาครัฐ

วันนี้ท้องถิ่นยังคงนั่งรอความหวังจากรัฐบาลที่จะปล่อยงบ “ก้อนโต” ลงมาให้เพื่อฟื้นฟูท้องถิ่นของตนเอง ท่ามกลางสายตาที่มองมายังท้องถิ่นว่าจะบริหารจัด การงบถึงมือผู้ประสบภัยหรือไม่ ลำพังแค่เงินช่วยเหลือ 5,000 บาท ยังเป็นปัญหาและยังไม่ทั่วถึง

งานนี้จึงต้องจับตาว่า “อาฟเตอร์ช็อก” รอบนี้จะรุนแรงแค่ไหน

ที่มา:สยามธุรกิจ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันศุกร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2554

นักวิชาการเชื่อหลังน้ำท่วม เศรษฐกิจไทยรุ่ง..!!?




ดร.อดิศร์ อิศรางกูร ณ อยุธยา นักวิชาการจากทีดีอาร์ไอ เปิด'มุมต่างหลังภัยน้ำท่วม GDP โตบนความสูญเสีย'มั่นใจหลังน้ำท่วมเศรษฐกิจพุ่ง

รศ.ดร.อดิศร์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ที่ปรึกษา ฝ่ายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เขียนบทความชื่อ"มุมต่างหลังภัยน้ำท่วม GDP โตบนความสูญเสีย" ระบุว่า

ปัญหาน้ำท่วมครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชนเป็นอย่างมาก ข้อมูลจากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย วันที่ 18 ต.ค. 54 ระบุมีจังหวัดที่ได้รับผลกระทบอุทกภัยในภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคกลาง 62 จังหวัด 621 อําเภอ ประชาชนได้รับความเดือดร้อน 2,742,310 ครัวเรือน 8,795,516 คน เสียชีวิต 315 ราย สูญหาย 3 คน มีการประมาณการเบื้องต้นว่าน้ำท่วมครั้งนี้จะสร้างความสูญเสียทางเศรษฐกิจมากกว่า 100,000 ล้านบาท จะฉุดอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่คาดไว้ว่าจะโตร้อยละ 4 ให้ลดลง ซึ่งเป็นการคาดประมาณตามที่ท่านนายกรัฐมนตรีนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้กล่าวไว้ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา

ในความเป็นจริงสิ่งที่เกิดขึ้นมักตรงข้าม โดยจะพบว่า เมื่อประเทศเกิดปัญหาภัยพิบัติอย่างรุนแรง เผชิญความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินอย่างมหาศาล ในไตรมาสต่อๆมากลับมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่สูงขึ้น เช่น จากอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่คาดการณ์ไว้เดิมที่ร้อยละ 4 มาเป็นร้อยละ 4.5 เป็นต้น ซึ่งสาเหตุแท้จริงก็ไม่ได้เป็นเพราะปัญหาพิบัติภัยต่างๆ ที่เกิดขึ้นช่วยทำให้เศรษฐกิจไทยดีขึ้น โดยดูจากรายได้ประชาชาติปรับเพิ่มสูงขึ้น แต่เป็นเพราะบัญชีรายได้ประชาชาติมิได้ถูกออกแบบมาเพื่อวัดมูลค่าความเสียหายที่เกิดจากภัยพิบัติเหล่านี้

สิ่งที่มักพบช่วงหลังภัยพิบัติหรืออุกทกภัยคือ แน่นอนมีกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่สร้างรายได้บางประเภทประสบปัญหาและทำให้รายได้ประชาชาติปรับลดลง เช่น รายได้จากภาคอุตสาหกรรมการผลิตในนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ ลดลง แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีกิจกรรมที่สร้างรายได้เพิ่มขึ้นเกิดขึ้นอีกมาก เช่น อุปกรณ์และวัสดุก่อสร้าง อิฐ หิน ปูน ทราย ข้าวสาร อาหารแห้ง น้ำดื่มบรรจุขวด ปั๊มน้ำ สูบน้ำ อุปกรณ์ไฟฟ้า ตู้เย็น ทีวี เครื่องซักผ้า ธุรกิจจัดสวน ไม้ดอกประดับ อู่ซ่อมรถ ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ธุรกิจประกันภัย เวชภัณฑ์ การรักษาพยาบาล

รวมไปถึงการเร่งจ่ายงบประมาณภาครัฐ เพื่อชดเชยให้แก่ผู้ได้รับผลกระทบจากภัยน้ำท่วม กิจกรรมเหล่านี้ล้วนเป็นกิจกรรมที่สร้างรายได้เพิ่มขึ้นจากภาวะน้ำท่วม ซึ่งการเพิ่มขึ้นของยอดขายเหล่านี้ จะมีผลทำให้รายได้ประชาชาติเพิ่มขึ้นและทำให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือ GDP เพิ่มสูงขึ้นด้วย

แม้ประชาชนจะสูญเสียทรัพย์สินมีค่าที่ใช้เวลาสะสมมานานอย่างบ้าน ที่อยู่อาศัย สถานประกอบการ เครื่องจักรอุปกรณ์ ที่สวน ไร่นา มูลค่าทรัพย์สินเหล่านี้ไม่ได้ถูกบันทึกในรายการในบัญชีผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ จึงไม่ส่งผลฉุดให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือ GDP ลดลง อย่างที่ท่านนายกรัฐมนตรีกล่าวไว้ อย่างไรก็ตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นและให้ผลบวกต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจซึ่งในภาวะปรกติจะสะท้อนความกินดีอยู่ดี แต่ในสภาวะการณ์ภายหลังภัยพิบัติ GDP ที่เติบโตจะสะท้อนความสูญเสียทางเศรษฐกิจที่ประเทศต้องนำทรัพยากรไปใช้ในกิจกรรมอันไม่พึงประสงค์ ดังนั้นรัฐบาลจึงควรประเมินความสูญเสียทางเศรษฐกิจจากปัญหาน้ำท่วมโดยไม่ต้องอิงการเปลี่ยนแปลงของ บัญชีรายได้ประชาชาติ.

ที่มา:กรุงเทพธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันพฤหัสบดีที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2554

4 นิคมฯฝั่งตะวันออกระทึก.. ผุดเขื่อน 3 เมตรสู้ /1,000 โรงงานตั้งวอร์รูมลุ้น 24 ชั่วโมง !!?

นิคมอุตสาหกรรมฝั่งตะวันออกเตรียมรับมือสู้ภัยกระแสน้ำหลาก หลัง 5 นิคมฯ ใหญ่พระนคร ศรีอยุธยาล่มมาก่อนหน้านี้ เตรียมสร้างเขื่อน-คันกั้นน้ำ สูง 1.5-3.0 เมตร เพื่อป้องกัน พร้อมตั้งวอร์รูมจับตาสถานการณ์ตลอด 24 ชั่วโมง เตรียมวางแผนอพยพคน งานหากถูกกระแสน้ำทะลักใส่ เผยข่าวดีสหรัฐฯ เตรียม ยืดสิทธิ์จีเอสพี “เฟอร์นิเจอร์-ชิ้นส่วนยานยนต์-เตาไมโครเวฟ-เลนส์แว่นตา” ซับน้ำตา

จากสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่หลายจังหวัดของประเทศไทย ส่งผลให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างหนัก โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมที่ถูกกระแสน้ำทำลาย สร้างความเสียหายอย่างหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมในจังหวัดพระนคร ศรีอยุธยาหลายแห่งถูกน้ำท่วมได้รับความเสีย หายอย่างหนัก อาทิ นิคมอุตฯ สหรัตนนคร, นิคมฯ โรจนะ, นิคมฯ ไฮเทค, นิคมฯ บางปะอิน,แฟคตอรี แลนด์ นิคมขนาดเล็กก็ถูก น้ำท่วม นอกจากนี้น้ำยังได้ลามมายังจังหวัดปทุมธานี จนต้องป้องกันอย่างแข็งขันในขณะนี้ รวมทั้งบางกระดี ส่วนนิคมทางโซนตะวันออกก็ยังวางใจไม่ได้

ล่าสุดนายศรณ์พงษ์ ชูอาตม์ ผอ. สำนักงานนิคมอุตสาหกรรมบางพลี เปิดเผย ว่า ขณะนี้นิคมฯได้รับหนังสือจากกรมชลประทานแจ้งเตือนให้เตรียมความพร้อมรับมือน้ำจากรังสิตที่กำลังจะไหลลงมาด้านฝั่งตะวันออก จึงต้องเฝ้าระวังสถานการณ์ และร่วมประชุมกันตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งที่ผ่านมาได้เสริมเขื่อนกั้นน้ำด้านหลังนิคมฯ สูงขนาด 1.50 เมตร ระยะทาง 4 กิโลเมตร ส่วนด้านหน้ามีถนนของกรมทางหลวงชนบทกั้นน้ำอยู่แล้วจึงไม่ต้องมีเสริมเขื่อนกันน้ำแต่อย่างใด
ขณะที่นิคมอุตฯบางพลีมีพื้นที่ 1,004 ไร่ มีโรงงาน 130 แห่ง เป็นแหล่งผลิตอะไหล่ชิ้น ส่วนยายนต์ อาหาร พลาสติก นมผงดูเม็กซ์ ครีมบำรุงผิวนีเวีย ล้อแม็กซ์เอ็นโก มีแรงงาน ทั้งหมด 25,000 คน วงเงินลงทุน 14,000 ล้านบาท ส่วนที่นิคมอุตฯบางปูก็ได้เปิดศูนย์ปฏิบัติ การติดตามสถานการณ์น้ำท่วมอย่างใกล้ชิด และได้เตรียมรถแบ็กโฮ ปั๊มสูบน้ำ สถานีสูบน้ำ 11 จุดน่าจะเพียงพอสำหรับการระบายน้ำ

สำหรับนิคมที่อยู่ในเขตกรุงเทพฯ 2 แห่งคือ นิคมอุตฯบางชันและนิคมอุตฯลาด กระบังนั้น นายประภาส คล้ายศรี ผอ.สำนักงาน นิคมอุตสาหกรรมบางชัน กล่าวว่า เนื่องจาก นิคมฯแห่งนี้อยู่ในแนวกั้นน้ำของกรุงเทพฯ จึงมั่นใจว่าน้ำจะไม่ท่วมนิคมฯอย่างแน่นอน อย่าง ไรก็ตาม ได้เสริมคันกั้นน้ำไว้สูงถึง 2.10 เมตรแล้ว ถ้าเกิดสถานการณ์ฉุกเฉินก็จะสามารถอพยพคนงานได้อย่างรวดเร็ว เพราะมีทางเข้า-ออกหลายทาง

ส่วนนิคมอุตฯลาดกระบัง ขณะนี้มีน้ำฝนท่วมขังในนิคมฯบางพื้นที่ แต่เป็นห่วงหลังจากได้รับแจ้งจากประตูน้ำชลหารพิจิตรว่าจำเป็นต้องระบายน้ำที่มาจากด้านเหนือลง มา ซึ่งจะทำให้น้ำรอบนิคมฯสูงขึ้น 50-80 ซม. ตอนนี้ได้วางเขื่อนกั้นน้ำแล้วสูง 1 เมตร ทำให้เป็นห่วงน้ำจะเข้าท่วมในเขตนิคมฯ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ทางนิคมฯร่วมกับทหารจากกอง พลทหารราบที่ 11 จำนวน 80 นายกำลังเตรียมพร้อม และกำลังจะเข้ามาเสริมอีก 100 นาย ตรึงกำลังป้องกันอย่างเต็มที่ ทั้งนี้ นิคมอุตฯลาดกระบัง ผลิตอิเล็ก ทรอนิกส์ ชิ้นส่วน อาหาร อัญมณี มีโรงงาน 254 แห่ง วงเงินลงทุน 80,000 ล้านบาท มีแรงงานทั้งหมด 45,000 คน ขณะที่ทางฝั่งตะวันตก นางนงนุช ศรีประเสริฐ ผอ.สำนักงาน นิคมอุตสาหกรรมสมุทรสาคร เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้ตั้งวอร์รูมเพื่อติดตามสถานการณ์น้ำที่ระบาย จากด้านทิศเหนืออย่างใกล้ชิด และได้สร้างเขื่อนกั้นน้ำสูง 2.80 เมตรไว้พร้อมแล้ว และต้องรายงานความเคลื่อนไหวให้ผู้บังคับบัญชาทราบวันละ 4 ครั้ง จึงมั่นใจว่าสามารถจะแก้ไขสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นิคมอุตสาหกรรม ฝั่งตะวันออก 4 แห่งที่ถือเป็นนิคมฯขนาดใหญ่ ที่ยังไม่ถูกน้ำท่วม แต่ก็อยู่ในแนวเส้นทางน้ำไหลผ่าน โดยทุกฝ่ายพยายามหาทางปกป้องนิคมฯเหล่านี้เต็มกำลังความสามารถ ประกอบด้วยนิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง มีโรงงานภายในนิคมฯจำนวน 231 โรงงาน เงินลงทุน 89,491 ล้านบาท นิคมอุตสาหกรรมบางชัน มีโรงงาน 93 โรงงาน เงินลงทุน 19,848 ล้านบาท นิคมอุตสาหกรรมบางพลี มีโรงงาน 137 โรงงาน เงินลงทุน 54,291 ล้านบาท และนิคมอุตสาหกรรมบางปู มีโรงงาน 456 โรงงาน เงินลงทุน 105,502 ล้านบาท ผู้ประกอบการย้ายฐานผลิตจ้าละหวั่น

นายสาธิต เกียรติกำจร เจ้าหน้าที่ประจำนิคมอุตสาหกรรมพิจิตร กล่าวว่า หลังจากน้ำท่วมนิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนคร ปรากฏว่ามีผู้ผลิตสินค้าหลายยี่ห้อ อาทิ นิคอน ฟูจิกูระ รองเท้าเอ็นโก เข้ามาติดต่อขอซื้อพื้นที่เพื่อผลิตสินค้า แต่ทางนิคมฯมีนโยบายให้เช่าไม่ได้ขาย จึงมีโรงงานบางรายกลับไป มีเพียงเอ็กโกเท่านั้นที่สนใจจะขยายโรงงานจาก 25 ไร่ เป็น 45 ไร่ และจะเปิดกำลังการผลิต วันที่ 19 ตุลาคมนี้

ขณะที่นายปรีชา จรเณ ผอ.สำนักงานนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง กล่าวว่า พื้นที่นิคมฯแหลมฉบังเต็มหมดแล้วที่พอเหลืออยู่จะเป็นนิคมฯปิ่นทองและอมตะซิตี้ อย่างไรก็ ตาม ที่แหลมฉบังยังต้องการแรงงานจำนวนมาก 1,000-2,000 คน ซึ่งคาดว่าจะรองรับแรงงานที่จะมาจากจังหวัดพระนครศรีอยุธยาและปทุมธานีได้

ด้านนายวิฑูรย์ สิมะโชคดี ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า ในช่วงหลังน้ำลด กระทรวงอุตสาหกรรมมีมาตรการช่วยเหลือโดยการยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักรนำเข้ามาทดแทนเครื่องจักรที่เสียหาย และอากรขา เข้าสำหรับวัตถุดิบนำเข้าที่เสียหายจากน้ำท่วม รวมทั้งอนุญาตให้ย้ายโรงงานไปอยู่ที่นิคมฯ/เขตประกอบการอุตสาหกรรมอื่นได้ รวมทั้งจะมีการเสนอเพิ่มเติมต่อบีโอไอให้ยกเว้นอากรขาเข้า ในกรณีวัตถุดิบนำเข้ามาผลิตเพื่อ การส่งออก หากเกิดความเสียหายจากภัยธรรมชาติทุกกรณี นอกจากนี้ ยังได้ประกาศยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปีแก่สถานประกอบการ และยกเว้นไม่เก็บค่าธรรมเนียมการต่อใบ อนุญาตเป็นระยะเวลา 5 ปี สหรัฐขยายสิทธิจีเอสพีช่วยน้ำท่วม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในขณะที่สถานการณ์น้ำท่วมได้สร้างความเสียหายให้กับภาค อุตสาหกรรมของไทยนั้น ยังมีข่าวดีอยู่บ้างเมื่อมีรายงานจากสำนักงานส่งเสริมการค้าใน ต่างประเทศ ณ นครชิคาโกว่า สหรัฐอเมริกาได้ต่ออายุจีเอสพี หรือโครงการสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร ให้สิทธิกับประเทศไทย โดยส่งสินค้าไปสหรัฐจะไม่เสียภาษีศุลกากรนำเข้า ไปจนถึงวันที่ 31 ก.ค.2556 และให้มีผลบังคับย้อนหลังไปตั้งแต่ 31 ธ.ค. 2553 ซึ่งส่งผลดีต่อสินค้าไทยหลายรายการ เช่น เฟอร์นิเจอร์ ชิ้นส่วนยานยนต์ เตาอบไมโครเวฟ เลนส์แว่นตา เป็นต้น สอดคล้องกับราย งานข่าวก่อนหน้านี้ของสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) เปิดเผยว่า ขณะนี้กระทรวงเกษตรของสหรัฐ อเมริกาได้อนุญาตให้ประเทศไทยสามารถส่งออกผลแก้วมังกรสดไปยังสหรัฐแล้ว การที่สหรัฐยอมรับแก้วมังกรนำเข้าจากไทยทำให้ไทยสามารถส่งออกผลไม้ฉายรังสีไปยังสหรัฐเพิ่มจากเดิม 6 ชนิด เป็น 7 ชนิด ได้แก่ ลำไย ลิ้นจี่ มังคุด เงาะ สับปะรด มะม่วง และแก้วมังกร ซึ่งเป็นโอกาสของเกษตรกรผู้ปลูกแก้วมังกรของไทยที่จะสามารถขยายช่องทางการตลาดและจำหน่ายผลผลิตได้มากขึ้น

นางนันทวัลย์ ศกุนตนาค อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก เปิดเผยว่า จากกรณีน้ำท่วมในกว่า 20 จังหวัดของไทย ส่งผลทำให้วัตถุดิบสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมไม่สามารถป้อนเข้าโรงงานผลิตได้ รวมถึงเส้นทางการขนส่งถูกตัดขาด อย่างไรก็ตาม น้ำท่วมไม่น่าจะกระทบตัวเลขการส่งออกปีนี้ที่ 20% แต่อาจจะต้องทบทวนตัวเลขเป้าหมายปีหน้า ไม่น่าจะโตได้ 15% เพราะความเสียหายเกิดขึ้นหลายจุด โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบมาจากอุทกภัยโดยตรงจนผลิตต่อไม่ได้ ได้แก่ อุตสาหกรรมเกษตรและอาหารที่มีพื้นที่เพาะปลูก เพาะเลี้ยง หรือสินค้าที่ต้องใช้วัตถุดิบจากท้องที่ เช่น หนังสัตว์ รวมทั้งอุตสาหกรรมหนักประเภทชิ้นส่วนยาน ยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ ส่วนสินค้าอุตสาหกรรม เบา เช่น เครื่องสำอาง เป็นต้น “ได้ประสานไปยังสมาคมต่างๆ เพื่อให้ทำการสำรวจคลังสินค้าของสมาชิกที่ยังมีพื้นที่ว่างสามารถให้บริการแก่ผู้ประกอบการที่ประสบภัยน้ำท่วมได้ และทางกรมฯ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการที่ประสบ ปัญหาต่อไป” นางนันทวัลย์ กล่าว

ที่มา:สยามธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////////////////////

วันพุธที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2554

มือไม่พาย เอาเท้าราน้ำ !!?

มือไม่พาย เอาเท้าราน้ำ!!!
ฟันธง คอนเฟิร์มเลยว่า..นี่เป็นพฤติการณ์ แห่งแผนเลวระยำ??
ไอ้นายหมู นายหมา สับปะรังเคตัวไหนก็ไม่ทราบ ไปด่ากราดชี้หน้า “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ขณะนำกำลังพล ช่วยน้ำท่วมที่จังหวัดปทุมธานี
สมควรหรือ ที่ “นักเล่าข่าว” ผู้สร้างเร็ตติ้งดราม่า ถึงได้ โหวกเหวกว่าเป็น “สาวกคนเสื้อแดง” ทั้งที่ไร้หลักฐาน พยานอ้างอิง ในข้อมูล
อาจจะมีคน “สวมรอย” สร้างความแยกแตกก็ได้..ใยไม่คิดกันมั่งล่ะคุณ
ดูแล้วทุกอย่างเขาเตี๊ยม..เพื่อที่จะเสี้ยม?...เพื่อให้รัฐบาลไหม้เกรียม จะล้มได้ง่าย ๆ ??

----------------------------

“จุดชนวน” ให้ “บ้านเมืองยุ่ง”!!
สร้างอารมณ์ความเกลียดชัง ให้คนไทยที่น้ำท่วมต่อน้ำท่วม ขัดแย้งกันให้ได้สิคุณลุง
นำเสนอความแยกแตก...คนบ้านเหนือเข้ารื้อเขื่อน ทำนบ พังคันนา เพื่อให้ท่วมเสมอภาค
“นักเล่าข่าว” โทรทัศน์.. สร้างเงื่อนไข ให้คนไทยต่อคนไทย เผชิญหน้ากันเป็นอันมากส์
ทำให้ “ไทยต่อไทย” แตกกันเป็นขั้ว...หลังจากศึกสีเสื้อ “แดง-เหลือง”เริ่มเบาบาง!!
ดูแล้วเหมือนมีวาระแฝง....สร้างสถานการณ์แรง?..เพื่อให้ทอปบู๊ตแทรกแซง อีกครั้ง??

----------------------------

โมเดลที่ “ปทุมธานี”!!
ถ้าผู้นำ ผู้ว่าราชการจังหวัด สิ้นน้ำอิ๊ว ควรที่จะย้าย “พ่อเมืองพีระศักดิ์ หินเมืองเก่า” พ้นไปจากตำแหน่ง เสียที???
โอดกาเหว่า คร่ำครวญอย่างแรง เรียกร้องให้ “นายกฯปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เข็น “พรบ.ฉุกเฉิน” ออกมาให้ เพื่อให้ “ทหาร” ของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. เข้ามาควบคุมสถานการณ์น้ำ ที่เอ่อนอง จนอ่วม
แต่ก่อนหน้านี้ ส่งสัญญาณใสปิ๊ง คุยเจ็ดย่านน้ำ “เมืองปทุม” อย่างไรก็ดี.. น้ำไม่ท่วม
ครั้นน้ำเหนือหลากมา จาก อยุธยา อ่างทอง สิงห์บุรี นครสวรรค์ ก็เจิ่งนองสามโคกคุมไม่ได้... ซึ่งก็ไม่ได้เป็นความผิด..แต่ที่เอะอะมะเทิ่ง ให้ออก “พรบ.ฉุกเฉิน” ทหารเข้ามากระชับพื้นที่ ดูแลน้ำท่วม โดยเน้นว่า ได้บารมี “พล.อ.ประยุทธ์” จึงทำให้ทุกอย่าง คลี่คลายลงไป
ตีความหมายอย่างหนักแน่น...เหมือนท่านดูแคลน?..อยากให้ทหารมาทดแทนผู้ว่าฯนั่นไง

----------------------------

อำนาจผลัดกันชม!!
มีอำนาจมาก ก็ไม่ใช่สิ่ง ที่รื่นอภิรมย์??
“ซีซ่าร์ แห่งกรุงโรม” นักรบผู้ยิ่งใหญ่..ได้อำนาจบุญบารมีใหญ่คับฟ้า..สุดท้ายก็ดิ่งร่วงพสุธา กลิ้งโค่โร่
ลงจากหลังเสืออย่างสมเกียรติไปแล้ว “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อดีต รมว.กลาโหม ในฐานะพี่ใหญ่ทหารบูรพา คนโต
ชีวิตหลังเกษียณ ไม่ต้องมาถือดาบอาญาสิทธิ์คุมอำนาจแผ่นดิน ดูแล้วท่านชื่นบาน!!!
ละจากการเมืองได้....ชีวิตมีแต่ยิ่งใหญ่?....เป็นสุขใจจะมีอะไร ดีกว่าหรือล่ะท่าน??

----------------------------

เป็น “แชมป์กระโดดค้ำถ่อ”!!
สำหรับ “คุณพี่ปรีชา เลาหพงศ์ชนะ” สมาชิกบ้านเลขที่ ๑๑๑ ที่ถูกเว้นวรรค โดนแชวน นั่งตัวลีบตัวงอ
จากแต่ก่อน เป็นเพื่อนคู่คิดมิตรคู่ใจ “เสี่ยสุวัจน์ ลิมปพัลลภ” นักการเมืองเก่งผู้ยิ่งใหญ่
เมื่ออนาคตการเมือง หดสั้นจู๋เป็นรูเข็ม “เสี่ยปรีชา” ก็โบกมือบ๊ายบาย
มาตั้งป้อมกับ “กลุ่ม ๓พี” เสี่ยพินิจ จาสุสมบัติ ร.ต.ไพโรจน์ สุวรรณฉวี (วายชนม์ไปแล้ว) และตัวเอง “เสี่ยปรีชา เลาหพงศ์ชนะ” ร่วมตั้งกลุ่มเป็นที่กล้าแกร่ง..แต่บัดนี้เริ่มโรยรา นัยว่า “คุณพี่ปรีชา” เตรียมชิ่งไปอยู่กับ “เสี่ยจาตุรนต์ ฉายแสง” อดีตหัวหน้าพรรคไทยรักไทย จอมเก๋าส์
ถ้าจาตุรนต์หมดแรงห้อ..ไม่รู้เสี่ยปรีชาจะค้ำถ่อ?..กระโดดต่อ ไปอีกหรือเปล่า???

ที่มา:คอลัมน์ ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

แค้น : ไม่อาจสะท้อน ไม่พอสะท้าน !!?

โดย ชญานิน เตียงพิทยากร
ที่มา:Siam Intelligence Unit

แค้น ศุภวัฒน์ หงษา

เทศกาลศิลปะนานาพันธุ์ ครั้งที่ 4 ณ สถาบันปรีดี พนมยงค์ ซอยทองหล่อ เพิ่งคลี่ม่านปิดฉากไปเมื่อวันที่ 16 ตุลาคมที่ผ่านมา
ผมได้ไปร่วมงานมาบ้างประปราย และไม่ได้ชมการแสดงกับงานศิลปะทั้งหมด แต่มีงานละครเวทีสองเรื่องในเทศกาลนี้ที่ผมเห็นว่าน่าสนใจนำมาขยายผลต่อ ได้แก่ ‘แค้น’ (ศุภวัฒน์ หงษา) และ ‘อัสลาม… จากเจ้าหญิงเสียงเศร้าแห่งดาวดวงที่ ๔’ (ฟารีดา จิราพันธุ์)

จุดร่วมของละครทั้งคู่คือเป็นละครที่สอบผ่านในแง่มุมด้านศิลปะ ไม่มีใครบริภาษว่าละครสองเรื่องนี้ย่ำแย่เลวร้าย หากแต่จุดบอดบางประการที่ปรากฏอยู่และแทบจะซ้อนทับกัน ทำให้รู้สึกว่าควรบันทึกไว้ให้เห็นชัด เนื่องด้วยทั้งศุภวัฒน์และฟารีดาต่างเลือกหยิบจับประเด็นทางสังคมการเมืองที่ร้อนแรงมานำเสนอ และผมเห็นว่าทั้งคู่มี ‘กำแพงส่วนตัว’ แบบเดียวกัน ที่กั้นไม่ให้ละครของพวกเขาขึ้นไปสู่จุดสูงสุดได้
ในบทความตอนนี้ ขอกล่าวถึงเรื่อง แค้น ก่อน และจะกล่าวถึง อัสลาม ในบทความชิ้นต่อไป


แค้น ศุภวัฒน์ หงษา
อิ่ม (รับบทโดย สิทธยา นักปราชญ์) / ศักดิ์ (รับบทโดย วสุ วรรลยางกูร)

‘แค้น’ เล่าเรื่องชีวิตชาวสลัมยากจนในช่วงก่อนเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 โดยในเวอร์ชั่นของศุภวัฒน์นี้เป็นงานสำเร็จการศึกษาที่แสดงไปเมื่อช่วงกลางปี ก่อนจะ re-stage ในงานรำลึก 6 ตุลาคม 2519 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และในเทศกาลศิลปะนานาพันธุ์ ดัดแปลงจากบทละครเดิมของ วีระประวัติ วงศ์พัวพันธ์ ซึ่งเคยถูกสร้างเป็นละครเวทีโดย ยุทธนา มุกดาสนิท เมื่อปี 2518 – ยุครอยต่อทางการเมืองที่นักศึกษามีบทบาท ตื่นตัวทางการเมือง ตั้งคำถามกับความเป็นไปของสังคม ณ ตอนนั้น และสถานการณ์เริ่มคุกรุ่นอีกรอบ และไปปะทุเป็นเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ

ตรงนี้แหละปัญหา… ตรงความเป็น 2516, 2518, 2519 นี่แหละปัญหา
ผมพูดได้ไม่เต็มปากหรอกว่า ศุภวัฒน์ซื่อสัตย์กับบทละครต้นฉบับมากเพียงใด (เพราะไม่เคยอ่านบท และเกิดไม่ทันจะมีโอกาสได้ดูเวอร์ชั่นของยุทธนา) แต่จากที่ดูแล้วผมพบว่า แทบไม่พบการตีความเพิ่มเติมหรือต่อยอดจากบริบทสังคมเมื่อ 36-37 ปีก่อนมากเท่าไรนัก -อาจไม่ใช่สาระสำคัญ- แต่เมื่อทางผู้กำกับและคนเขียนบทของเวอร์ชั่นปี 2554 ได้เชื่อมโยงชิ้นงานของตนเข้ากับเหตุการณ์เมื่อเดือนพฤษภาคม 2553 แต่กลับไม่ได้ดัดแปลงบทละครให้สอดรับหรือต้านค้านกับบริบทสังคมร่วมสมัย ย่อมเป็นสิ่งที่น่าตั้งคำถาม
เรายังพบการ romanticize คนจนในลักษณะที่อีหลักอีเหลื่อพอสมควร ละครเสนอว่าที่คนจนต้องทำอะไรที่ถูกหมายรวมว่าเป็น ‘ความเลว’ (เช่น เสพยา, ปล้นจี้, ขายตัว หรือฆ่าคน) เป็นผลจากการที่ถูกคนที่อยู่ในสถานะทางสังคมเหนือกว่ากดขี่ข่มเหง ซึ่งมันแหลมคมและส่งผลรุนแรงกับผู้ชมได้ในบริบทของต้นฉบับ แต่ไม่ใช่ในปี 2554

ดูเหมือนศุภวัฒน์เองก็จะรู้ว่าการใส่ฉากคนจนถูกย่ำยีบีฑา เหยียดประนามหยามหมิ่น ใน พ.ศ. นี้เป็นอะไรที่ดูเชย ล้าสมัย และไร้พลัง (ลองนึกถึงฉากประเภทเจ้าแม่เงินกู้มาด่าคนสลัมว่า “ก็เพราะแกมันขี้เกียจถึงไม่มีเงินมาใช้หนี้ฉัน” ดูสิครับว่ามัน ‘ละครทีวี’ ขนาดไหน) ระหว่างที่เราดูละครก็ไม่พบฉากทำนองนี้ปรากฏอยู่ในเรื่องเลย ฟังดูเหมือนจะดีที่ละครลดทอนสิ่งที่ล้าสมัยและไม่จำเป็นออกไปเสีย แต่ผลสะท้อนของมันคือกลายเป็นว่า คนจนคนสลัมพวกนี้ก็ก้มหน้าด่าตัวเอง กดตัวเอง ดูถูกตัวเอง มโนไปเองว่าคนอื่นเขามองว่าตัวเองต่ำ dramatize ความยากจนของตัวเองไปเรื่อยๆ จนทุกอย่างเกิดจากการย้ำทัศนคติฝังหัวตัวเองทั้งสิ้น

ด้วยวิธีการเล่าและนำเสนอ กลายเป็นว่าชะตากรรมของตัวละครชาวสลัมทั้งหลายในเรื่องเกิดจากพวกเขาทำตัวเองทั้งสิ้น ไม่ได้เกิดจากปัจจัยภายนอก (อย่างที่ผู้กำกับตั้งใจ) เพราะเมื่อละครอ่อนพลังในการชูประเด็นรายรอบไป ขาดความละเอียดประณีตในทางประเด็นไป มันก็เลยเหลือสารเพียงเท่านี้ที่ส่งมาถึงคนดู เราไม่ได้เห็นอาการง่อยเปลี้ยเสียขาอันเกิดจากสถานะทางสังคมชัดเท่ากับการที่ตัวละครพูดกรอกหูตัวเอง (มีตัวละครถึง 3 ตัวที่มีหน้าที่เพียงแค่เดินเข้าฉากแล้วพูดประเด็นออกมาอย่างทื่อตรง โดยไม่ได้อยู่ในลักษณะ ‘ยั่วให้คิด’ แต่เป็น ‘พูดให้เชื่อ’) แม้กระทั่งฉากที่ตัวละครถูกประหารชีวิต แล้วโยงไปถึงการใช้ มาตรา 17 อันเป็นอำนาจประกาศิตในสังคมเผด็จการทหาร ก็ไม่ได้มีพลังพอที่จะให้เห็นโครงสร้างอำนาจรัฐที่กดทับประชาชน เนื่องด้วยสิ่งที่ตัวละครทำต่อให้ไม่ใช้มาตรานี้จัดการ ก็เข้าข่ายให้ถูกตัดสินประหารชีวิตได้อยู่ดี

พยอม แค้น ศุภวัฒน์ หงษา
พยอม (รับบทโดย เศรษฐินันท์ กนิกาจิรานันท์)

ฟังก์ชั่นของตัวละครไม่ถูกขับเน้นให้เห็นความเป็นมนุษย์มากนัก เพราะดูเหมือนผู้กำกับจะพึงใจกับลักษณะที่ตัวละครเป็นตัวแทนความคิดในจุดยืนต่างๆ มากกว่า (มีเพียงตัวละคร ‘พยอม’ เมียเก่าของพระเอกซึ่งกลายเป็นโสเภณีจีไอเท่านั้นที่ดูเป็นมนุษย์มีเลือดเนื้อในละครเรื่องนี้ ซึ่งไม่ใช่เพียงตัวหนังสือในบทละคร แต่ต้องยกประโยชน์ให้ผู้แสดงที่ตีความตัวละครได้ละเอียดน่ายกย่องด้วย) เราก็จะเห็นแม่จนๆ ที่รู้สึกต่ำต้อยในความจน พระเอกที่เพิ่งออกจากคุกและลืมตาอ้าปากไม่ได้เพราะความจน น้องสาวพระเอกที่ไม่มีอะไรทำเพราะความจนเลยต้องเป็นกะหรี่ตามเพื่อน เพื่อนพระเอกที่มีเงิน มีฐานะขึ้น เพราะขายของเถื่อน ฯลฯ

รวมถึงประเด็นเรื่อง ‘ความแค้น’ (ของชนชั้นล่าง ต่อชนชั้นที่สูงกว่า ซึ่งน่าจะเป็นแกนหลักของเรื่อง) ก็ไม่ได้ถูกเน้นให้เห็นชัดเจนมากไปกว่าบทพูดยาวๆ ใช้ศัพท์ซ้ายๆ การเมืองๆ (ประเภทว่า ‘เงินคือพระเจ้าในโลกทุนนิยม’ อะไรแบบนั้น) ไม่ได้เห็นความคับข้องเคียดแค้น น่าเห็นใจ หรือสภาวะที่ตัวละครต้องแบกรับอยู่ มากไปกว่าการบิลด์ให้ตัวเองแค้นแล้วก็ลงมือกระทำการอันโหดเหี้ยม ก่อนจะใช้ไดอะล็อกต่างๆ มาเป็นเครื่องมือเรียกร้องความน่าสงสารน่าเห็นใจ ซึ่งไม่ได้ผลเท่าที่ควร

บางที scope ของละครอาจดูกลมกล่อมลงตัวกว่านี้ในทางประเด็นตัวบทถ้าไม่พยายามพูดออกนอกเขตสลัมมากนัก และไปขับเน้นอารมณ์ให้ชัดๆ ดีกว่า เช่น เคี่ยวให้เห็นว่าอำนาจรัฐกดขี่ผู้คนอย่างไร ไม่ใช่นำเสนอเพียงบางๆ อย่างที่เป็น เพราะนอกจากตัวละครมากมายในสลัมแล้ว ละครยังพาเราไปให้เห็นทหารไทยปะทะคารมทางอุดมการณ์กับทหารคอมมิวนิสต์ลาวด้วย ซึ่งกลายเป็นว่าประเด็นเรื่องอำนาจรัฐยิ่งเบาบาง แตกกระจาย และไม่แหลมคมมากขึ้นไปอีก ผมลองคิดเล่นๆ ดูว่าทำไมไม่ให้เป็นบทสนทนาของทหารรัฐไทยกับคอมมิวนิสต์ไทยไปเลย เราอาจเห็นมุมที่รัฐกระทำต่อคนในชาติชัดเจนมากขึ้นด้วยซ้ำ และจะช่วยเสริมให้สารของเรื่องแข็งแรงขึ้น น่าคิดตามมากขึ้น (อย่างจุดประสงค์ของละครที่บอกว่าจะ ‘สะท้อนชนชั้น สะท้านอคติ’)

ผมไม่มีสิทธิ์ไปบอกผู้กำกับอยู่แล้วว่า เขาจะต้องคิดหรือเชื่อแบบเดียวกับที่ผมอยากให้เป็น การทำงานศิลปะไม่ได้หมายความว่าจะต้องแหลมคมหรือก้าวหน้า (ในความคิดของคนดู) เสมอไป แต่ข้อกังขาที่เกิดขึ้นกับตัวผมก็คือ ในสภาวะสังคมเช่นนี้ โดยเฉพาะหลังเหตุการณ์รัฐประหาร 2549 (หรือถ้าไกลไป ตีแคบเข้ามาเป็นหลังเหตุการณ์ความรุนแรงในปี 2552 ก็ได้) ผมไม่เชื่อว่าผู้กำกับจะยังเชื่อในชุดความคิดที่ใช้อธิบายสังคมในสมัยปี 2518 และไม่คิดว่าชุดความคิดดังกล่าวจะทาบทับซ้อนสนิทกับสิ่งที่เกิดขึ้นในปี 2553

จากภาพของละครที่เสนอออกมา ผมไม่รู้สึกว่าสิ่งที่สื่อสารออกมานั้นจะต่างกับวาทกรรม ‘โง่ จน เจ็บ’ ที่ระบาดอยู่ในสังคมไทยสักกี่มากน้อย (อีกทั้งวาทกรรมนี้ก็ถูกรื้อสร้าง ตั้งคำถาม นิยามใหม่ จากหลายฝั่งความคิดในปัจจุบัน) และเมื่อผนวกกับความเคลื่อนไหวอันฉับไวของความคิดทางสังคมการเมืองในประเทศไทยปัจจุบัน นั่นทำให้ละครเรื่องนี้ไม่มีพลังและไม่ได้ส่งผลสะท้านสะเทือนใดๆ นอกจากการเป็นเวอร์ชั่นรีเมคของละครดังเมื่อเกือบ 40 ปีก่อน ที่ถูกแช่แข็งอยู่เช่นนั้นในฐานะหลักฐานทางประวัติศาสตร์ มากกว่าที่จะเป็นบทวิพากษ์สังคมร่วมสมัยที่แหลมคม พลังของงานศิลปะทั้งการทำหน้าที่สะท้อนและสะท้านผู้ชมจึงไม่ได้ทำหน้าที่ เมื่อคำถามในละครนั้นตามหลังคำถามในโลกแห่งความเป็นจริงอยู่หลายก้าว

หากจะตอบคำถามที่ว่า “ทำไมคนจนถึงต้องทำแบบนั้น” ด้วยคำตอบแบบที่ ‘แค้น’ เสนอ ก็ไม่ใช่การอธิบายสถานการณ์ที่ทันสมัยเอาเสียเลย คำตอบทำนองว่า “เพราะคนจนถูกสถานภาพทางสังคมและอำนาจรัฐกดทับ ไม่เอื้อให้เขาลืมตาอ้าปากได้ในโครงสร้างสังคมไทยที่เป็นเช่นนี้” ได้กระจายไปทั่วสังคมไทยมานานแล้ว และคำตอบนี้ไม่ใช่ผลที่น่าพึงพอใจสำหรับคนที่ยังคงมีคำถามอยู่ ปัจจุบันคำถามที่ร่วมสมัยในประเด็นนี้คือ “การที่เราจนอยู่อย่างนี้ เป็นผลจากอะไร หรือจากใคร และใครเป็นผู้กำหนดโครงสร้างที่กดทับเราเช่นนี้” ต่างหาก

การพูดถึงเหตุการณ์ในอดีต ไม่ได้เป็นตัวบีบบังคับว่าเราจะต้องตั้งคำถามที่เป็นอดีตไปด้วย เรานำอดีตมาวิพากษ์ปัจจุบันได้ ใช้เป็นเครื่องมือในการตอบคำถามที่เป็นปัจจุบันได้ น่าสงสัยว่าที่ศุภวัฒน์ไม่ทำเช่นนี้เพราะเขาเชื่อจริงๆ ว่าเราสามารถใช้ชุดความคิดแบบ 37 ปีก่อนมาอธิบายปัจจุบันได้ หรือเพราะคำอธิบายของปี 2554 มันเป็นคำตอบที่นำมาใส่ในละครเวทีไม่ได้กันแน่?


[วิดีโอการแสดงทั้งเรื่อง, วันที่ 5 ตุลาคม 2554, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์]

/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////