--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันจันทร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ปล่อยคนสกัดปล่อยของ อำมาตย์ ยืมจมูกไพร่หายใจ!

ได้กลิ่นตุๆ เสียงแปร่งๆ ไอปฏิวัติรัฐประหารโชย มาเตะจมูก ขีดเส้นให้จับตาภายใน 7 วัน อาจมีอาการสุ่มเสี่ยง เกินเหตุ ถ้าหาก “รัฐบาลเทพประทาน” ของ “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ไม่เทกแอ็กชั่น อะไรออกมาสักอย่าง

และแล้วในท้ายที่สุดเงื่อนไขการ เมืองประเทศไทยก็เริ่มเปลี่ยน แต่เปลี่ยนไปโดยการเบี่ยงประเด็นเลี่ยงบาลีในทางพฤตินัย อันถือเป็นเหลี่ยมเขี้ยวของเซียนการเมืองตัวจริงอย่างพรรคประชาธิปัตย์ ที่ร่วมด้วยช่วยกันกับพรรคร่วมรัฐบาลในการกระชับอำนาจแบบเนียนๆ

อันสืบเนื่องมาจากกรณีที่ “พล.ต. สนั่น ขจรประศาสน์” ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา เดินถือธงปรองดอง ขึ้นศาลให้การเป็นพยานปากเอกในการยื่น ขอประกันตัว 7 แกนแดงกับอีก 1 แนวร่วม ประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) จนมีบทสรุปคือ ปล่อยตัวชั่วคราว ท่ามกลางความยินดีปรีดาของมวลชนเสื้อ แดงที่แห่แหนไปรับถึงหน้าประตูคุกคลองเปรม

ประดา 1 วันในคุก ประชาชนคนทั่วไปก็ไม่อยากไปกินนอนเป็นเวลาอยู่ในนั้น แต่นี่ต้องนอนค้างอ้างแรมอยู่ถึง 9 เดือน การมีอิสรภาพชั่วคราวย่อมเป็นสิ่งที่พึงปรารถนาสำหรับมนุษย์ปุถุชนคนธรรมดา ผู้ที่ยังละจากกิเลสตัณหาไปไม่พ้น

เมื่อได้รับอิสรภาพพ้นคุก นั่นก็เป็นธรรมดาโลกที่ต้องมีการเดินสายไปขอบอก ขอบใจผู้มีอุปการคุณ ส่งผลให้ค่ำคืนวัน แรกที่ไร้พันธนาการ บ้านพักสนามบินน้ำของ “เสธ.หนั่น” จึงเต็มไปด้วยบรรยากาศ อันแสนชื่นมื่นที่รับประทานแกล้มไปกับ “ชาโต เดอ ชาละวัน” ที่คนอย่าง “ธิดา ถาวรเศรษฐ์” ถึงกับจุดพลุว่าเป็น “อรุณรุ่งแห่งประชาธิปไตย”

ความหมาย “อรุณรุ่งแห่งประชาธิปไตย” ในที่นี้ อาจจะสามารถตีความขยาย ประเด็นไปได้ต่างๆ นานา แต่ที่น่าจะสำคัญ ที่สุด นั่นก็คือ การปล่อยผีครั้งนี้ ไม่ต่างจาก การยับยั้งอำนาจพิเศษไม่ให้แหลมออกมา ยามปรากฏการณ์ “ปฏิวัติดอกมะลิบานสะพรั่ง” ในนานาอารยประเทศ

การเตรียมความพร้อมตบเท้าในระดับ 5 ของขุนทหารชั้นยศ “พลตรี” และ “พันเอก” ที่ไม่พึงพอใจกับปัญหาตะเข็บชายแดนไทย-เขมร ต้องถูกเบรกด้วยเหตุ โอละพ่อทางการเมือง แม้แต่พันธมิตรฯ ม็อบเหลืองยังต้องเงียบเสียงลงชั่วครู่ชั่วยาม กับปรากฏการณ์อันสุดแสนจะเนียนที่เกิดขึ้น

ยิ่งหากวิเคราะห์กันตามเสียงบริภาษ ที่ว่ากันว่า การเคลื่อนไหวของม็อบเหลือง มีความพยายามนำไปสู่วันเกิดเหตุ การปล่อยแกนแดงลงสู่ท้องถนนแบบมี “บิ๊กเซอร์ไพรส์” จึงไม่ต่างจากการดึงมวลชน คนเสื้อแดงมาเป็นตัวประกันเพื่อกระชับอำนาจประเทศไม่ให้ทะลักออกจากมือฝ่าย กุมอำนาจประเทศ

เนื่องด้วยหากมองลอดแว่นผ่านกระบวนการปฏิวัติ มันมีโอกาสประสบความสำเร็จน้อยยิ่งนัก หากมือพิเศษและยอดมงกุฎแห่งกองทัพ ที่ถูกมองว่ากำลังสำลัก อำนาจไม่ยอมเล่นด้วย ประจวบเหมาะกับ กระแส “ปฏิวัติดอกมะลิบาน” มันยิ่งยาก และยากยิ่งกว่า ที่นายทหารระดับ “พลตรี” และ “พันเอก” จะฝ่าด่านผ่าดงแดงไปสู่การเปลี่ยนแปลงได้โดยละม่อม

หรือแม้กระทั่ง หากมุ่งมาดปรารถนา และกระเหี้ยนกระหือรืออยากจะทำกันจริงๆ มันก็คงไม่แคล้วบทเรียนครั้ง “เมษาฮาวาย” ที่ส่อแววฉายซ้ำ อีหลั่กอีเหลื่อ กลับไม่ได้ไปไม่ถึง นั่นคืออาการของกองกำลังพิเศษ ที่เดินหลงทางติดสนุ๊กทางการเมืองจนแก้ไม่ตกอยู่เท่าทุกวันนี้

แต่ก็ถือเป็นเรื่องดีที่ประชาธิปไตยแบบ ไทยๆ ไม่ถูกท็อปบูตยึดอำนาจซ้ำซากให้อับอายขายขี้หน้าไปทั่วโลก แต่มันก็น่าเสียใจและใจหายเช่นกัน ที่บ้านนี้เมืองนี้ต้องปล่อยให้วงจรอุบาทว์ในการเมืองอันฟอนเฟะ กัดกร่อนประเทศชาติกันตามอำเภอใจในความหมายแห่ง “วิน วิน”

ยิ่งหากมองภาพทับซ้อนของเหล่านักการเมืองสเปกประสานสิบทิศ ที่คอมโพรไมซ์ได้ทุกสปีชี่ส์ไม่เว้นแม้กระทั่งสิ่งปฏิกูล สายใยบางๆ แห่งผลประโยชน์ที่แอบเชื่อมกันอยู่บนวรรคทองแห่ง “ปรองดอง” มันจึงไม่ต่างจากวาทกรรมอำพราง ที่นักการเมือง กองทัพและอำนาจพิเศษ ยึดโยงมัดรวมด้วยการจับประชาชนเป็น ตัวประกัน

สุดท้ายวาระปล่อยคนสกัดปล่อยของรอบนี้ เปรียบเปรยไปคงไม่ต่างจาก เหลี่ยมเขี้ยวของโคตรเซียนที่เหล่า “อำมาตย์ยืมจมูกไพร่หายใจ” ก็เท่านั้นเอง.. ประชาชนผู้รู้แจ้งจงตื่นเถิดชาวไทย!

ที่มา.สยามธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น