--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพุธที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

'ภูมะเขือ'เสียงปืนรบจะดังอีก-'ฮุน มาเนต'ตัวการ

ทำไมทหารไทยทิ้งฐานภูมะเขือ ปล่อยเขมรยึดไปทั้งๆที่ต้องสร้างกระเช้าส่งทหารมายึด และถ้าถนนจากโกมุยถึงปราสาทเสร็จ ตอนนั้นไทยจะเสียเปรียบยิ่งนัก

ถึงช่วงหน้าแล้งของทุกปี ภูเขาลูกเล็กๆ แห่งนี้จะถูกไฟไหม้เกือบหมด พอเข้าหน้าฝน ดินที่แห้งแล้งได้ความชื้นจากน้ำฝน พืชพรรณต่างๆ ก็โผล่ขึ้นจากพื้นดิน และในจำนวนนี้จะมีต้นมะเขือพันธุ์หนึ่งเกิดขึ้นกระจายเต็มทั้งภูเขามีลักษณะลูกเล็ก ๆ ใหญ่เต็มที่แค่นิ้วหัวแม่มือ บางคนเรียก "มะเขือลาย" ซึ่งเป็นที่มาแห่งชื่อ "ภูมะเขือ"

ในทางยุทธศาสตร์ “เขาพระวิหาร” ชัยภูมิของ"ภูมะเขือ" ทำให้กำลังฝ่ายเขมรได้พอฟัดพอเหวี่ยงกับทหารไทย เนื่องจากเป็นภูสูง เมื่อยึดเป็นที่ตั้งฐานปืนใหญ่ได้ก็รบกับไทยได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ

แต่ที่ผ่านมา กว่าที่กัมพูชาจะขึ้นมาบนภูมะเขือได้ จะต้องขึ้นบันไดสูงชันกว่า 936 ขั้น ต่อมา กัมพูชาได้สร้างกระเช้าขึ้น 2 ขนาด ขนาดเล็กบรรทุกได้เที่ยวละ 5 - 10 คน กระเช้าใหญ่บรรทุกได้เที่ยวละ 15 - 20 คน นอกจากนี้ก็บรรทุกลำเลียงเสบียง และอาวุธยุทโธปกรณ์ขึ้นมาด้วย

จุดที่ตั้งของกระเช้า ทหารไทยเรียกว่า “หัวโด่” ส่วนชาวบ้านจะเรียกพลาญหินตรงนั้นว่า “พะลานถ้ำพระ” ซึ่งเป็นลานหินขนาดกว้างใหญ่พอสมควร เมื่อก่อนทหารพรานของไทยเคยตั้งฐานปฏิบัติการ แต่กลับถอนกำลังออกจากบริเวณนั้น อย่างไม่มีเหตุผล

ปัจจุบันทหารช่างกัมพูชากำลังระเบิดหน้าผาเพื่อปรับพื้นที่ตัดถนนจากหมู่บ้านโกมุย ต.กันต๊วจ อ.จอมกระสาน จ.พระวิหาร ขึ้นมาที่ภูมะเขือ ถนนเส้นนี้จะตัดผ่านวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ มุ่งหน้าไปหาปราสาทพระวิหาร ซึ่งขณะนี้คืบหน้าไปแล้วประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ และเมื่อถนนเสร็จแล้ว จะเป็นทั้งถนนเส้นทางเศรษฐกิจที่จะรองรับแผนบริหารจัดการรอบปราสาทพระวิหารของกัมพูชา ที่กำลังจะได้รับพิจารณาเป็นมรดกโลกในเร็ว ๆนี้ด้วย

ที่สำคัญจะเป็นถนนเส้นยุทธศาสตร์การทหาร ใช้ลำเลียงกำลังพลและอาวุธยุทโธปกรณ์ จากฐานปฏิบัติการที่ใกล้ชายแดนเขาพระวิหาร ซึ่งประกอบด้วย กองพลน้อยสนับสนุนที่ 3 พลโทซะรัย ดึ๊ก เป็น ผบ.พัน กองบัญชาการตั้งอยู่ที่บ้านเปี๊ยะสะแบก ต.กันต๊วด อ.จอมกระสาน จ.พระวิหาร มีกำลังพลประมาณ 3,000 นาย

ถัดไปเป็นกองพลสนับสนุนที่ 7 มีพลตรี วา เซือน เป็น ผบ.พัน กองบัญชาการตั้งอยู่ บ้านกะดล ต.กันต๊วด อ.จอมกระสาน มีกำลังพล 900 นาย และกองพลสนับสนุนที่ 8 มีพลตรี ยึม ปึน เป็นผบ.พัน กองบัญชาการตั้งอยู่ บ้านจารี ต.กันต๊วด มีกำลังพล 1,500 นาย ถัดออกไปอีกจะมี กองพลสนับสนุนที่ 9 มี พล.ต.กล ไว เป็น ผบ.พัน กองบัญชาการตั้งอยู่ ต.ตึ๊กกรอโฮม อ.จอมกระสาน จ.พระวิหาร มีกำลังพลประมาณ 1,000 นาย

"ภูมะเขือ"นอกจากฝ่ายกัมพูชาจะวางกำลังทหารหน่วยหลักประชิดชายแดนไว้แล้ว ยังมีการเสริมกำลังทหารจากหน่วยรบพิเศษ ที่รู้จักกันในนาม "รพศ.911" สวมหมวกเบเรต์ สีเขียว พลโท จ๊าบ เพียะกะเด็ย เป็น ผบ.พัน กำลังพลประมาณ 1,600 นาย ก็ได้รับคำสั่งให้เสริมกำลังเข้ามาสนับสนุนภารกิจชายแดนเขาพระวิหารด้วยเช่นกัน

ที่น่าจับตาต้องเป็น กองพลน้อยรักษาความปลอดภัย 70 (รปภ.70) เดิมมี พลเอกเฮิง บุญเฮง ที่ปรึกษาส่วนตัวสมเด็จฮุน เซน เป็น ผบ.พล ปัจจุบันถูกแทนที่ด้วย พลโทฮุน มาเนต ลูกชายคนโตของสมเด็จฮุน เซน อายุเพียง 33 ปีขึ้นมากุมกำลัง รปภ.70 ที่มีอยู่กำลังพลประมาณา 6,000 นาย เรียกว่าเป็นฐานกำลังองครักษ์ที่เข้มแข็งมาก

ข่าววงในกองทัพกัมพูชาเปิดเผยว่า นี่เป็นชนวนให้นายทหารรุ่นเก่าแก่ ที่เคยรบเคียงบ่าเคียงไหล่สมเด็จฮุน เซน ไม่พอใจ พลโทฮุน มาเนต อย่างมากที่ถูกข้ามหัว ดังนั้น จึงเป็นสาเหตุให้กองทัพกัมพูชาระส่ำระสายพอสมควร

นักรบสังกัด รปภ.70 ได้รับฉายา “นักรบกำเปรี๊ยะ” ขึ้นตรงกับสมเด็จฮุน เซน เกือบทั้งหมดเป็นเด็กกำพร้าที่พ่อแม่ตายจากภัยสงคราม สมเด็จฮุน เซน ได้เก็บเด็กเหล่านั้นมาชุบเลี้ยง ส่งเสียให้เรียนวิชาทหารและการรบทุกรูปแบบเพื่อทำหน้าที่อารักขาสมเด็จฮุน เซนกับครอบครัวโดยเฉพาะ ดังนั้น ทหารพวกนี้จึงพร้อมจะถวายชีวิตทุกเมื่อ

แหล่งข่าวด้านความมั่นคงตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ระบุด้วยว่า ภายหลังการเจรจาหยุดยิงเมื่อวันที่ 5 ก.พ.ที่ผ่านมา ระหว่างพลโทธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาคที่ 2 กับ พลเอกเจีย มอน แม่ทัพภูมิภาคที่ 4 พลโทซะรัย ดึ๋ก ผบ.พล.สสน.ที่ 3 ของกัมพูชา ที่ช่องสะงำ ต.ไพรพัฒนา อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ คล้อยหลังการเจรจาหยุดยิงไม่กี่ชั่วโมง เสียงปืนก็ดังขึ้นอีกที่บริเวณภูมะเขือ จากนั้นก็เปิดฉากปะทะด้วยปืนใหญ่อย่างหนักหน่วงที่สุดในประวัติศาสตร์

คำถาม ทำไมกัมพูชาถึงล้มโต๊ะเจรจา? สรุปก็คือเป็นฝีมือของ “นักรบกำเปรี๊ยะ” บัญชาการโดยลูกชายหัวแก้วหัวแหวนทายาททางทหารและทางการเมือง นี่เอง แต่สำหรับนายทหารรุ่นเก่าแก่ รู้ว่าไม่มีประโยชน์จะรบกับทหารไทย เพราะมีแต่จะสูญเสีย

แต่ พลโทฮุน มาเนต ไม่คิดอย่างนั้น เขากลับเติมเชื้อไปสงครามด้วยการสั่ง“นักรบกำเปรี๊ยะ” ยิงยั่วยุฝ่ายไทยอย่างต่อเนื่อง เพื่อต้องการให้ไทยเปิดฉากยิงโต้ตอบกลับไปให้เกิด “สงครามเต็มรูปแบบ” เหตุผลส่วนตัวคือต้องการโชว์พาว ศักยภาพของตัวเองให้สมเด็จบิดาเชื่อมั่นความสามารถว่า จะควบคุมกองทัพสืบทอดอำนาจจากเขาได้ เหตุผลรองมาคือเมื่อเกิดสงครามขึ้นแล้ว จะเรียกร้องความเห็นใจจากประเทศพี่ใหญ่ ว่าถูกไทยรังแก และเข้ามาสนับสนุนการสู้รบ

ขณะเดียวกัน สมเด็จฮุน เซน ก็จะได้คะแนนเสียงในการเลือกตั้งสมัยหน้าที่ใกล้จะถึงอย่างท่วมท้น ในฐานะทำสงครามปกป้องการรุกรานจากประเทศไทยที่ใหญ่กว่า

วันนี้ ข้อพิพาทระหว่างไทย - กัมพูชา ไม่ใช่เรื่องทวิภาคีแล้ว ได้ขยับไปถึงเวทีโลกแล้ว ภายใต้ข้อเรียกร้องของสหประชาชาติให้ทั้งสองประเทศหยุดยิง แล้วหันหน้ามาเจรจากันด้วยสันติวิธี แต่ฝ่ายกัมพูชายังไม่บรรลุจุดประสงค์ จึงคงยั่วยุไม่หยุด จากนี้ต้องขึ้นกับฝ่ายไทยว่า จะใช้ความสงบ สยบความเคลื่อนไหว ไปได้นานสักแค่ไหน

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////////////////////////

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น