--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันจันทร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

“2012” ประเทศไทย

ชาญกิจ คันฉ่อง
ภาควิชาฟิสิกส์และวัสดุศาสตร์
คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

มีปัญหาคณิตศาสตร์ที่น่าสนใจในปัจจุบันกลุ่มหนึ่ง คือ ระบบซับซ้อน (complex system) ผมจะมาแนะนำในภาษาของตนเองที่ไม่ใช่ผู้ชำนาญการ เพื่อนำเรื่องนี้เข้าสู่ปัญหาสังคมการเมืองไทยในปัจจุบัน โดยเริ่มจากตัวอย่างแรกของระบบประเภทนี้ คือ ระบบเคออส (chaotic system) ที่เป็นระบบเคลื่อนที่ชนิดหนึ่ง ซึ่งบางครั้งมีกลไกการเคลื่อนที่แบบง่ายๆ แต่กลับก่อให้เกิดผลการเคลื่อนที่อย่างสลับซับซ้อน กล่าวคือ ถึงแม้ว่าจะพยายามติดตั้ง (set) ให้ระบบประเภทเดียวกันเริ่มต้นเคลื่อนที่ให้คล้ายกันมากเพียงใด แต่ความแตกต่างเล็กน้อยที่จุดเริ่มต้นจะก่อให้เกิดผลพวงที่แตกต่างกันอย่างมากตามมา เช่น การเคลื่อนที่ของกระแสน้ำ สามารถเกิดการปั่นป่วน (turbulence) ได้หลายรูปแบบ, ระบบภูมิอากาศ ที่การก่อกวนระบบเล็กน้อยก็สามารถก่อให้เกิดผลขนาดใหญ่ เช่น พายุ เป็นต้น ที่เรียกกันว่า ผลของปีกผีเสื้อ (butterfly effect)

อีกตัวอย่างหนึ่ง คือ แฟรกทอล (fractal) ซึ่งเป็นระบบรูปร่างเรขาคณิตชนิดหนึ่ง ที่อาจมีกฎเกณฑ์ในการประกอบรูปร่างที่ไม่ซับซ้อน แต่กฎเกณฑ์เหล่านั้นจะก่อให้เกิดแบบแผนในลักษณะที่ว่า เมื่อมองจากภาพใหญ่ก็เห็นแบบแผนชนิดหนึ่ง และเมื่อมองจากส่วนย่อย ก็จะเห็นแบบแผนลักษณะเดียวกันหรือคล้ายกัน ซึ่งไม่ว่าจะใช้แว่นขยายส่องไปถึงส่วนย่อยระดับใด ก็จะยังคงเห็นแบบแผนลักษณะนั้นอยู่ เช่น กะหล่ำดอก (cauliflower หรือ broccoli) ไม่ว่ามองภาพดอกกะหล่ำทั้งหัว หรือหักกิ่งเล็กๆ ของดอกกะหล่ำออกมา ก็จะยังคงเห็นรูปร่างในแบบแผนเดียวกัน

และถ้าระบบแฟรกทอล มีการเคลื่อนไหวแบบเคออส ล่ะ ก็จะสามารถก่อกำเนิดแบบแผนใหม่ๆ หรือความสัมพันธ์ใหม่ๆ ขึ้นมาได้มาก ที่เรียกว่า การอุบัติขึ้น (emergence) ถึงแม้ว่าในระดับจุลภาคมีกลไกเกาะเกี่ยวหรือความสัมพันธ์กันแบบง่ายๆ แต่ก็สามารถก่อกำเนิดแบบแผนใหม่ๆ ในระดับมหภาค ที่สามารถส่งผลต่อทั้งระบบอย่างมหาศาล เปรียบได้กับ มดแดงตัวเล็กๆ แต่ละตัว ที่เรียบง่าย ทำอะไรได้น้อย แต่เมื่อรวมกันเป็นล้านตัวก็สามารถเกาะเกี่ยวกันสร้างสะพาน สร้างรัง ขนย้ายเหยื่อขนาดใหญ่ หรือบ่อนเซาะตึกทั้งตึกได้ (ขอขอบคุณผู้ที่แลกเปลี่ยนความรู้เรื่องนี้กับผม)

ผมกำลังกล่าวถึง ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยเริ่มยกตัวอย่างจาก เวบบอร์ด ซึ่งเป็น “โลกเสมือนจริง” ที่ให้แต่ละคนเข้ามาแชร์แลกเปลี่ยนกัน -> เมื่อเวบบอร์ดบางแห่งมีคนนิยม ก็มีคนสร้าง เวบท่า ขึ้นมารวบรวมเวบบอร์ดยอดฮิตหลายๆ อัน -> เมื่อระบบเครือข่ายเครื่องคอมพิวเตอร์เติบโตขึ้น ก็มีพื้นที่ให้ทุกๆ คนสร้างเวบบอร์ดของตนเอง -> เมื่อระบบ search engine เติบโตขึ้น ก็มีพื้นที่ให้เกิดเวบที่สามารถนำ “เวบบอร์ด” ของทุกๆ คนมาเชื่อมต่อกัน นั่นก็คือ เครือข่ายสังคมออนไลน์ (social network) เช่น Facebook นั่นเอง -> . . .

กลไกพลวัตของระบบนี้ก็คือ เมื่อที่แห่งใดมีคนนิยม ทุกคนก็พร้อมไปผูกติด (link) เกิดปม (node) ต่างๆ ขึ้น บางปมเล็ก บางปมใหญ่ และปมใหญ่ๆ ก็ค่อยๆ เติบโตขึ้น แล้วสร้างปมเล็กๆ ต่อๆ มาอีก เมื่อมีเหตุให้ปมใหญ่ยุบตัวลง ทุกคนก็พร้อมที่จะไป link กับปมใหญ่อื่นๆ เหมือนกับโรงเรียนฮอกวอร์ทส์ในนิยายและภาพยนตร์เรื่อง แฮร์รี พอตเตอร์ ที่บันไดและเส้นทางต่างๆ ในโรงเรียนเคลื่อนไหวได้ เปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์ตลอดเวลา เครือข่ายสังคมออนไลน์เปรียบได้กับลวดลายของใบไม้ ในระดับเล็ก ปมต่างๆ ก็มีเครือข่ายเชื่อมโยงกัน และในระดับใหญ่ ปมใหญ่ๆ ก็มีเครือข่ายเชื่อมโยงกัน ดังนั้นถ้าเราเริ่มต้นจากปมเล็กปมหนึ่ง ต้องการเชื่อมต่อไปยังปมที่ยังไม่เคยเข้าไป ใช้เพียงแค่ “3 ต่อ” เท่านั้น กล่าวคือ ผ่านเพียงแค่ไม่กี่ links ก็สามารถเข้าถึงปมที่แปลกที่สุด radical ที่สุดได้ และระบบซับซ้อนนี้ก็พร้อมแล้วที่จะอุบัติสิ่งต่างๆ ขึ้นและส่งผลต่อระบบทั้งหมดอย่างมหาศาล!!

หลายสิบปีที่ผ่านมา “รัฐ” ควบคุมคนโดยใช้อุดมการณ์ แปรเป็นรูปธรรมผ่าน ระบบวินัย เช่น ประเพณี ธรรมเนียม กฎหมาย มีเจ้าหน้าที่ ตำรวจ กองทัพ ใช้อำนาจหน้าที่พิทักษ์รักษา รวมถึงการโฆษณาชวนเชื่อทางอุดมการณ์ ผ่านสื่อ สิ่งพิมพ์ วิทยุโทรทัศน์ และการปลูกฝังการศึกษา ให้ทุกคนในสังคมก็ช่วยกันพิทักษ์ปกป้องควบคุมกันเอง แต่บัดนี้การอุบัติตัวอย่างรวดเร็วของเครือข่ายสังคมออนไลน์ ที่การปิดกั้นเป็นไปได้ยากและไม่คุ้มค่าทางเศรษฐกิจ สิ่งเก่าๆ เริ่ม leak ทรุดตัวลง แม้แต่หลักการต่างๆ พื้นฐานต่างๆ และสถาบันต่างๆ ที่เคยมั่นคงยืนยงก็อ่อนยวบ ยุบตัวลง

นับตั้งแต่ขบวนการเสื้อแดงฟื้นตัวหลังจากที่กลไกจัดตั้งต่างๆ ถูกทำลายลงในช่วง 19 พ.ค. 2553 ก็เกิดภาพขบวนการที่ชัดเจนขึ้นว่าเป็น “ขบวนการไร้หัว” เปรียบเสมือนกับ “เครือข่ายใยแมงมุม” (ขอขอบคุณผู้เสนอคำและ concept เหล่านี้) ที่มีปมชนิดต่างๆ เป็นตัวปั๊มพลังมวลชนกระจายอยู่ทั่วโครงตาข่าย ผู้ที่เข้ามา เช่น ใส่เสื้อมายืน ก็อาจเป็นเพราะรับไม่ได้กับสองมาตรฐาน แต่ภายในไม่กี่ต่อ (links) ก็สามารถเข้าถึงส่วนที่ radical ที่สุดได้ หลายปีที่แล้วมีสถานีวิทยุชุมชน แต่ถึงทุกวันนี้ ใครๆ ก็สามารถตั้งสถานีวิทยุของตนเองได้ เช่น สถานีวิทยุอินเตอร์เนต แล้วการสนับสนุนมาจากไหน ก็สามารถมาจากทั้งเครือตาข่าย แกนนำนปช. มีความหมายน้อยลง กล่าวคือ มีบทบาทแค่คอยจัด event ขึ้น ให้ทุกคนมาแสดงพลังของตนเอง ส่วนพรรคเพื่อไทย แม้ว่าในปัจจุบัน “ไร้หัว” ที่ได้รับการยอมรับโดยทั่วกัน แต่ก็มีฐานมวลชนที่แน่นแฟ้นใหญ่โตนัก ถ้ามองในอีกด้านหนึ่งของโลก การเมืองในประเทศตะวันออกกลางที่ผูกขาดอำนาจโดยกลุ่มชนชั้นนำบางกลุ่มมานานนับ 20-30 ปี ก็ถูกเครือข่ายสังคมออนไลน์เป็นปัจจัยสำคัญหนึ่งในการเคลื่อนไหวทางสังคมที่ก่อให้เกิดการสั่นกระเพื่อมทั่วทั้งตะวันออกกลาง (link ที่น่าสนใจ: AlJazeeraEnglish, Empire - Social networks, social revolution: http://www.youtube.com/watch?v=441HJTSUpXw)

อนึ่ง ผมไม่ได้คิดว่า การเปลี่ยนสถานะการเคลื่อนไหวของขบวนการเสื้อแดงเกิดจากเครือข่ายสังคมออนไลน์มีบทบาทสำคัญเพียงประการเดียว เพราะแม้แต่ชนบทรากฐานของเสื้อแดงก็เปลี่ยนแปลงอย่างมากเช่นกัน เช่น จากเกษตรกรรายย่อยเปลี่ยนไปเป็นอุตสาหกรรมของการทำการเกษตร แรงงานสามารถเคลื่อนย้ายทั่วประเทศและทั่วโลก การเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติ และการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ เป็นต้น ซึ่งไม่สามารถมีกลุ่มใดหาข้อเสนอในการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำต่างๆ ได้โดยง่าย ส่วนที่เปลี่ยนช้าที่สุดกลับเป็นกลุ่มชนชั้นกลาง ปัญญาชน ที่มีชีวิตค่อนข้างมั่นคงและได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสังคมน้อย

การเปลี่ยนแปลงที่เหมือนแผ่นดินไหวทรุดยวบลงในภาพยนตร์เรื่อง “2012” และในปี 2012 ก็จะยิ่งเปลี่ยนแปรไปมากกว่านี้ ในมุมมองผม ระบบพื้นหลังต่างๆ ไม่ได้พังทลายสูญหายไป แต่เป็นการเปลี่ยนแปร (transformation) ไปต่างหาก เช่น จาก A เป็น B ประชาชนก็ยังเป็นกลุ่มเดิมหรือคนเดิม แต่เปลี่ยนความสัมพันธ์แบบใหม่ โดยประวัติศาสตร์การเคลื่อนไหวจะสร้างรากฐานใหม่ๆ ขึ้นมาเอง บางคนเคยมองเห็นแต่แบบ A ไม่เคยพิจารณาแบบ B จึงรู้สึกว่าพังทลายไป หากสถาบันต่างๆ ต้องการอยู่รอดและยังคงนำบทบาท ต้องเปลี่ยนแปลงอย่างมากหรือสิ้นเชิงเพื่อปรับให้เข้ากับระบบใหม่แบบ B แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศน์ตามปกติจะเป็น การเปลี่ยนแปลงแบบแทนที่ ก็ตาม เช่น เมื่อถางป่าทิ้ง ก็มีพืชบุกเบิกอย่างหญ้าคาขึ้น แต่ต่อมาก็มีไม้พุ่ม เช่น ต้นตะขบขึ้นแทนที่หญ้าคา แล้วป่าใหญ่ก็ค่อยเข้ามาแทรกและแทนที่ป่าตะขบ พืชรุ่นเดิมไม่สามารถเติบโตขึ้นเป็นพืชรุ่นใหม่ แต่ถ้าพืชรุ่นเดิมต้องการนำบทบาท มีแต่ต้องวิวัฒนาการแบบพืชรุ่นใหม่

แล้ว “การปฏิวัติของประชาชน” ล่ะ? ซึ่งเป็น concept ที่สามารถก่อให้เกิดความรุนแรง เช่น ระดับขั้นต้น คือ การปราบปราม มาถึงทุกวันนี้แล้ว ก็ทำได้แต่หนุนเข้าไปเพื่อให้พลังอย่างใหม่ขยายตัวจนสุดทางหรือถึงขีดจำกัด ของมัน โดยช่วยกันส่งผ่านข้อมูลและวิจารณ์ๆๆ บทบาทของทุกฝ่าย เพื่อให้กระบวนการเปลี่ยนแปลงเป็นไปอย่างสันติวิธีมากที่สุด เพราะถ้ายังห่างไกลจากสถานะคู่คี่ก้ำกึ่ง หรืออยู่ในระดับที่ยังปราบปรามได้ การปราบปรามก็สามารถมีต่อไป ก็จะยิ่งเกิดความรุนแรง แต่ถ้าเลยจากสถานะคู่คี่ก้ำกึ่งจนมิอาจปราบปรามกันได้แล้ว ทุกฝ่ายก็จะปรับตัวกับยุคสมัยใหม่

และในระดับขั้นต่อไป เช่นว่า “ภายหลังการปฏิวัติประชาชน” (แค่สมมุตินะครับ) หลายท่านกังวลถึงการ “การพิทักษ์การปฏิวัติ” ในทำนองว่าอาจเกิดการทำลาย “ฝ่ายปฏิปักษ์ปฏิวัติ” เพื่อพิทักษ์ concept การปฏิวัติให้คงอยู่ ซึ่งเป็นด้านกลับของ “การล่าแม่มด” ผมคิดว่ายุคสมัยนี้ ไม่มีใครสามารถสร้างทฤษฎีพิมพ์เขียวหรืออุดมการณ์หรือความศรัทธาเช่นนั้นได้ ต่อให้มีใครทำได้ สิ่งต่างๆ เช่น “Facebook” จะทำให้มันล้าสมัยไปภายใน 2 ปี ดังนั้นเมื่อถึงตอนนั้น “คนเสื้อแดง” ก็กลับไปทำมาหากินครับ (ขอบคุณสำหรับผู้ที่เสนอทัศนะทำนองนี้แลกเปลี่ยนกับผม

ที่มา.ประชาไท
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////

การปกปิดอาชญากรรมที่ถูกทำนายล่วงหน้า



ในรายงานของหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์วันนี้ที่ระบุว่ากรมสอบสวนคดีพิเศษเหมือนจะถูกกองทัพไทยกดดันให้เปลี่ยนข้อสรุปว่าใครเป็นคนสังหารนักข่าวช่างภาพรอยเตอร์ นายฮีโรยูกิ มูราโมโตนั้นเป็นเรื่องที่น่าตกใจ

แต่สำหรับเราแล้ว เรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งที่น่าประหลาดใจแต่อย่างใด
ในคำร้องศาลอาญาระหว่างประเทศของเราซึ่งเป็นเอกสารที่ดูเหมือนว่าหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์หลีกเลี่ยงที่จะอ่าน–คำให้การของพยานนิรนามปากที่ 20 (คำให้การดังกล่าวฉบับแก้ไขดังกล่าวแสดงในข้างล่าง) ทำนายถึงการปกปิดนี้ที่เกิดขึ้นในขณะนี้

มันเป็นนโยบายทางการของรัฐบาลไทยที่จะปกปิดหรือทำลายหลักฐานการกระทำผิดทางอาญาของรัฐบาลหรือผู้นำทางการทหารเกี่ยวกับการสังหารทั้งหมด หลังจากความเหตุการณ์รุนแรงในกรุงเทพมหานครเมื่อเดือนเมษายน ปี 2553 ซึ่งมีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 24 ราย ศอฉ. ได้มอบหมายให้กรมสอบสวนคดีพิเศษสอบสวนสาเหตุการเสียชีวิตของบุคคลเหล่านั้น ในวันที่ 16 เมษายน นายธาริตมีอำนาจสอบสวนการสังหารอย่างเป็นทางการ

ในขณะนี้ การสอบสวนถึงการเสียชีวิตของคนเสื้อแดงทั้งแปดสิบสี่รายในระหว่างการชุมนุมจำนวนกว่าครึ่งหนึ่งอยู่ในระหว่างการดำเนินการและได้มีการสรุปบ้างแล้ว อย่างน้อยเบื้องต้นพวกเขาถูกสังหารโดยทหารกลุ่มหนึ่งจากกองทัพไทยภายใต้คำสั่งของของรัฐบาลไทยและศอฉ. พนักงานสอบสวนของดีเอสไอบางรายที่สรุปแบบนี้ถูกผู้บัญชาการสั่งให้เปลี่ยนข้อสรุป

อธิบดีดีเอสไอ นายธาริตมีส่วนร่วมในการพยายามทำให้ผลการสอบสวนของดีเอสไอล้าช้า และนี่คือหลักฐานความล้มเหลวของเขาในการสั่งให้ทำการสอบสวนโดยรวดเร็วและยังเป็นความล้มเหลวของเขาในการเริ่มต้นสอบสวนเกี่ยวกับประเด็นของเจตนาผู้กระทำ ความล้มเหลวในการเร่งกระทำการสอบสวนของเขานั้นเนื่องจากมีแรงจูงใจอย่างน้อยที่สุดคือในเรื่องข้อเท็จที่เขาเป็นสมากชิกศอฉ. ซึ่งในสถานการณ์ปกติเป็นประเด็นสำคัญในการสอบสวน

นอกจากนี้ ยังประกอบกับความพยายามของรัฐบาลในการปกปิดหลักฐานอีกด้วย อธิบดีดีเอสไอ นายธาริตได้ออกคำสั่งห้ามพนักงานสอบสวนดีเอสไอเรียกทหารจากกองทัพมาสอบสวน ซึ่งต่างจากกระบวนการสอบสวนทั่วไปของดีเอสไออย่างสิ้นเชิง ในส่วนที่ดีเอสไอจะสอบสวนใครก็ตามที่เจ้าหน้าที่สรุปว่ามีส่วนทำให้เกิดการเสียชีวิตนั้น

ในเดือนพฤศจิกายน 2553 รายงานอย่างเป็นทางการของดีเอสไอเกี่ยวกับการสังหารในเดือนพฤษภาคม 2553 ได้รั่วไปถึงมือสื่อมวลชน แกนนำคนเสื้อแดงนายจตุพร พรหมพันธุ์ ได้กล่าวต่อสาธารณชนเกี่ยวกับประเด็นข้อสรุปว่าทหารบางกลุ่มมีส่วนร่วมในการสังหารประชาชน ไม่นานหลังจากเหตุการณ์นี้ มีรายงานในสื่อไทยว่าผู้บัญชาการทหารบก พลเอกประยุทธ์ จันโอชาได้ออกมาเรียกร้องให้ถอดถอน

อธิบดีดีเอสไอนายธาริต รองนายกรัฐมนตีสุเทพ เทือกสุบรรณจึงเรียกอธิบดีดีเอสไอธาริตเข้าพบ
ทันทีหลังจากการประชุม นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ได้กล่าวสนับสนุนอธิบดีดีเอสไอนายธาริตต่อสื่อมวลชน นายธาริตไม่ถูกถอดถอนเพราะเขาจะได้มีอำนาจในการตัดสินชี้ขาดไม่ให้ดำเนินคดีต่อผู้นำทางการทหาร หรือสมาชิกศอฉ. ในส่วนของนายธาริต เขาได้กล่าวต่อสื่อว่าคำพูดของนายจตุพรเกี่ยวกับเอกสารรายงานดีเอสไอที่รั่วออกมานั้นไม่ตรงกับข้อสรุปของพนักงานสอบสวนดีเอสไอ ซึ่งคำพูดของนายธาริตไม่ใช่เรื่องจริง

ทันทีหลังจากประชุมกับรองนายกรัฐมนตรีสุเทพ อธิบดีดีเอสไอ นายธาริตออกคำสั่งภายในดีเอสไอให้เขามีอำนาจในการตัดสินว่าการสังหารมีเจตนาทางอาญาหรือไม่เพียงคนเดียว และหากไม่มีการสรุปเรื่องเกี่ยวกับเจตนาทางอาญาแล้ว จะทำให้ผู้นำทางการทหารหรือรัฐบาลไทยไม่ต้องรับผิดทางอาญา
เป็นเรื่องที่ชัดเจนอย่างมากที่อธิบดีดีเอสไอให้ความเชื่อมั่นนายกรัฐมนตีรอภิสิทธิ์ผ่านทางรองนายกรัฐมนตรีสุเทพว่า ไม่ว่าพนักงานสอบสวนของดีเอสไอจะสรุปผลของการเสียชีวิตว่าอย่างไรก็ตาม แต่เขาจะสรุปให้ทหารไม่มีเจตนาทางอาญาในเหตุการณ์การเสียชีวิตของพลเรือนและทหารในเดือนเมษายนและพฤษภาคม ปี 2553 เพื่อแลกเปลี่ยนที่รัฐบาลอนุญาติให้นายธาริตอยู่ในตำแหน่ง

ก่อนที่ความพยายามของเราจะถูกเพิกเฉยอีกครั้ง เราขอให้หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ใช้เวลาอ่านคำร้องของเรา เพื่อจะเรียนรู้บางอย่างจากคำร้องดังกล่าว

ที่มา.ประเทศไทย Robert Amsterdam
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ปล่อยคนสกัดปล่อยของ อำมาตย์ ยืมจมูกไพร่หายใจ!

ได้กลิ่นตุๆ เสียงแปร่งๆ ไอปฏิวัติรัฐประหารโชย มาเตะจมูก ขีดเส้นให้จับตาภายใน 7 วัน อาจมีอาการสุ่มเสี่ยง เกินเหตุ ถ้าหาก “รัฐบาลเทพประทาน” ของ “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ไม่เทกแอ็กชั่น อะไรออกมาสักอย่าง

และแล้วในท้ายที่สุดเงื่อนไขการ เมืองประเทศไทยก็เริ่มเปลี่ยน แต่เปลี่ยนไปโดยการเบี่ยงประเด็นเลี่ยงบาลีในทางพฤตินัย อันถือเป็นเหลี่ยมเขี้ยวของเซียนการเมืองตัวจริงอย่างพรรคประชาธิปัตย์ ที่ร่วมด้วยช่วยกันกับพรรคร่วมรัฐบาลในการกระชับอำนาจแบบเนียนๆ

อันสืบเนื่องมาจากกรณีที่ “พล.ต. สนั่น ขจรประศาสน์” ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา เดินถือธงปรองดอง ขึ้นศาลให้การเป็นพยานปากเอกในการยื่น ขอประกันตัว 7 แกนแดงกับอีก 1 แนวร่วม ประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) จนมีบทสรุปคือ ปล่อยตัวชั่วคราว ท่ามกลางความยินดีปรีดาของมวลชนเสื้อ แดงที่แห่แหนไปรับถึงหน้าประตูคุกคลองเปรม

ประดา 1 วันในคุก ประชาชนคนทั่วไปก็ไม่อยากไปกินนอนเป็นเวลาอยู่ในนั้น แต่นี่ต้องนอนค้างอ้างแรมอยู่ถึง 9 เดือน การมีอิสรภาพชั่วคราวย่อมเป็นสิ่งที่พึงปรารถนาสำหรับมนุษย์ปุถุชนคนธรรมดา ผู้ที่ยังละจากกิเลสตัณหาไปไม่พ้น

เมื่อได้รับอิสรภาพพ้นคุก นั่นก็เป็นธรรมดาโลกที่ต้องมีการเดินสายไปขอบอก ขอบใจผู้มีอุปการคุณ ส่งผลให้ค่ำคืนวัน แรกที่ไร้พันธนาการ บ้านพักสนามบินน้ำของ “เสธ.หนั่น” จึงเต็มไปด้วยบรรยากาศ อันแสนชื่นมื่นที่รับประทานแกล้มไปกับ “ชาโต เดอ ชาละวัน” ที่คนอย่าง “ธิดา ถาวรเศรษฐ์” ถึงกับจุดพลุว่าเป็น “อรุณรุ่งแห่งประชาธิปไตย”

ความหมาย “อรุณรุ่งแห่งประชาธิปไตย” ในที่นี้ อาจจะสามารถตีความขยาย ประเด็นไปได้ต่างๆ นานา แต่ที่น่าจะสำคัญ ที่สุด นั่นก็คือ การปล่อยผีครั้งนี้ ไม่ต่างจาก การยับยั้งอำนาจพิเศษไม่ให้แหลมออกมา ยามปรากฏการณ์ “ปฏิวัติดอกมะลิบานสะพรั่ง” ในนานาอารยประเทศ

การเตรียมความพร้อมตบเท้าในระดับ 5 ของขุนทหารชั้นยศ “พลตรี” และ “พันเอก” ที่ไม่พึงพอใจกับปัญหาตะเข็บชายแดนไทย-เขมร ต้องถูกเบรกด้วยเหตุ โอละพ่อทางการเมือง แม้แต่พันธมิตรฯ ม็อบเหลืองยังต้องเงียบเสียงลงชั่วครู่ชั่วยาม กับปรากฏการณ์อันสุดแสนจะเนียนที่เกิดขึ้น

ยิ่งหากวิเคราะห์กันตามเสียงบริภาษ ที่ว่ากันว่า การเคลื่อนไหวของม็อบเหลือง มีความพยายามนำไปสู่วันเกิดเหตุ การปล่อยแกนแดงลงสู่ท้องถนนแบบมี “บิ๊กเซอร์ไพรส์” จึงไม่ต่างจากการดึงมวลชน คนเสื้อแดงมาเป็นตัวประกันเพื่อกระชับอำนาจประเทศไม่ให้ทะลักออกจากมือฝ่าย กุมอำนาจประเทศ

เนื่องด้วยหากมองลอดแว่นผ่านกระบวนการปฏิวัติ มันมีโอกาสประสบความสำเร็จน้อยยิ่งนัก หากมือพิเศษและยอดมงกุฎแห่งกองทัพ ที่ถูกมองว่ากำลังสำลัก อำนาจไม่ยอมเล่นด้วย ประจวบเหมาะกับ กระแส “ปฏิวัติดอกมะลิบาน” มันยิ่งยาก และยากยิ่งกว่า ที่นายทหารระดับ “พลตรี” และ “พันเอก” จะฝ่าด่านผ่าดงแดงไปสู่การเปลี่ยนแปลงได้โดยละม่อม

หรือแม้กระทั่ง หากมุ่งมาดปรารถนา และกระเหี้ยนกระหือรืออยากจะทำกันจริงๆ มันก็คงไม่แคล้วบทเรียนครั้ง “เมษาฮาวาย” ที่ส่อแววฉายซ้ำ อีหลั่กอีเหลื่อ กลับไม่ได้ไปไม่ถึง นั่นคืออาการของกองกำลังพิเศษ ที่เดินหลงทางติดสนุ๊กทางการเมืองจนแก้ไม่ตกอยู่เท่าทุกวันนี้

แต่ก็ถือเป็นเรื่องดีที่ประชาธิปไตยแบบ ไทยๆ ไม่ถูกท็อปบูตยึดอำนาจซ้ำซากให้อับอายขายขี้หน้าไปทั่วโลก แต่มันก็น่าเสียใจและใจหายเช่นกัน ที่บ้านนี้เมืองนี้ต้องปล่อยให้วงจรอุบาทว์ในการเมืองอันฟอนเฟะ กัดกร่อนประเทศชาติกันตามอำเภอใจในความหมายแห่ง “วิน วิน”

ยิ่งหากมองภาพทับซ้อนของเหล่านักการเมืองสเปกประสานสิบทิศ ที่คอมโพรไมซ์ได้ทุกสปีชี่ส์ไม่เว้นแม้กระทั่งสิ่งปฏิกูล สายใยบางๆ แห่งผลประโยชน์ที่แอบเชื่อมกันอยู่บนวรรคทองแห่ง “ปรองดอง” มันจึงไม่ต่างจากวาทกรรมอำพราง ที่นักการเมือง กองทัพและอำนาจพิเศษ ยึดโยงมัดรวมด้วยการจับประชาชนเป็น ตัวประกัน

สุดท้ายวาระปล่อยคนสกัดปล่อยของรอบนี้ เปรียบเปรยไปคงไม่ต่างจาก เหลี่ยมเขี้ยวของโคตรเซียนที่เหล่า “อำมาตย์ยืมจมูกไพร่หายใจ” ก็เท่านั้นเอง.. ประชาชนผู้รู้แจ้งจงตื่นเถิดชาวไทย!

ที่มา.สยามธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ปรากฏการณ์ “โดมิโนตะวันออกกลาง”

ที่บรรดาประชาชนในแต่ละประเทศ กำลังนิยม “ชุมนุมประท้วง” ไล่เรียงตั้งแต่ “ตูนิเซีย-อียิปต์-อิหร่าน-บาห์เรน-ลิเบีย-เยเมน-คูเวต-โอมาน-อัลจีเรีย-โมร็อกโก-อิรัก-จอร์แดน-ซาอุดิอาระเบีย-ซีเรีย”

นี่ยังไม่นับรวมถึงการขยายวงไปยัง พื้นที่อื่น อาทิ “อัลบาเนีย-เซเนกัล-ไอวอรีโคสต์-เฮติ” แต่ “ตัวอย่าง” ที่ประสบความสำเร็จและเป็นที่ประจักษ์ก็ คือ “ตูนิเซีย” และ “อียิปต์” ที่มีการขับไล่ผู้นำของประเทศจนเป็นผลสำเร็จ ซึ่งเป็นการแสดงส่งสัญญาณไปถึง “ผู้นำเผด็จการทั้งหลาย” ว่า...หายนะกำลังมา เยือน หากไม่รู้จักปรับตัวเอง

จะเห็นว่า...มีความพยายาม “วิเคราะห์” และ “ประเมิน” กันว่า...“โดมิโนตะวันออกกลาง” อาจแผ่ขยายลามมายัง “ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” โดยเฉพาะใน กลุ่ม CLMV คือ กัมพูชา-ลาว-พม่า-เวียดนาม...ที่ประชาชนในประเทศเหล่านี้ถูก “กดขี่” จาก “ผู้นำของตัวเอง”

และแน่นอน...“ไทยแลนด์” ก็หนีไม่พ้นในการถูกวิพากษ์วิจารณ์ในลักษณะนี้เช่นกัน แม้ว่า “ปัจจัยทางการเมือง” จะไม่เหมือนกับประเทศอื่นๆ แต่อย่างน้อย “ทฤษฎีโดมิโน” ที่เกิดขึ้นในเวลานี้ ก็เป็น “ความหวังลึกๆ” สำหรับ “คนบางกลุ่ม” ที่รอคอยวันเปลี่ยนแปลง...รอคอยวันนั้นที่จะมาถึง!!!

คงไม่ต้องสาธยายว่าคือ “คนกลุ่มไหน” ที่ฝักใฝ่และตั้งหน้าตั้งตา “รอคอยการ เปลี่ยนแปลง” เพราะคนเหล่านี้มี “ความฝังใจ” มาตั้งแต่ยุคที่ตัวเองยังหนุ่ม-ยังสาว... และต้องทนทุกข์ทรมานในป่า แม้ในเวลาต่อมาจะได้รับการปลดปล่อย...แต่ “ความแค้นฝังลึก” ในเรื่องการถูกเอารัดเอาเปรียบ... ก็ยังมีมาจนถึงทุกวันนี้

จะเห็นว่า ในรอบหลายปีที่ผ่านมา มีความพยายามจะให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ทั้งเผาบ้านเผาเมือง เพราะมีความเชื่อว่า “เมื่อไหร่ก็ตามที่การชุมนุมมีคนตาย...ผู้นำ จะอยู่ไม่ได้” แต่ก็ไม่สำเร็จ เพราะทฤษฎีหรือตำราฉบับไหน...ก็ไม่สามารถใช้ได้กับ “การเมืองไทย” ที่มีการพลิกแพลงปรับเปลี่ยนได้ตามจังหวะเวลา...อันเป็นสิ่งที่ “ประเทศอื่นๆ” ไม่สามารถลอกเลียนแบบได้

ยิ่งในเดือนเม.ย.-พ.ค.นี้ จะถึงวาระ ครบรอบปีที่มีการ “กระชับวงล้อมขอคืน พื้นที่” จากมวลชนคนเสื้อแดง และนำไปสู่ การตายของ 91 ศพ ซึ่งคาดหมายกันว่า จะเป็นรายการ “ลองของ” กันอีกครั้ง!!!

อย่าลืมว่า...ก่อนหน้านี้มี “คนตาย เฉียดร้อย” แต่ก็ไม่สามารถโค่น “บัลลังก์” ของ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ที่ว่ากันว่า มี “หลังพิงชั้นดี” ลงได้...ดังนั้น “พลังแดง” จึงต้องยอมปรับลดบทบาทเลิกแข็งกร้าว...เหมือนก่อน

มีสัญญาณส่งมาว่า เวลานี้พลังแดงหวังให้ “โดมิโนตะวันออกกลาง” เป็นเสมือนหนึ่งแค่ “อาหารเสริม” ไม่ใช่ “อาหารหลัก”...เพราะรู้ดีว่า การจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในเมืองไทยนั้น...“จังหวะเวลา” เป็นสิ่ง ที่สำคัญ...และต้องรอคอย ดังนั้น “การปลูกฝังความเชื่อ” เรื่อง “2 มาตรฐาน” ยังเป็นสิ่งจำเป็น...เพื่อรอคอยวัน

จึงเตือนมาเพื่อให้ “ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง” ต้องตระหนักถึง “อันตรายในแนว คิดนี้”...ให้ดีๆ

ที่มา.สยามธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันอาทิตย์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

แผนใต้ดิน-ข้อต่อรอง ปล่อยแดง 7+88 พ้นคุก เดิมพัน4พันล้าน"เพื่อไทย"ชนะเลือกตั้ง !!

เมื่อเหตุผลและสมมติฐาน-การ ต่อรองของฝ่ายอำนาจรัฐและฝ่ายต่อต้านสมประโยชน์ จึงนำไปสู่การปล่อยตัวแดงทั้ง 7

แม้ว่าในยกแรก ต่างฝ่ายต่างต่อรองยืดยื้อจนสุกงอมนานแรมเดือน

ฝ่ายรัฐบาลส่งสัญญาณต้องการแลกตัวประกันผู้ต้องหาแดง 2 คน น.พ.เหวง โตจิราการ กับ ก่อแก้ว พิกุลทอง กับการ "งดการชุมนุม" ในเมืองช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์

แต่ฝ่ายแกนนำแดง-และนายใหญ่ ไม่ยอม และยื่นข้อเสนอแบบเต็มเพดาน คือ ต้องปล่อยตัวแกนนำทั้ง 7 และทยอยปล่อยผู้ต้องหาออกจากคุกทั่วพื้นที่อีสาน-เหนือรวม 121 คน

และเมื่อข้อต่อรองนั้นต่างฝ่าย ต่างไม่สมประโยชน์ จึงเกิด "ม็อบ 3 หมื่น" เต็มพื้นที่กรุงเทพฯในวันที่ 19 กุมภาพันธ์

หลังจากนั้น 1 สัปดาห์จึงเกิดดุลพินิจจากกระบวนการ "บนดิน" ด้วยการปล่อยตัวแกนนำแดงในคุกอีสาน-เหนือถึง 88 คน

พร้อม ๆ กับกระบวนการต่อรองจากฝ่ายรัฐบาลเพิ่มขึ้นเป็นการปล่อยตัวคราวละ 2 คน และ 3 คน โดยมีชื่อ เจ๋ง ดอกจิก กับ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เป็น 2 คนสุดท้าย แต่ "ผู้ใหญ่" ในฝ่ายแดงไม่ยอม ยืนยันต้องแลกอิสรภาพ 7 คนกับความสุขสงบของสนามเลือกตั้ง เป็นเดิมพัน

เมื่อเงื่อนไขรัฐธรรมนูญผ่านการเห็นชอบจากสภาผู้แทนฯ-เมื่อปัญหาเศรษฐกิจไม่เป็นปัจจัยลบ รัฐบาลเหลือปัจจัยเสี่ยงเรื่องเดียว คือ ความสงบทางการเมือง

การเจรจาจึงเริ่มต้นขึ้นอีกรอบ โดยใช้ "มติ ครม. 21 ธ.ค. 53" ที่ระบุรัฐบาลและกระบวนการยุติธรรมจะไม่ "คัดค้านการประกันตัว" ผู้กระทำความผิดที่ "เบาบาง" และ "ไม่ใช่ตัวการ" จำนวน 114 คน และให้พ่วงท้ายด้วย "ตัวการ 7 คน" เข้าไปด้วย

การเจรจารอบใหม่มีเงื่อนไขยื่นให้แดงไม่ชุมนุมยืดยื้อ-ค้างคืน "ห้ามปิดประเทศ-ปิดราชประสงค์" เป็นเดิมพัน

เพราะฝ่ายรัฐคาดการณ์ว่าการนัดชุมนุมวันที่ 12 มีนาคม 2554 วาระครบรอบ 1 ปีการปิดสี่แยกราชประสงค์ และการนัดชุมนุมกดดัน "ศาล" ทั่วประเทศจะยืดยื้อ-บานปลาย และอาจไม่จบที่ "การเลือกตั้ง"

ขบวนการใต้ดินของฝ่ายรัฐบาล-ฝ่ายค้าน และคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ หรือ "คอป." โดยนายคณิต ณ นคร จึงเร่งดีกรีเจรจาและขีดเส้นตาย มีเป้าหมายบรรทัดสุดท้ายตรงกันคือ "ไปสู้กันในสนามเลือกตั้ง"

ขบวนการเจรจาใต้ดิน มีชื่อ 2 นักการเมืองพัวพัน ทั้ง กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ และ สุวัจน์ ลิปตพัลลภ

การหารือทั้งในรอบ-นอกรอบขององค์ประชุมที่ประกอบด้วย นายวีระ มุสิกพงศ์ อดีตประธาน นปช. นายโสภณ ธิติธรรมพฤกษ์ ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี และ พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 และคนใกล้ตัวนายกรัฐมนตรี จึงมีทางออก

ขบวนการบนดินจึงเกิดขึ้นใน "ศาล" เพื่อเบิกความเป็นพยานให้ศาลเชื่อว่า ผู้ถูกคุมขังระหว่างการดำเนินคดีทั้ง 7 ไม่เป็นพิษ ไม่เป็นภัย

โดย "คอป." ยืนยันอำนาจ-หน้าที่ 3 ข้อ คือ ตรวจสอบความจริงในเหตุการณ์ความรุนแรงระหว่างเมษายน-พฤษภาคม 2553 เยียวยาทางจิตใจแก่ ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ และวิจัยสาเหตุที่ทำให้เกิดความรุนแรง และรากเหง้าของปัญหา เพื่อได้บทเรียนแก่ทุกฝ่าย และยับยั้งไม่ให้เหตุการณ์ เช่นนั้นเกิดขึ้นอีกในอนาคต

ตัวกลาง-คอป.ยืนยันว่า การคุมขังหรือเอาตัวไว้ในอำนาจรัฐนั้นมีจุดประสงค์เพียงเพื่อ ไม่ให้หลบหนี กับไม่ให้ไปทำความยุ่งเหยิงแก่พยานหลักฐานเท่านั้น หากไม่มีเงื่อนไขนี้แล้วก็ชอบด้วยเหตุผลที่จะปล่อยตัวชั่วคราว ทันทีที่ "ณัฐวุฒิ" พ้นคุก เขาจึงประกาศส่งสัญญาณ 3 ข้อ อาทิ 1.มุ่งหวังเพื่อ ให้เกิดการปรองดองและเกิดสันติภาพ ในประเทศ 2.ต่อต้านรัฐประหาร 3.เดินหน้าด้วยการเลือกตั้ง

สอดคล้องกับปฏิกิริยาของนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ด้านความมั่นคง ที่ตอบรับวาระการไปสู่สนามเลือกตั้ง

"แกนนำ นปช.ก็ต้องการจะทำงานการเมือง ต่อสู้การเมือง ก็ไปสมัครรับเลือกตั้ง พรรคเพื่อไทยกับคนเสื้อแดงก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอยู่ ก็ไปปรึกษากันให้ดีเพื่อลงสมัครรับเลือกตั้ง มันก็จบ" นายสุเทพกล่าว

หลังการปล่อยตัวแกนนำแดง แกนนำฝ่ายใต้ดินของพรรคประชาธิปัตย์ยังกังขาและตั้งข้อสังเกตว่า "เจ้านายใหญ่ของฝ่ายแดง เขาได้ประโยชน์ และเขาหวังเต็มที่หากเพื่อไทยไปสู่การเลือกตั้ง เขาจะชนะ"

ขณะที่แกนนำฝ่ายเพื่อไทยยังอยู่ในระหว่างการเคลียร์บัญชี "ค่าใช้จ่าย-ต้นทุน" ในการเคลื่อนไหวใต้ดิน และเคลียร์ปัญหาพื้นที่ทับซ้อนสำหรับบรรจุแกนนำแดงลงบัญชีเลือกตั้ง

ตัวเลข 4,000 ล้านสำหรับเดิมพันให้เพื่อไทยชนะเลือกตั้ง จึงถูกปล่อยกระหึ่มไปทั่วทั้งสภาผู้แทนราษฎร

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
...................

บี้ยึดทรัพย์กัดดาฟี-ตั้งข้อหาอาชญากร

เอพีราย งานว่า นายโมอัมมาร์ กัดดาฟี ออกโทรทัศน์อีกครั้ง แสดงตัวยืนปราศรัยปลุกระดมกลุ่มผู้สนับสนุนอยู่บนดาดฟ้าตึกแห่งหนึ่ง กลางกรุงตริโปลี ประเทศลิเบีย ซึ่งมีรายงานในวันเดียวกันนี้ว่า เกิดการสังหารผู้ชุมนุมต่อต้านรัฐบาล เมื่อกลุ่มนักรบที่ภักดีต่อนายกัดดาฟีเปิดฉากยิงใส่ผู้ร่วมงานศพผู้ชุมนุมที่เสียชีวิต ท่ามกลางเสียงหวีดร้องในมัสยิดใจกลางกรุง

ขณะที่ทางคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ เตรียมนำกรณีผู้นำลิเบียและครอบครัวขึ้นพิจารณาคดี ในข้อกล่าวหากระทำการรุนแรงต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ โดยนายโมฮัมเหม็ด ชาลกัม ทูตลิเบียประจำสหประชาชาติ กล่าวว่า อาจจะใช้เวลาดูรายละเอียดกันไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น เพื่อหาทางหยุดความรุนแรงในลิเบียให้ได้เร็วที่สุด ซึ่งอาจรวมไปถึงการตั้งข้อหาอาชญากรรมต่อมนุษยชาติแก่กัดดาฟีและครอบครัว

วันเดียวกัน เอเอฟพีรายงานว่า นายบารัก โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐ แถลงการณ์สนับสนุนยูเอ็นและเรียกร้องให้มีการดำเนินคดีกับกัดดาฟี และลูกชาย 4 คน สหรัฐได้สั่งปิดสถานทูตในกรุงตริโปลี และกล่าวว่า ประชาชนลิเบียเลิกเชื่อมั่นในตัวผู้นำคนนี้แล้ว และเมื่อมีการอนุมัติให้คว่ำบาตรจากยูเอ็นทางสหรัฐเตรียมเสนอการยึดทรัพย์สินทั้งหมดของครอบครัวกัดดาฟี ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในธนาคารต่างชาติ ปัจจุบันโอบามาได้สั่งให้จับตาดูการเคลื่อนไหวของบัญชีที่เกี่ยวข้องกับลิเบียในธนาคารสหรัฐทั้งหมดไว้แล้ว และจะสั่งระงับทันทีถ้ามีการโอนย้ายเงินจำนวนมาก

อย่างไรก็ตาม เอพีรายงานว่า นายเซฟ อัล-อิสลาม กัดดาฟี บุตรชายกัดดาฟี ออกรายการโทรทัศน์ของตุรกี ให้สัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษเมื่อคืนวันศุกร์ว่า ขณะนี้ตนและครอบครัวมีแผนการเดียวเท่านั้นคือจะอยู่และตายในลิเบีย

ที่มา.ข่าวสดรายวัน
//////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันเสาร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ปฏิวัติอียิปต์ = มวลชนลุกฮือ + รัฐประหารละมุน

โดย เกษียร เตชะพีระ

ฮอสนี มูบารัค, บารัค โอบามา และวลาดิมีร์ ปูติน กำลังประชุมกันอยู่ แล้วจู่ๆ พระผู้เป็นเจ้าก็ทรงปรากฏพระองค์ขึ้นและตรัสว่า "ข้ามาบอกพวกเจ้าว่าโลกจะถึงกาลอวสานในสองวันข้างหน้านี้ จงไปบอกประชาชนของพวกเจ้าเสีย" ผู้นำแต่ละคนจึงกลับไปเมืองหลวงของตนและเตรียมปราศรัยทางทีวี

ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. โอบามากล่าวว่า "เพื่อนชาวอเมริกันทั้งหลาย ผมมีข่าวดีและข่าวร้ายจะแจ้งให้ทราบ ข่าวดีคือผมยืนยันได้ว่าพระเจ้ามีจริง ส่วนข่าวร้ายก็คือพระองค์ทรงบอกผมว่าโลกจะดับภายในสองวัน"

ณ กรุงมอสโก ปูตินกล่าวว่า "ประชาชนชาวรัสเซีย ผมเสียใจที่ต้องแจ้งข่าวร้ายสองเรื่องให้ทราบ ข่าวแรก คือพระเจ้ามีจริง ซึ่งหมายความว่าทุกอย่างที่ประเทศเราเชื่อถือตลอดช่วงเวลาส่วนใหญ่ของศตวรรษที่แล้วล้วนเป็นเท็จ ข่าวที่สองคือโลกจะดับภายในสองวัน"

ณ กรุงไคโร มูบารัคกล่าวว่า "โอ...ชาวอียิปต์ทั้งหลาย ข้าพเจ้ามาพบท่านวันนี้พร้อมข่าวดียิ่งสองประการ ข่าวแรก พระผู้เป็นเจ้าและตัวข้าพเจ้าเพิ่งจะประชุมสุดยอดครั้งสำคัญร่วมกันมา

และข่าวที่สอง พระองค์ทรงบอกว่าข้าพเจ้าจะเป็นประธานาธิบดีของพวกท่านไปชั่วกัลปาวสาน"

ในที่สุด "กัลปาวสาน" ตามโจ๊กแอนตี้-มูบารัคข้างต้นก็มาถึง 18 วันหลังประชาชนอียิปต์เรือนล้านลุกฮือ ต่อต้านเขาอย่างต่อเนื่องทั่วประเทศจนล้มตายไป 365 คน และบาดเจ็บอีก 5,500 คน ตั้งแต่วันที่ 25 มกราคมนี้เป็นต้นมา เมื่อมูบารัคประกาศลาออกจากตำแหน่งประธานาธิบดีและสละอำนาจให้แก่สภาสูงของกองทัพ ภายใต้การนำของรัฐมนตรีกลาโหมและผู้บัญชาการสามเหล่าทัพ จอมพลมูฮัมหมัด ฮุสเซ็น ทันทาวี วัย 76 ปี ในวันที่ 11 กุมภาพันธ์นี้

ทว่า กองทัพอียิปต์ที่ช่วงชิงโอกาสเข้าควบขี่การปฏิวัติของมวลชนและก่อรัฐประหารละมุนโค่นมูบารัคลงก็หาได้กลมเกลียวเป็นปึกแผ่นไม่ หากปริแยกแตกร้าวเป็นก๊กเป็นเหล่าตามเส้นสายการเมืองของตน ที่สำคัญได้แก่ : -

1) ในกองทัพอียิปต์ มีอยู่ 2 เหล่าซึ่งใกล้ชิดเป็นที่โปรดปรานของศูนย์อำนาจเก่าเป็นพิเศษ ได้แก่ กองทหารองครักษ์ประธานาธิบดีและกองทัพอากาศ - ในฐานที่มูบารัคมีภูมิหลังเป็นผู้บัญชาการทหารอากาศมาก่อนขึ้นเป็นประธานาธิบดี สองเหล่านี้จึงยืนหยัดอยู่กับมูบารัคแม้ในยามทหารทั่วไปเอาใจออกห่างแล้วก็ตาม

ดังแสดงออกโดยปรากฏการณ์กลับตาลปัตรกันระหว่างการที่ผู้บัญชาการสามเหล่าทัพ จอมพลมูฮัมหมัด ทันทาวี เดินเข้าไปกลางที่ชุมนุมเพื่อแสดงการสนับสนุนผู้ประท้วงเมื่อวันที่ 30 มกราคมนี้ VS. การที่มูบารัคแต่งตั้งอดีตผู้บัญชาการทหารอากาศ อาเหม็ด ชาฟิค เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ พลางส่งเครื่องบินไอพ่นหลายลำไปบินต่ำ ขู่ที่ชุมนุม ในทำนองเดียวกัน กองทหารองครักษ์ประธานาธิบดีนี่แหละที่เข้าปกป้องอาคารวิทยุ/โทรทัศน์ของรัฐบาล และต่อกรกับผู้ชุมนุมเมื่อวันที่ 28 มกราคมนี้

2) หน่วยข่าวกรองทหาร (Intelligence Services หรือ al-mukhabarat) ซึ่งรับผิดชอบปฏิบัติการลับนอกประเทศ, ควบคุมตัวและสอบสวนผู้ต้องสงสัยก่อการร้าย/เป็นภัยความมั่นคง (รวมทั้งทรมานและลักพาตัวชาวต่างชาติตามที่ซีไอเอขอ) เนื่องจากหน่วยข่าวกรองทหารพุ่งเป้าต่อศัตรูภายนอกเป็นหลัก ไม่ได้คุมขังทรมานชาวอียิปต์ฝ่ายค้านในประเทศมากนัก

จึงไม่เป็นที่เคียดแค้นชิงชังของประชาชนเท่า หน่วยสืบสวนเพื่อความมั่นคงของรัฐ สังกัดมหาดไทย (mabahith)

หน่วยข่าวกรองทหารมีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ท่ามกลางสถานการณ์พลิกผันทางการเมืองในฐานะ "สะวิงโหวต" - คือเทเสียงไปข้างไหน กองทัพโดยรวมก็เอียงไปข้างนั้นด้วย ท่าทีของหน่วยนี้คือด้านหนึ่งก็เกลียดชัง กามาล มูบารัค (ลูกชายประธานาธิบดีฮอสนี มูบารัค) กับกลุ่มทุนเสรีนิยมใหม่เส้นใหญ่ของเขา แต่อีกด้านหนึ่งก็หมกมุ่นฝังหัวกับเรื่องการเมืองต้องนิ่ง และแอบได้เสียอยู่กินกับซีไอเอและกองทัพอเมริกันมานมนาน

อำนาจของกองทัพและโดยเฉพาะอย่างยิ่งของหน่วยข่าวกรองทหารที่ขึ้นครอบงำวงการเมืองสะท้อนออก ในการตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เมื่อวันที่ 28 มกราคม ที่ผ่านมา ดังปรากฏว่ากามาล มูบารัค กับพวกพ้องนักธุรกิจถูกโละทิ้งยกแผง ขณะที่โอมาร์ สุไลมาน อดีตหัวหน้าหน่วยข่าวกรองทหารได้ขึ้นเป็นรองประธานาธิบดี ทำหน้าที่รักษาการแทนประธานาธิบดีมูบารัคในทางปฏิบัติ

อย่างไรก็ตาม เงื่อนไขภายในกองทัพอียิปต์จะสุกงอมพอก่อให้เกิดการปฏิวัติ/เปลี่ยนระบอบผ่านปฏิบัติการ [มวลชนลุกฮือ + รัฐประหารละมุน] ก็ต่อเมื่อฝ่ายแอนตี้มูบารัคในกองทัพสามารถ : -

1) เสริมสร้างฐานะของตนได้มั่นคง และ

2) ให้ความมั่นใจแก่หน่วยข่าวกรองทหารและกองทัพอากาศในการเปิดรับขบวนการมวลชนที่เกิดขึ้นใหม่ และพรรคฝ่ายต่างๆ ที่เกาะกลุ่มล้อมรอบแกนนำฝ่ายค้าน นายโมฮาเหม็ด เอลบาราได นักนิติศาสตร์ นักการทูตและอดีตผู้อำนวยการสำนักงานพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (International Atomic Energy Agency - IAEA ภายใต้สหประชาชาติ) ผู้ได้รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพเมื่อปี ค.ศ.2005 และเข้าร่วมประท้วงต่อต้านมูบารัคครั้งนี้

ซึ่งอาจถือเป็นความหมายโดยนัยของสิ่งที่ประธานาธิบดีโอบามาแห่งสหรัฐอเมริกาเรียกว่า "การเปลี่ยนผ่าน อย่างมีระเบียบเรียบร้อย" ที่เขาอยากเห็นในอียิปต์นั่นเอง

ดูเหมือนเงื่อนไขดังกล่าวจะมาลงตัวพร้อมเพรียงเมื่อวันศุกร์ที่ 11 กุมภาพันธ์นี้ และแล้วกองทัพอียิปต์ก็เอื้อมไปจับมือประชาชนแล้วโค่นมูบารัคลง!

แนวโน้มการเมืองอียิปต์หลังโค่นมูบารัคจะเป็นเช่นใด? เมื่อวันอาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์นี้ สภาสูงของกองทัพ ได้ออกประกาศฉบับที่ 5 สั่งยุบสภาผู้แทนราษฎรและสภาสูงซึ่งเพิ่งได้รับเลือกตั้งเข้ามาอย่างฉ้อฉลอื้อฉาวเมื่อปลายปีก่อน, ระงับใช้รัฐธรรมนูญ, ตั้งคณะกรรมการแก้ไขปรับปรุงรัฐธรรมนูญเพื่อผ่านการลงประชามติ, และสัญญาจะจัดเลือกตั้งรัฐสภาและประธานาธิบดีใหม่ใน 6 เดือน, ระหว่างนี้คณะรัฐมนตรีที่มูบารัคตั้งใหม่ล่าสุดจะรักษาการไปพลางก่อน, พร้อมกันนั้น สภาสูงของกองทัพก็ยืนยันพันธกรณีตามสนธิสัญญาและข้อตกลงต่างๆ ที่ อียิปต์ได้ทำไว้กับนานาประเทศรวมทั้งอิสราเอล

ข้อน่าสังเกตคือประกาศของสภาสูงกองทัพอียิปต์ข้างต้นมีรายละเอียดเนื้อหาพ้องกับข้อเรียกร้องในแถลงการณ์ของแกนนำการชุมนุมต่อต้านมูบารัคที่รวมตัวกันเฉพาะกิจและเรียกตัวเองว่ากลุ่ม "25 มกราคม" หลายประเด็น ดังปรากฏรายละเอียดตามแถลงการณ์ต่อไปนี้ (ดูต้นฉบับภาษาอาหรับที่ www.assawsana.com/portal/ newsshow.aspx?id=44605) : -

-ยกเลิกประกาศภาวะฉุกเฉินอันเป็นเหตุให้ระงับการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนตามรัฐธรรมนูญทันที

-ปล่อยนักโทษการเมืองทั้งหมดทันที

-ระงับใช้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันและบทแก้ไขเพิ่มเติมต่างๆ

-ยุบรัฐสภาสหพันธ์และสภาระดับจังหวัดทั้งหลาย

-ก่อตั้งสภาปกครองรวมหมู่ในระยะเปลี่ยนผ่าน

-จัดตั้งรัฐบาลเฉพาะกาลประกอบด้วยกลุ่มชาตินิยมอิสระเพื่อดูแลจัดการเลือกตั้งที่เสรีและยุติธรรม

-จัดตั้งคณะทำงานเพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญประชาธิปไตยฉบับใหม่ซึ่งคล้ายคลึงรัฐธรรมนูญประชาธิปไตย ฉบับเก่าก่อน แล้วให้ผ่านการลงประชามติ

-ขจัดข้อจำกัดหวงห้ามทั้งปวงเกี่ยวกับการจัดตั้งพรรคการเมืองอย่างเสรีบนพื้นฐานที่เป็นพรรคพลเรือน, ยึดหลักประชาธิปไตยและสันติภาพ

-ยึดหลักเสรีภาพในการพิมพ์

-ยึดหลักเสรีภาพในการก่อตั้งสหภาพแรงงานและองค์การเอ็นจีโอโดยไม่ต้องขออนุญาตจากรัฐบาล

-ยุบศาลทหารทั้งหมดและยกเลิกคำตัดสินของศาลทหารในคดีที่ผู้ต้องหาเป็นพลเรือน เป็นต้น

เหล่านี้ทำให้ศาสตราจารย์ฮวน โคล สรุปว่าขบวนการมวลชนที่ลุกฮือโค่นมูบารัคครั้งนี้มีแก่นแท้เป็นขบวนการแรงงานที่ยึดถือ "ชาติ" (watan) และข้อเรียกร้องทางการเมืองเชิงโลกวิสัยอื่นๆ เป็นที่ตั้ง, ไม่ใช่ขบวนการเคร่งหลักอิสลามมูลฐานที่ยึดถือ "ชุมชนศาสนา" (ummah) และข้อเรียกร้องตามหลักอิสลามเป็นสรณะดังฝ่ายขวาอเมริกันและอิสราเอลบิดเบือน

อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าขบวนการมวลชนอียิปต์จะกำหนดเกมการเมืองหลังโค่นมูบารัคได้ดังใจนึก แนวโน้มน่าวิตกในสายตาผู้ช่วยศาสตราจารย์ซาเมอร์ เชฮาตา คือมันอาจนำมาซึ่งระบอบมูบารัคที่ปราศจากตัวมูบารัคเอง

แม้จะไม่กดขี่ปราบปรามหนักเท่าสองทศวรรษที่ผ่านมา แต่ก็หาใช่ประชาธิปไตยเต็มใบไม่

ที่มา.มติชนออนไลน์
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////

สถานการณ์ลิเบีย ผู้ชุมนุมถูกกราดยิงในเมือง Tripoli

กลุ่มผู้ต่อต้านประธานาธิบดีกัดดาฟียังชุมนุมกันอยู่ที่เมืองหลวง Tripoli และมีรายงานว่าขณะที่ผู้ชุมนุมทำละหมาดช่วงเที่ยง กลับถูกกราดยิงโดยทหารที่ยังจงรักภักดีต่อกัดดาฟี จนมีผู้เสียชีวิต 6 ราย
เขตที่มีรายงานการยิงในกรุง Tripoli ได้แก่ Fashloum, Ashour, Jumhouria และ Souq Al ตัวเลขผู้เสียชีวิตรวมยังไม่ชัดเจน แต่ตัวแทนจากกลุ่มสิทธิมนุษยชนในฝรั่งเศสประเมินว่าอาจสูงถึง 2,000 ราย
ก่อนหน้านี้ กัดดาฟีได้แถลงการณ์ทางโทรทัศน์อีกครั้ง กล่าวโทษกลุ่มก่อการร้ายอัลเคด้า ที่อยู่เบื้องหลังการลุกฮือครั้งนี้

ส่วนฟากตะวันออกของประเทศที่หลุดจากอำนาจควบคุมของรัฐบาลกัดดาฟีได้แล้ว ประชาชนเรือนหมื่นได้ออกมาชุมนุมกันที่เมือง Benghazi และเมืองอื่นๆ เพื่อส่งกำลังใจให้ผู้ชุมนุมที่ Tripoli ส่วนขุนทหารที่อยู่ในภาคตะวันออก กล่าวกับสำนักข่าว Al Jazeera ว่าขุนทหารภาคตะวันตกเริ่มถอนตัวออกจากฝ่ายกัดดาฟีแล้ว อย่างไรก็ตาม กองกำลังพิเศษของกัดดาฟี Khamis Brigade ยังจงรักภักดี และมีอาวุธหนักครบมือไล่ฆ่าฝ่ายตรงข้ามอยู่บ้างในภาคตะวันออกของประเทศ

ฝ่ายผู้ชุมนุมในภาคตะวันออกสามารถยึดสนามบิน (เพื่อป้องกันการโจมตีจากเครื่องบิน) และแท่นขุดเจาะน้ำมันอีกหลายแห่ง และตั้งคณะกรรมการขึ้นมาดูแลกิจการในเมืองที่ปราศจากรัฐบาลกลางแล้ว



ภาพแสดงพื้นที่ครอบครองของฝ่ายต่างๆ ในลิเบีย (ภาพจาก BBC)

สำหรับความเคลื่อนไหวจากต่างประเทศ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติได้ประชุมกันที่สวิตเซอร์แลนด์ เพื่อคุยถึงปัญหาในลิเบีย ส่วนโครงการอาหารโลกของสหประชาชาติให้ข้อมูลว่าลิเบียจะเกิดวิกฤตอาหารในเร็วๆ นี้ เพราะไม่สามารถนำเข้าอาหารไปยังลิเบียได้ ตอนนี้ชาติต่างๆ ทั่วโลกเริ่มขนคนของตัวเองออกจากลิเบียแล้ว

ที่มา – Al Jazeera, BBC
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันศุกร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

กกต.ไฟเขียว 7 แกนนำ นปช.ลงสมัคร ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ได้

สำนักงาน กกต.ระบุ 7 แกนนำ นปช.สามารถลงสมัคร ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ได้ หลังพบคุณสมบัติยังไม่เข้าข่ายไม่มีสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้งตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด

นายประพันธ์ นัยโกวิท กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้านกิจการบริหารงานเลือกตั้ง กล่าวถึงกรณีที่ 7 แกนนำ นปช.ประกาศจะลงสมัคร ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ ในการเลือกตั้งครั้งหน้าว่า จากข้อมูลเบื้องต้นคิดว่า คุณสมบัติของ 7 แกนนำฯ ยังไม่เข้าข่ายไม่มีสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้งตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด เนื่องจากการถูกควบคุมตัวในเรือนจำที่ผ่านมาในคดีก่อการร้ายนั้น ถือเป็นการควบคุมตัวในระหว่างที่รอการพิจารณา แต่คดียังไม่มีคำพิพากษาเป็นที่สิ้นสุดออกมา ซึ่งหากดูกันในลักษณะนี้ ถือว่าไม่มีคุณสมบัติที่ขัดต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญ แต่ทั้งนี้ต้องดูต่อไปด้วยว่า ยังมีคดีอื่น ๆ ที่เกี่ยวโยงด้วยอีกหรือไม่ ส่วนเมื่อหากได้เป็น ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์แล้ว ศาลมีคำพิพากษาให้จำคุก ก็จะมีผลต่อสถานะการเป็น ส.ส. ซึ่งอาจต้องสิ้นสุดลง

“กรณีนี้จะใกล้เคียงกับรายของนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ ที่มีกรณีเรื่องคดีรถดับเพลิง ในสมัยที่เป็นผู้ว่าฯ กทม. แต่ผลของคดียังไม่สิ้นสุด นายอภิรักษ์จึงลงสมัครรับเลือกตั้งและได้เป็น ส.ส.กทม. จากการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 2 กทม.ที่ผ่านมา แต่หากต่อไปคดีรถดับเพลิงมีคำพิพากษาว่า นายอภิรักษ์มีความผิดจริง ก็จะส่งผลต่อสถานะทันที” นายประพันธ์ กล่าว.

ที่มา.สำนักข่าวไทย
//////////////////////////////////////////////////////////

เบนกาซีร์ กรุงทริโปลีแทบจะเป็นเมืองร้าง คนไม่กล้าเดินถนน

สถานีโทรทัศน์ AP ได้แพร่ภาพที่ระบุว่าบันทึกโดยช่างภาพสมัครเล่น ที่แสดงให้เห็นการปะทะกันอย่างรุนแรง และการประท้วงที่เมืองท่าเบนกาซี ของลิเบีย โดยภาพที่ถูกระบุว่า บันทึกไว้เมื่อวันจันทร์ ได้แสดงให้เห็นประชาชนวิ่งหาที่กำบังบริเวณข้างถนน ท่างกลางเสียงปืนดังสนั่นที่เกิดจากการยิงปะกันอย่างดุเดือด และยังมีระเบิดเพลิงที่ถูกขว้างใส่รถยนต์ที่กำลังวิ่งเข้ามาอีกด้วย ภาพที่ถูกนำเผยแพร่นี้ ยังไม่ได้รับการตรวจสอบว่าเป็นของจริงหรือไม่ แต่ถูกระบุว่า ได้รับผ่านทางนายจอร์จ ซูโคเมล ชาวแคนาดาจากคอลลิ่งวู้ด ออนตาริโอ ที่ทำงานอยู่บริษัทก่อสร้างของเยอรมนีชื่อ อาร์คาดิส และเพิ่งจะได้รับการอพยพออกจากลิเบียโดยเรือของตุรกี ซึ่งนายซูโคเมลบอกว่า มีคนให้เขานำวิดีโอชุดนี้ออกนอกลิเบีย ซึ่งคนที่ถ่ายทำวิดีโอชุดนี้ ได้อธิบายเหตุการณ์ปะทะเดือดที่เกิดขึ้นว่า มีหลายศพห้อยจากเสาไฟฟ้า และพวกทหารบ้านก็ขับรถบรรทุกศพไปทั่วเมือง ส่วนบ้านพักและสำนักงานของบริษัทอาคาร์ดิส ในเบนกาซี ได้ถูกบุก ส่วนรถยนต์และอุปกรณ์อิเล็คทรอนิคส์จำนวนมาก ถูกปล้นไปจนหมด

ด้านคณะแพทย์ของโรงพยาบาลสนามที่จตุรัสมาร์ไทร์ ในเมืองซาวิยา เปิดเผยในวันนี้ว่า มีผู้เสียชีวิต 17 คน และอีก 150 คน ได้รับาดเจ็บ ตอนที่กองกำลังฝ่ายรัฐบาลถล่มเมือง และว่า ตัวเลขผู้เสียชีวิตจะสูงกว่านี้ ทหารฝ่ายรัฐบาลที่ถูกจับได้ 6 นาย สารภาพว่า พวกเขาได้รับแจ้งว่า เมืองซาวิยาตกอยู่ในมือของกลุ่มติดอาวุธอาหรับ และเป็นหน้าที่ของพวกเขาที่ต้องปลดปล่อยเมืองนี้พวกทหารยอมรับว่า ได้รับการชี้นำผิด ๆ ทำให้พวกเขาต้องมาต่อสู้กับคนชาติเดียวกันเอง การประท้วงที่ดำเนินมา 10 วัน ได้ส่งผลให้พันเอกโมอัมมาร์ กัดดาฟี่ ต้องสูญเสียการควบคุมพื้นที่ทางตะวันออก และสมาชิกในรัฐบาลของเขาหลายคน พากันแปรพักตร์ ทั้งยังเผชิญกับกระแสกดดันจากนานาชาติครั้งใหม่ โดยเมื่อวานนี้ สวิตเซอร์แลนด์ได้สั่งอายัดทรัพย์สินของเขาและคนใกล้ชิดแล้ว

สำนักข่าว CNN ระบุว่า ในขณะที่มีรายงานว่า ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลสามารถยึดเมืองเบนกาซีเมืองมิสราตา และอัซ ซินตัน เอาไว้ได้นั้น แต่ในกรุงทริโปลี ที่เมืองหลวง ยังคงมีการยิงใส่ผู้ประท้วงจนแตกกระเจิง เมื่อวันพฤหัสบดี จนกลายเมืองร้าง ประชาชนไม่กล้าออกไปเดินตามถนน ไม่กล้าแม่แต่จะโผล่หน้าต่างออกไปดูเหตุการณ์ และไม่กล้าพูดคุยกับผู้สื่อข่าวมีบางคนบอกว่า พยายามซ่อนตัว หลังมีข่าวการลักพาตัวเกิดขึ้นที่บ้านหลายหลัง

ที่มา.เนชั่น
/////////////////////////////////////////////////////////////////////

กสท.ฟ้องเอาผิดครม."ทักษิณ" แก้สัมปทานทำสูญ4หมื่นล้าน "ทีโอที"เตรียมฟ้องเอไอเอส

บอร์ด กสท มีมติฟ้องศาลปกครองเอาผิด ครม.ชุด พ.ต.ท.ทักษิณŽ ก่อนหมดอายุความ 26 ก.พ. แก้มติหักส่วนแบ่งรายได้ทำเสียรายได้ 4 หมื่นล้าน ทีโอทีŽเล็งฟ้องเอไอเอสŽด้วย ลือทั้งวันบอร์ดทีโอทีลาออกยกชุด

เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ที่รัฐสภา นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ ประธานคณะกรรมการ (บอร์ด) บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร เดินทางเข้าพบนายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) เพื่อรายงานมติการประชุมบอร์ดที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการตามคำพิพากษาศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

นายจิรายุทธ รุ่งศรีทอง กรรมการผู้จัดการใหญ่ กสท กล่าวว่า บอร์ดมีมติจะฟ้องร้องเอาผิดคณะรัฐมนตรี (ครม.) สมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่มีมติไม่ชอบว่าด้วยการหักส่วนแบ่งรายได้ 10% เป็นภาษีสรรพสามิตกิจการโทรคมนาคม ส่งผลให้กสท ได้รับความเสียหาย 40,000 ล้านบาท โดยวันที่ 25 กุมภาพันธ์จะไปกระทรวงการคลังเพื่อศึกษาแนวทางการฟ้องร้อง ก่อนยื่นฟ้องต่อศาลปกครองในวันเดียวกัน ก่อนหมดอายุความในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ซึ่ง กสท ได้ยื่นฟ้องคู่สัญญาสัมปทาน คือบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ดีแทค บริษัท ทรูมูฟ จำกัด และบริษัท ดิจิตอลโฟน จำกัด หรือ ดีพีซี ไปก่อนหน้าแล้ว อยู่ระหว่างการพิจารณาของอนุญาโตตุลาการ

นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ประธานบอร์ด บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ทีโอที มีนโยบายจะฟ้องร้องคู่สัญญาบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส ที่ผ่านมาได้ยื่นหนังสือเรียกค่าเสียหาย (Notice) ไปแล้ว

นายจุติกล่าวว่า การฟ้องร้องขึ้นอยู่กับ 2 หน่วยงาน และคงต้องรอคำตอบจากภาคเอกชนในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ก่อนนำเรื่องเสนอ ครม.ต่อไป หากนำไปสู่กระบวนการฟ้องร้อง มีเวลาดำเนินการถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ แต่หากคำตอบภาคเอกชนมีแนวโน้มไปสู่การเจรจาที่ดี ก็สามารถขอ ครม. ขยายเวลาได้ ได้ตำหนินายหรรษา ชีวะพฤกษ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายกฎหมาย กสท ว่าเหตุใดถึงตัดสินใจจะฟ้องตอนนี้ ทั้งที่ผ่านมานานแล้วเกือบปีŽ นายจุติกล่าว และว่า ส่วนกรณีที่บอร์ดทีโอที 5 คน ลาออก ได้รับแจ้งว่าเป็นผลจากเอไอเอสได้ส่งหนังสือแจ้งเตือนถึงกรรมการทีโอทีทุกคนโดยตรงถึงบ้าน ทำให้เกิดความกังวล ก็เข้าใจและไม่ได้ตำหนิแต่อย่างใด ทั้งนี้กรรมการที่เหลืออยู่ 7 คน ยังสามารถปฏิบัติหน้าที่ และประชุมบอร์ดได้

นายวิเชียร เมฆตระการ หัวหน้าคณะผู้บริหาร เอไอเอส กล่าวชี้แจงว่า เพราะที่ทีโอทีไม่มีผู้รับจดหมาย จึงจำเป็นต้องส่งที่บ้านบอร์ดทีโอทีโดยตรงเพื่อให้ถึงมือผู้รับ

ผู้สื่อข่ายรายงานว่า ตลอดทั้งวันมีกระแสข่าวสะพัดว่าบอร์ดทีโอที เตรียมลาออกเพิ่ม ซึ่งอาจส่งผลให้การประชุมวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ต้องยกเลิก รวมถึงอาจส่งผลต่อการอนุมัติโครงการ 3 จี ซึ่งเป็นโครงการสำคัญของทีโอทีด้วย

ที่มา.มติชนออนไลน์
///////////////////////////////////////////////////////////////////

วันพฤหัสบดีที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ผู้อพยพจากลิเบียทะลักเข้าตูนิเซีย/ชาวต่างชาติแออัดที่สนามบินทริโปลี

ผู้อพยพหลายร้อยคนจากลิเบีย ได้ข้ามพรมแดนไปยังตุรกี เมื่อวันพุธ ในขณะที่ขอบเขตพื้นที่การควบคุมของพันเอก โมอัมมาร์ กัดดาฟี่ ทะยอยหลุดมือไปเรื่อย ๆ จากการที่เมืองใหญ่และเล็กหลายเมือง ที่อยู่ใกล้กับกรุงทริโปลี ตกอยู่ในมือของฝ่ายที่ต่อต้านเขา ท่ามกลางรายงานข่าวที่ยังไม่อาจยืนยันได้ว่า มีผู้เสียชีวิตจากการใช้กำลังเข้าตอบโต้ของฝ่ายรัฐบาลระหว่าง640 - 1,000 คน โดยเฉพาะที่เมืองมิสราตานั้น ทหารรับจ้างได้ยิงปืนกลและจรวดอาร์พีจีเข้าใส่ผู้ประท้วง และเกรงว่า พวกเขาเตรียมลงมือซ้ำอีก

พวกฝ่ายต่อต้านรัฐบาล ในพื้นที่ทางตะวันออกของประเทศ ที่ถูกตัดขาดจากเมืองหลวงอย่างสิ้นเชิงนั้น ได้ประกาศจะปลดปล่อยกรุงทริโปลี ที่ผู้นำลิเบียยังคงกบดานอยู่กับขุมกำลังที่ออกไปอาละวาดไล่เข่นฆ่าประชาชนตามท้องถนน แต่มีสัญญาณว่า อำนาจของเขาได้ถูกบั่นทอนลงเรื่อย ๆ เมื่อนักบินของเครื่องบินรบในสังกัดกองทัพอากาศ 2 นาย ซึ่งหนึ่งในจำนวนนี้มาจากชนเผ่าเดียวกับพันเอกกัดดาฟี่ ได้ดีดตัวออกจากเครื่องบิน และปล่อยให้เครื่องบินรบทั้งสองลำไปตกในทะเลทรายทางตะวันออก อันเป็นการขัดขืนคำสั่งที่ให้พวกเขาไปถล่มเมืองเบนกาซี

นานาชาติ กำลังหาทางตอบโต้รัฐบาลของพันเอกกัดดาฟี่ ที่ใช้ความรุนแรงกวาดล้างผู้ประท้วงโดยทำเนียบขาว ระบุว่า กำลังตรวจสอบทางเลือกที่จะเล่นงานลิเบียให้ยุติการใช้ความรุนแรงที่รวมทั้งการคว่ำบาตร ส่วนประธานาธิบดีนิโกลาส์ ซาร์โคซี่ ของฝรั่งเศส ยกความเป็นไปได้ที่สหภาพยุโรป หรือ อียู จะตัดความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับลิเบีย นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอให้สหประชาชาติ ประกาศเขตห้ามบินเหนือน่านฟ้าลิเบีย เพื่อป้องกันไม่ให้ใช้เครื่องบินรบยิงถล่มผู้ประท้วง

มีรายงานว่า พันเอกกัดดาฟี่ กำลังจะสูญเสียการควบคุมพื้นที่ชายฝั่งในภูมิภาคตะวันตกที่อยู่รอบ ๆ กรุงทริโปลี รวมถึงพื้นที่ทะเลทรายทางตอนใต้ และอีกหลายส่วนทางภาคกลาง และเขากำลังต่อสู้เพื่อจะยึดพื้นที่เหล่านี้คืน ในขณะที่ผู้ประท้วงรวมตัวกันเป็นปึกแผ่นในพื้นที่ทางตะวันออก และชาวต่างชาติยังคงพยายามเดินทางออกจากลิเบีย จนเกิดความโกลาหลที่สนามบินทริโปลี ชาวอังกฤษคนหนึ่งบอกว่า มีคนอยากจะเดินทางไปที่สนามบิน แต่ยังกลัว เนื่องจากมีทหารเต็มถนนและยังปล้นคนที่ผ่านไป-มาอีกด้วย ส่วนนักบินของสายการบินมอลต้า ระบุว่าเห็นคนต่อสู้กันเพื่อแย่งกันขึ้นเครื่องบิน

ที่มา.เนชั่น
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////

อันเนื่องมาจากนโยบายเปลี่ยนสนามรบมาเป็นสนามการค้า

โดย โกวิท วงศ์สุรวัฒน์

หน้าที่หลักหน้าที่หนึ่งของทูตทั่วโลกผู้ไปประจำอยู่ต่างแดนคือ การรายงานและประเมินสถานการณ์ของประเทศที่ตนเองประจำอยู่กลับไปยังผู้บังคับบัญชาในประเทศของตนอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งรายงานเหล่านี้ทั้งหมดล้วนแต่เป็นรายงานลับ โดยที่ผู้ที่ศึกษาแสวงหาความจริงเช่นนักวิชาการทั่วไปจะไม่มีโอกาสได้เห็นรายงานเหล่านี้เลย นอกจากมีปรากฏการณ์วิกิลีกส์ที่มีมือดีเอาออกมาเผยแพร่ให้ฮือฮากันเป็นเรื่องฉาวโฉ่เมื่อเร็วๆ นี้เอง

นักประวัติศาสตร์ทางการเมืองทั่วโลกในปัจจุบันนี้ กำลังหมกมุ่นอยู่กับขุมทรัพย์ทางวิชาการที่ถูกเปิดออกมาให้นักวิชาการได้ศึกษาตามหอจดหมายเหตุ ของบรรดาอดีตประเทศคอมมิวนิสต์ทั้งหลาย ที่เอารายงานของทูตคอมมิวนิสต์ที่ประจำอยู่ในประเทศต่างๆ ทั่วโลกรายงานประเมินสถานการณ์ของประเทศที่ทูตเหล่านั้นประจำอยู่ในช่วงเวลานั้นกลับมายังรัฐบาล

ในจำนวนนี้มีประเทศฮังการีรวมอยู่ด้วย
สาเหตุที่เปิดให้ผู้คนไปศึกษาเรื่องราวในอดีตเมื่อครั้งที่ยังเป็นคอมมิวนิสต์อยู่นั้น ก็เนื่องจากปัจจุบันนี้ประเทศคอมมิวนิสต์หลายประเทศได้เปลี่ยนการปกครองเป็นแบบประชาธิปไตยนั่นเอง

ประเทศฮังการีเป็นประเทศที่ไม่มีทางออกทางทะเล ตั้งอยู่ในยุโรปตะวันออก มีเนื้อที่ประมาณหนึ่งในห้าของประเทศไทย อดีตเคยเป็นประเทศบริวารของสหภาพโซเวียต ครั้นสหภาพโซเวียตล่มสลายเมื่อ พ.ศ.2534 แล้ว ก็ได้เข้าเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป (มีสมาชิก 27 ประเทศ) เป็นประเทศในกลุ่ม Schengen states (มีสมาชิก 25 ประเทศ คือ กลุ่มประเทศที่ใช้วีซ่าของประเทศเดียวสามารถเดินทางไปได้ทั่ว) และฮังการีใช้เงินยูโรเป็นเงินตรา (มีสมาชิกที่ใช้เงินยูโรนี้ 17 ประเทศ)

ผู้เขียนได้รับบทความเรื่อง From Battlefield into Marketplace : The End of the Cold War in Indochina, 1985-9 ของนายบาลาซส์ ซาลอนไท (Balazs Szalontai) ที่นำเสนอในงานประชุมนานาชาติ ณ วิทยาลัยเศรษฐศาสตร์ และรัฐศาสตร์แห่งลอนดอน (LSE) มหาวิทยาลัยลอนดอน เมื่อปลายปีที่แล้ว บทความนี้อยู่ในกระบวนการตีพิมพ์ในนิตยสาร LSE ของปีนี้ (2554)

นายบาลาซส์ ซาลอนไท เป็นชาวฮังการี อดีตอาจารย์จากมหาวิทยาลัยมองโกเลีย ณ กรุงอูลานบาตอร์ ปัจจุบันทำ Post graduate อยู่ที่มหาวิทยาลัยอีสต์ ไชน่า นอร์มาล-East China Normal University (ECNU) ผู้สร้างความฮือฮาให้แก่วงวิชาการ เมื่อเขาได้นำเสนอบทความที่อาศัยข้อมูลจากหอจดหมายเหตุแห่งชาติของฮังการี อันเป็นรายงานจากสถานทูตฮังการีที่ประจำอยู่ในประเทศไทย เวียดนาม กัมพูชา ลาว และอินโดนีเซียเป็นหลัก ในการเขียนบทความทางวิชาการนี้ โดยข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อมูลลับที่ถูกนำไปเก็บไว้ที่หอจดหมายเหตุของกรุงบูดาเปสต์ ประเทศฮังการี ซึ่งนายบาลาซส์ได้นำมาเขียนเป็นบทความทางวิชาการเป็นภาษาดังกล่าว

บทความนี้เริ่มด้วยการกล่าวถึงบทบาทสำคัญของอดีตนายกรัฐมนตรีชาติชาย ชุณหะวัณ ว่าเป็นผู้มีวิสัยทัศน์ในฐานะของนักธุรกิจได้ดำเนินนโยบายการประสานงานให้มีการเจรจาร่วม ระหว่างเขมร 4 ฝ่าย เพื่อยุติการสู้รบ และสนับสนุนให้มีการจัดตั้งรัฐบาลประเทศกัมพูชาภายใต้การนำของพระเจ้านโรดมสีหนุขึ้น เพื่อที่จะได้ทำธุรกิจกันเสียที นโยบายต่างประเทศของรัฐบาลพลเอกชาติชาย มีชื่อเรียกที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายคือ นโยบาย "เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า"
บทความนี้น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งในรายละเอียดของการดำเนินนโยบายที่สามารถอธิบายเหตุผลเชื่อมโยงความสำเร็จของนโยบายเปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า ที่เป็นความลับได้อย่างกระจ่างแจ้งของความร่วมมือของทางการฝ่ายไทย ภายใต้การนำของพลเอกชาติชายกับฝ่ายกัมพูชาที่มีเวียดนามหนุนหลัง ภายใต้การนำของนายฮุน เซน เมื่อ พ.ศ.2532 ที่ร่วมกันบีบเขมรแดงภายใต้การนำของนายพล พต ให้ยอมเข้าร่วมอยู่ในรัฐบาลแห่งชาติกัมพูชา ด้วยการที่รัฐบาลไทยผู้ให้การสนับสนุนฝ่ายเขมรแดงของพล พต มาตั้งแต่ พ.ศ.2518 เมื่อเวียดนามกรีฑาทัพเข้ามายึดครองกัมพูชา ด้วยการยินยอมให้เขมรแดงอาศัยอยู่ตามตะเข็บชายแดนไทย-กัมพูชา เป็นฐานเข้ารังควานฝ่ายเวียดนามโดยตลอด และยังช่วยขนส่งอาวุธยุทธภัณฑ์ที่ส่งมาจากสาธารณรัฐประชาชนจีนให้กับพวกเขมรแดงในช่วง 9 ปีหลังอีกด้วย

ภายหลังที่รัฐบาลชาติชายไม่สามารถเกลี้ยกล่อมให้ฝ่ายเขมรแดงเข้าร่วมรัฐบาลแห่งชาติกับเขมรฮุน เซน และเขมรเสรีได้ ดังนั้น ในช่วงฤดูร้อน พ.ศ.2532 เมื่อทหารเขมรแดงปฏิบัติการในการรังควานและลอบโจมตีในเขตยึดครองของฝ่ายรัฐบาลพนมเปญของฮุน เซน ก็ประสบกับการตอบโต้จากปืนใหญ่ของฝ่ายเขมรฮุน เซน ที่แม่นยำอย่างเหลือเชื่อ ถล่มเขตที่มั่นและเส้นทางลำเลียงของเขมรแดงที่เข้ามายึดพื้นที่เอาไว้เหมือนกับผีจับยัด ซึ่งก็ไม่ใช่เพราะทหารเขมรฮุน เซน ยิงปืนใหญ่เก่งอะไรหรอกครับ หากแต่ฝ่ายไทยได้วิทยุไปบอกพิกัดที่ตั้งของของฝ่ายเขมรแดงให้กับฝ่ายเสนาธิการของทางพนมเปญเท่านั้นเอง

ด้วยสาเหตุนี้ที่ทำให้รัฐบาลชาติชายสามารถบีบเขมรแดงให้ร่วมขบวนการสมานฉันท์ของเขมรได้สำเร็จ

นายบาลาซส์ยังได้ชี้ให้เห็นหลักฐานความขัดแย้งในทางผลประโยชน์ของประเทศระหว่างสหภาพโซเวียตกับเวียดนาม, ความขัดแย้งระหว่างเวียดนามกับลาวและกัมพูชา, ความขัดแย้งของลาว กัมพูชาและกลุ่มประเทศ The Council for Mutual Economic Assistance (COMECON) ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศคอมมิวนิสต์ ที่ร่วมมือทางเศรษฐกิจของยุโรปตะวันออกล้วนเป็นประเทศบริวารของสหภาพโซเวียต อันมีบัลแกเรีย เชคโกสโลวาเกีย โรมาเนีย ฮังการี โปแลนด์ แอลเบเนีย เยอรมนีตะวันออก มองโกเลีย และคิวบา ซึ่งเวียดนาม ลาว กัมพูชา (ฮุนเซน), และภายในกัมพูชาที่กรุงพนมเปญก็มีความขัดแย้งกันเองระหว่างนายเพน โสวัน นายเฮง สัมริน และนายฮุน เซน

นอกจากนี้การที่เวียดนาม ลาว และกัมพูชาได้เข้าเป็นสมาชิกขององค์การอาเซียน ก็เนื่องจากไทยกับอินโดนีเซียมีโลกทรรศน์ที่ขัดแย้งกัน เพราะอินโดนีเซียเห็นว่าสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นภัยคุกคามต่ออินโดนีเซียมากกว่าเวียดนาม และเห็นว่าเวียดนามเป็นศัตรูกับจีน และจีนสนับสนุนเขมรแดง ในขณะที่ไทยเห็นว่าเวียดนามเป็นภัยคุกคามต่อไทยมากกว่าจีน

สนุกครับ...บทความของนายบาลาซส์ น่าเสียดายที่นักประวัติศาสตร์ไทยอ่านภาษาของประเทศที่เคยเป็นคอมมิวนิสต์เดิมไม่ค่อยออก เพราะเอกสารสมัยสงครามเย็นที่อยู่ในหอจดหมายเหตุของประเทศคอมมิวนิสต์เก่านี้ น่าจะให้ความกระจ่างและความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ในเรื่องของสงครามเย็นในภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้เป็นอย่างดี

ที่มา.มติชนออนไลน์
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

"ธิดา"แดง-แรงไม่ตก ทักษิณ-คือผู้ถือหุ้นใหญ่ พันธมิตรฯ-คือผู้วางหมากการเมืองของอำมาตย์

ตัวเลข 3 หมื่นคน คือ จำนวนมวลชนแดงที่หน่วยงานความมั่นคงรายงาน จากวันชุมนุมครั้งล่าสุดของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)

ขณะที่ยอดผู้ชุมนุมอีกสีหนึ่งซึ่งปักหลักข้างทำเนียบรัฐบาลมานานหลายสัปดาห์ มียอดผู้ชุมนุมไม่เกิน 1 พันคน

"ธิดา ถาวรเศรษฐ์ โตจิราการ"  วิเคราะห์ปรากฏการณ์เสื้อเหลือง สะท้อนเสื้อแดง และจัดตำแหน่งทักษิณในฐานะผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของขบวน

@เป้าหมายในการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงในขณะนี้คืออะไร

การเคลื่อนไหวขณะนี้ยังอยู่ใน 3 คอนเซ็ปต์ คือ ต่อต้านรัฐประหาร คัดค้านสงคราม ทวงความยุติธรรม ฉะนั้น ด้านหลักของการเคลื่อนไหว เราจึงเน้นปัญหาความยุติธรรม เพราะสถานการณ์รัฐประหารก็ยังดำรงอยู่ และพวกจารีตนิยมก็ยังอยากได้สงคราม เราจึงคัดค้าน นี่คือเจตนารมณ์ของเรา

@หากมีการเลือกตั้งหรือกรณีแกนนำได้รับการประกันตัวแล้ว จะเป็นจุดเปลี่ยนทำให้ไม่มีเหตุผลในการชุมนุมหรือไม่

อย่าลืมว่าความยุติธรรมไม่ใช่แค่ เรื่องคนที่ถูกจับกุมคุมขัง แต่เป็นความยุติธรรมที่จะต้องรับผิดชอบคนที่ตายไป รัฐบาลยังไม่หาคนผิดมาลงโทษ ไม่มีทั้งความรับผิดชอบทางการเมือง และทางกฎหมาย

เพราะฉะนั้นนี่เป็นภาระหน้าที่ของเราซึ่งแน่นอนเราเรียกร้องประชาธิปไตย เราเห็นด้วยที่จะมีการยุบสภา แต่ปัญหาที่คนเสื้อแดงถูกกระทำ ก็เป็นเรื่องที่คนเสื้อแดงต้องต่อสู้ เพราะแสดงให้เห็นว่าคุณปฏิบัติต่อคนไม่เท่าเทียมกัน

@ปรากฏการณ์คนเสื้อแดงที่เพิ่มมากขึ้น อาจารย์คิดว่าอะไรเป็นปัจจัยหลัก

เรามองในเชิงเปรียบเทียบ สีเสื้อหนึ่งเพิ่มขึ้น ส่วนอีกสีเสื้อหนึ่งลดลง นั่นแปลว่าคนเข้าใจความจริงที่เราบอกมากขึ้น และข้อสำคัญคือเขาเห็นด้วยว่าคนเสื้อแดงถูกกระทำอย่างไม่เป็นธรรม

ในอดีตเราถูกมองว่าเป็นสมุนของคุณทักษิณ เป็นพวกม็อบรับจ้าง แต่ว่า ความเป็นจริงมันเปิดเผยขึ้นมาเรื่อย ๆ และอาวุธความจริงกับความรู้ที่มากขึ้นที่เราให้กับสังคม นี่เป็นสิ่งที่ทำให้คนเสื้อแดงมากขึ้น

@มองฐานะของคุณทักษิณอยู่ในระดับนำหรือเป็นแนวร่วม

เขาเป็นแนวร่วม อย่าลืมว่าเราเป็นองค์กรแนวร่วม ในนี้มีองค์ประกอบ 60-70% ที่รักคุณทักษิณมาก ส่วนที่เหลือคือเฉย ๆ แต่ไม่ถึงกับเกลียด และอาจจะมีคนที่อยากอยู่ห่าง ๆ อีกจำนวนหนึ่ง แต่เราเป็นองค์กรแนวร่วม เราต้องยอม รับความเป็นจริงว่า ความรักคุณทักษิณมันมีเหตุผลของมัน เพราะเขารักตัวเขา รักผลประโยชน์ของเขา เขาหวังว่าคุณทักษิณจะเป็นนายกฯที่ตอบสนองผลประโยชน์ของเขา ฉะนั้น คนเหล่านี้มี loyalty มีความจงรักภักดี แม้ผ่านไปหลายปีแต่เขายังรู้สึกได้ดี เพราะคนไทยเป็นคนซื่อตรง

คนเหล่านี้ยังมีความรักคุณทักษิณ แม้เขารู้ว่าความหวังที่คุณทักษิณจะกลับมามันรางเลือน แต่นี่เป็นนิสัยที่ไม่หักหลังคน ฉะนั้น เมื่อเรามองอย่างนี้ในแนวร่วม เราจึงจำเป็นให้คุณทักษิณอยู่ในฐานะที่มีบทบาทพอสมควร พูดง่าย ๆ คือเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่คนหนึ่งในแนวร่วมนี้

@การก้าวข้ามคุณทักษิณหรือไม่ ยังเป็นประเด็นที่คนเสื้อแดงต้องเลือก หรือไม่

เราไม่สนใจ เพราะคนเสื้อแดงก็รู้ว่าคุณทักษิณประสบปัญหามากมาย แต่เรามีเป้าหมายชัดเจนว่าเราต้องการระบอบประชาธิปไตย เราไม่ต้องการระบอบอำมาตย์ ถ้าเราต่อสู้แบบนี้ คนเสื้อแดงเชื่อว่าคุณทักษิณก็จะได้รับความเป็นธรรมไปด้วย เป็นผลพลอย ได้เพราะเป็นหนึ่งในคนที่ถูกกระทำ ก็ควรได้รับความยุติธรรม ไม่ใช่ว่ายกประโยชน์ให้ทั้งหมด

@คุณชัยวัฒน์ สินสุวงศ์ หนึ่งในแกนนำแนวร่วมฝ่ายเสื้อเหลือง เคยเสนอให้เสื้อแดงมาร่วมกับเสื้อเหลืองเพื่อขับไล่รัฐบาลอภิสิทธิ์ อาจารย์มองว่าเป็นไปได้หรือไม่

เสื้อเหลืองกับเสื้อแดงมีความแตกต่างกันมาก จนไม่สามารถร่วมกันได้ เขาเป็นพวกจารีตนิยมสนับสนุนระบอบ อำมาตยาธิปไตย เราเป็นพวกเสรีนิยมที่ต้องการระบอบประชาธิปไตย เพราะฉะนั้นจุดยืนคนละอย่าง

จารีตนิยมเป็นพวกคลั่งชาติ ทำให้เกิดรัฐประหาร ทำให้เกิดสงคราม มันคนละเรื่องกับเราเลย เขาพอใจที่จะทำให้เกิดรัฐประหาร เขาพอใจที่มีองค์กรมาจากการแต่งตั้ง พอใจที่จะรักษาอำนาจเอาไว้ ฉะนั้น นี่เป็นจุดยืนที่ตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง เป็นคนละเรื่องกับการเคลื่อนไหวของเราเลยไปกันไม่ได้

@เสื้อแดงกับเสื้อเหลืองมีจุดร่วมกันหรือไม่

ต้องแยกประเด็นหลักและประเด็นรอง คุณพูดว่าร่วมกันในแง่ไม่ชอบอภิสิทธิ์ อันนี้โอเค แต่การที่เราไม่ชอบอภิสิทธิ์ เพราะอภิสิทธิ์เป็นส่วนหนึ่งของระบอบอำมาตย์ และไม่รับผิดชอบทั้งทางการเมืองและทางกฎหมายในขณะที่เกิดปัญหา ฉะนั้น เขาไม่สมควรจะอยู่

ขณะที่พันธมิตรฯเสื้อเหลืองเกลียดอภิสิทธิ์ ไม่ใช่เพราะเป็นส่วนหนึ่งของระบอบอำมาตย์ แต่เขาเกลียดเพราะคิดว่าไม่ให้ผลประโยชน์ตามที่เขาควรจะได้

ฉะนั้น การเกลียดอภิสิทธิ์ไม่ใช่เหตุผลที่เสื้อเหลืองกับเสื้อแดงต้องมาจับมือกัน เพราะในที่สุดพวกเขาก็พยายามช่วยเหลือกัน

@พันธมิตรฯยังเป็นม็อบมีเส้นอยู่หรือไม่ มีตัวตนอยู่เพราะอะไร

โอ้..เส้นใหญ่มาก เขาเป็นส่วนสำคัญของระบอบอำมาตย์ เป็นผู้ชี้นำทางการเมือง เป็นผู้บงการทางการเมือง เป็นเสนาธิการของระบอบอำมาตย์ด้วย เขาทำตัวอย่างนั้นแหละ ไม่งั้นมันจะเกิดสงครามไหมล่ะ

ถามว่าอภิสิทธิ์อยากให้เกิดสงครามไหมล่ะ...แต่ว่าอภิสิทธิ์ก็ต้องทำสงคราม ไม่ว่าจะอยากได้หรือไม่อยากได้ก็ตาม จะอ้างว่าใครยิงมาก่อนก็ตาม แต่สงครามเป็นไปตามที่พันธมิตรฯบอกอยู่แล้ว เขาทำตัวเป็นผู้วางหมากทางการเมืองของอำมาตย์

@ปัจจุบันพันธมิตรฯยังทำหน้าที่นั้นอยู่หรือ

ใช่...แม้พันธมิตรฯมีคนไม่กี่ร้อยคน แต่รัฐบาลก็กลัว อภิสิทธิ์ก็กลัว

@คนเสื้อแดงมาชุมนุมเยอะขึ้นเรื่อย ๆ แต่ไม่มีผลให้อำมาตย์หรือรัฐบาลกลัวเสื้อแดง

ก็เพราะเขามีปืน มีกองทัพ มีกระบวนการยุติธรรมอยู่ข้างเขา ถ้าไม่กลัวเราก็ไม่เป็นไร เดี๋ยววันหลังเราจะมาเป็นล้านเลย ไม่กลัวก็ไม่เป็นไรเรารอได้ รอให้คนไทยเข้าใจมากกว่านี้ เราจะอดทนรอ...

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันพุธที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

‘หน่อย’จวก‘มาร์ค’ไร้สามารถจงใจปั่นราคาน้ำมันปาล์ม

“สุดารัตน์” จวก “อภิสิทธิ์” แก้น้ำมันปาล์มผิดพลาดซ้ำซากด้วยไร้ความสามารถ จงใจปั่นราคาปล้นเงินจากคน 60 ล้านคน จับโกหกพื้นที่ปลูกเพิ่มแต่ผลผลิตลด ด้าน “สุเทพ” จ่องดนำเข้า 120,000 ตัน

คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานมูลนิธิไทยพึ่งไทยและอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย กล่าวถึงการแก้ปัญหาราคาน้ำมันปาล์มแพงของรัฐบาลว่า จะเห็นว่าการแก้ปัญหาของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และรัฐบาลผิดพลาดมาตั้งแต่ต้น จนถึงขณะนี้ยังคงแก้ปัญหาผิดพลาดซ้ำซาก แต่จะผิดพลาดด้วยความไร้ความสามารถหรือจงใจทำให้เกิดปัญหาวิกฤตน้ำมันปาล์มเพื่อปั่นราคาก็ยังเป็นคำถามของสังคมอยู่ แต่ไม่ว่าจะเป็นเพราะทำงานไม่เป็นหรือจงใจปั่นราคาก็เป็นการปล้นเงินในกระเป๋าของประชาชน 60 ล้านคน

กลไกการแก้ไขปัญหาปาล์มน้ำมันในอดีตมี 2 อย่าง เหมือนวอลุ่มปรับซ้ายขวาให้สมดุล ซึ่งโดยปรกติรัฐบาลจะมีสต็อกน้ำมันปาล์มอยู่ 200,000 ตัน เป็นตัววัด ถ้าสต็อกลดถึงจุดที่น่ากลัวจะต้องนำเข้าก่อนเป็นช่วงสั้นๆ เพื่อรักษาระดับราคาไม่ให้น้ำมันปาล์มที่ประชาชนบริโภคพุ่งสูง อีกกลไกคือการผลิตไบโอดีเซล เมื่อผลผลิตปาล์มดิบมีมากก็ส่งเข้าผลิตไบโอดีเซลเพิ่มขึ้น เพื่อไม่ให้ผลผลิตปาล์มสดที่เกษตรกรขายราคาตกต่ำจนขาดทุน ในอดีตที่รัฐบาลก่อนทำมาใช้กลไกดังกล่าวทั้งสองขาช่วยได้ทั้งประชาชนและเกษตรกร

คุณหญิงสุดารัตน์กล่าวอีกว่า ขอจับโกหกนายกรัฐมนตรีและนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ที่ท่องคาถาอย่างเดียวว่าผลผลิตปาล์มปีนี้ขาดแคลนเพราะน้ำท่วมผลปาล์มเสียหายนั้นไม่เป็นความจริง ข้อมูลจากกระทรวงเกษตรฯพบว่าปี 2552 พื้นที่ผลิตปาล์มมี 3.1 ล้านไร่ ผลผลิต 8.1 ล้านตัน ปี 2553 พื้นที่ผลิต 3.5 ล้านไร่ ผลผลิต 8.2 ล้านตัน มากกว่าปี 2552 ด้วยซ้ำเพราะพื้นที่ปลูกเพิ่มขึ้น และความจริงตัวเลขสต็อกน้ำมันปาล์มปี 2553 เริ่มมีปัญหาตั้งแต่เดือนกันยายน จาก 200,000 ตัน เหลือ 180,000 ตัน จนมาถึงเดือนตุลาคมหายไปครึ่งหนึ่งเหลือแค่ 130,000 ตัน เดือนพฤศจิกายนเหลือ 90,000 ตัน เดือนธันวาคม 2553 และเดือนมกราคม 2554 ไม่มีเหลือ

รัฐบาลทิ้งเวลาไป 5 เดือนตั้งแต่เห็นสัญญาณในเดือนกันยายน 2553 โดยไม่ทำอะไร เพิ่งมาประชุมคณะกรรมการปาล์มน้ำมันกลางเดือนมกราคม ซึ่งก็ยังแก้ไขผิดวิธีอีก แบบที่ไม่มีใครเขาทำกัน ราคาสินค้าเมื่อขึ้นไปแล้วจะไม่มีทางลง เพราะคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติให้ขึ้นราคาน้ำมันปาล์มขวดก่อน แล้วจึงอนุมัติให้นำเข้าในครั้งแรกแค่ 30,000 ตัน ก็ไม่เพียงพอต่อความต้องการ แต่ตอนหลังกลับมาอนุมัติให้นำเข้า 120,000 ตัน ในช่วงที่เดือนมีนาคมผลปาล์มสดจะออกสู่ตลาดแล้ว

“สิ่งที่เกิดขึ้นคือการบิดเบือนโครงสร้างราคา ต้นเหตุจาก ครม. อนุมัติให้ขึ้นราคาลิตรละ 9 บาท แล้วไปกำหนดราคาปาล์มสดกิโลกรัมละ 11-15 บาท แต่โรงหีบซื้อจากเกษตรกรแค่กิโลกรัมละ 6 บาท ส่วนต่างอย่างน้อยกิโลกรัมละ 5 บาท ซึ่งต้องใช้ปาล์มสดถึง 7 กิโลกรัม ถึงจะได้น้ำมันปาล์ม 1 กิโลกรัม ดังนั้น คิดเป็นเงิน 35 บาทต่อน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ 1 ขวดลิตร เป็นต้นทุนที่ถูกเพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ว่าไปเข้ากระเป๋าใคร ตรงนี้เป็นต้นน้ำที่มีคนรวยกันเยอะ เมื่อปลายน้ำเห็นแล้วอยากรวยบ้างก็กักตุน แต่ไม่ร้ายแรงเท่าต้นน้ำ ดีเอสไอถ้าแน่จริงควรไปดูที่ต้นทาง เรื่องนี้ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนมาก ส่วนจะเป็นการสมรู้ร่วมคิดกันของใคร ทำให้เกิดวิกฤตหรือไม่ ต้องตั้งข้อสงสัยไว้ก่อนว่าเป็นวิธีการบริหารงานที่ผิดปรกติ เป็นหน้าที่ของ ส.ส. และ ส.ว. ที่ต้องเอาคนทุจริตออกมาให้ได้” คุณหญิงสุดารัตน์กล่าว

ด้านนายสุเทพกล่าวถึงการขอนำเข้าน้ำมันปาล์มอีก 120,000 ตันว่า เชื่อว่าจะมีการทบทวนเรื่องการนำเข้าน้ำมันปาล์มอีก 120,000 ตัน เนื่องจากปลายเดือนมีนาคมนี้ผลผลิตปาล์มของไทยจะผลิตออกมาได้ตามความต้องการของผู้บริโภค ซึ่งจะเสนอให้ที่ประชุมพิจารณาในวันที่ 22 ก.พ. เช่นเดียวกับการของบประมาณ 1,000 ล้านบาท เพื่อแทรกแซงราคาน้ำมันปาล์ม

ที่มา.หนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////

พท.เตรียมข้อมูลแฉ"โรงกลั่น"ฟันส่วนต่างน้ำมันปาล์ม 3-5 พันล้าน ในศึกอภิปรายรัฐบาล

แหล่งข่าวระดับสูงจาก พท.แจ้งว่า ทีมเตรียมข้อมูลอภิปรายไม่ไว้วางใจของ พท.ได้ตรวจพบการบริหารจัดการที่ผิดพลาดของคณะกรรมการนโยบายน้ำมันปาล์มแห่งชาติ โดยเริ่มตั้งแต่เดือนกันยายน 2553 ที่จงใจปล่อยให้สต๊อคลดต่ำลงจนเหลือ 0 ในเดือนธันวาคม ทั้งที่ปกติควรมีปาล์มสำรองในสต๊อค 200,000 ตัน ทั้งนี้ ในช่วงที่สต๊อคลดลง รัฐบาลควรแก้ไขปัญหาด้วยการนำเข้าเพื่อไม่ให้มีการฉวยจังหวะขึ้นราคาปาล์มในประเทศ ซึ่งขณะนั้นภาคเอกชนได้เสนอให้นำเข้าปาล์มจำนวน 50,000 ตัน แต่ถูกปฏิเสธ

แหล่งข่าวกล่าวว่า คณะกรรมการนโยบายน้ำมันปาล์มฯตัดสินใจแก้ปัญหา 2 รูปแบบคือ 1.เพิ่มสัดส่วนการนำปาล์มไปผลิตไบโอดีเซล จาก 380,000 ตัน หรือร้อยละ 29 ในปี 2552 เป็น 415,000 ตัน หรือร้อยละ 32 ในปี 2553 ทำให้เหลือปาล์มเพื่อการบริโภคเพียง 890,000 ตัน หรือร้อยละ 68 และ 2.ประกาศขึ้นราคาจำหน่ายถึง 9 บาท จาก 38 บาท/ลิตร เป็น 47 บาท/ลิตร โดยอ้างว่าผลปาล์มดิบขาดตลาดเนื่องจากปัญหาอุทกภัย อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบข้อมูลจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พบว่าผลิตผลปาล์มสดในปี 2553 มากกว่าปี 2552 ถึง 60,432 ตัน โดยเพิ่มจาก 8,162,703 ตัน เป็น 8,223,135 ตัน

"ความผิดปกติของเรื่องนี้อยู่ที่การกินส่วนต่างของขาใหญ่ในวงการปาล์ม แม้มีการประกาศรับซื้อปาล์มสดจากเกษตรกรที่หน้าโรงหีบในราคา 11 บาท/กิโลกรัม แต่เอาเข้าจริงเจ้าของโรงหีบ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหัวคะแนนของนักการเมือง ได้กดราคาขายเหลือแค่ 6-7 บาท/กิโลกรัม จากนั้นเมื่อเข้าสู่กระบวนการหีบน้ำมัน ราคาต้นทุนการผลิตควรอยู่ที่ 37.28-44 บาท แต่พอออกจากโรงหีบไปที่โรงกลั่นน้ำมันพืชกลับมีการบวกส่วนต่างอีก 12.72-24 บาท ทำให้ราคาทุนก่อนกลั่นเป็นน้ำมันพืชอยู่ที่ 50-68 บาท เมื่อบวกค่ากลั่นอีก 15 บาท เป็น 65-83 บาท ทำให้ประชาชนไม่มีโอกาสบริโภคน้ำมันปาล์มในราคา 47 บาทตามที่กระทรวงพาณิชย์ประกาศไว้ เนื่องจากมีการกินส่วนต่าง 2 ช่วงคือ จากเกษตรเข้าโรงหีบ และจากโรงหีบออกไปโรงกลั่นน้ำมันพืช" แหล่งข่าวกล่าว

แหล่งข่าวกล่าวว่า จากการตรวจสอบพบว่ามีโรงกลั่นน้ำมันประมาณ 60 แห่งทั่วประเทศ แต่มีเจ้าของจริงๆ เพียง 16 เจ้า แต่ถือหุ้นไขว้กันไปมา โดยคาดว่าจะฟันกำไรในช่วง 2 เดือนนี้ประมาณ 3,000-5,000 ล้านบาท

ที่มา.มติชนออนไลน์
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////

'ภูมะเขือ'เสียงปืนรบจะดังอีก-'ฮุน มาเนต'ตัวการ

ทำไมทหารไทยทิ้งฐานภูมะเขือ ปล่อยเขมรยึดไปทั้งๆที่ต้องสร้างกระเช้าส่งทหารมายึด และถ้าถนนจากโกมุยถึงปราสาทเสร็จ ตอนนั้นไทยจะเสียเปรียบยิ่งนัก

ถึงช่วงหน้าแล้งของทุกปี ภูเขาลูกเล็กๆ แห่งนี้จะถูกไฟไหม้เกือบหมด พอเข้าหน้าฝน ดินที่แห้งแล้งได้ความชื้นจากน้ำฝน พืชพรรณต่างๆ ก็โผล่ขึ้นจากพื้นดิน และในจำนวนนี้จะมีต้นมะเขือพันธุ์หนึ่งเกิดขึ้นกระจายเต็มทั้งภูเขามีลักษณะลูกเล็ก ๆ ใหญ่เต็มที่แค่นิ้วหัวแม่มือ บางคนเรียก "มะเขือลาย" ซึ่งเป็นที่มาแห่งชื่อ "ภูมะเขือ"

ในทางยุทธศาสตร์ “เขาพระวิหาร” ชัยภูมิของ"ภูมะเขือ" ทำให้กำลังฝ่ายเขมรได้พอฟัดพอเหวี่ยงกับทหารไทย เนื่องจากเป็นภูสูง เมื่อยึดเป็นที่ตั้งฐานปืนใหญ่ได้ก็รบกับไทยได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ

แต่ที่ผ่านมา กว่าที่กัมพูชาจะขึ้นมาบนภูมะเขือได้ จะต้องขึ้นบันไดสูงชันกว่า 936 ขั้น ต่อมา กัมพูชาได้สร้างกระเช้าขึ้น 2 ขนาด ขนาดเล็กบรรทุกได้เที่ยวละ 5 - 10 คน กระเช้าใหญ่บรรทุกได้เที่ยวละ 15 - 20 คน นอกจากนี้ก็บรรทุกลำเลียงเสบียง และอาวุธยุทโธปกรณ์ขึ้นมาด้วย

จุดที่ตั้งของกระเช้า ทหารไทยเรียกว่า “หัวโด่” ส่วนชาวบ้านจะเรียกพลาญหินตรงนั้นว่า “พะลานถ้ำพระ” ซึ่งเป็นลานหินขนาดกว้างใหญ่พอสมควร เมื่อก่อนทหารพรานของไทยเคยตั้งฐานปฏิบัติการ แต่กลับถอนกำลังออกจากบริเวณนั้น อย่างไม่มีเหตุผล

ปัจจุบันทหารช่างกัมพูชากำลังระเบิดหน้าผาเพื่อปรับพื้นที่ตัดถนนจากหมู่บ้านโกมุย ต.กันต๊วจ อ.จอมกระสาน จ.พระวิหาร ขึ้นมาที่ภูมะเขือ ถนนเส้นนี้จะตัดผ่านวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ มุ่งหน้าไปหาปราสาทพระวิหาร ซึ่งขณะนี้คืบหน้าไปแล้วประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ และเมื่อถนนเสร็จแล้ว จะเป็นทั้งถนนเส้นทางเศรษฐกิจที่จะรองรับแผนบริหารจัดการรอบปราสาทพระวิหารของกัมพูชา ที่กำลังจะได้รับพิจารณาเป็นมรดกโลกในเร็ว ๆนี้ด้วย

ที่สำคัญจะเป็นถนนเส้นยุทธศาสตร์การทหาร ใช้ลำเลียงกำลังพลและอาวุธยุทโธปกรณ์ จากฐานปฏิบัติการที่ใกล้ชายแดนเขาพระวิหาร ซึ่งประกอบด้วย กองพลน้อยสนับสนุนที่ 3 พลโทซะรัย ดึ๊ก เป็น ผบ.พัน กองบัญชาการตั้งอยู่ที่บ้านเปี๊ยะสะแบก ต.กันต๊วด อ.จอมกระสาน จ.พระวิหาร มีกำลังพลประมาณ 3,000 นาย

ถัดไปเป็นกองพลสนับสนุนที่ 7 มีพลตรี วา เซือน เป็น ผบ.พัน กองบัญชาการตั้งอยู่ บ้านกะดล ต.กันต๊วด อ.จอมกระสาน มีกำลังพล 900 นาย และกองพลสนับสนุนที่ 8 มีพลตรี ยึม ปึน เป็นผบ.พัน กองบัญชาการตั้งอยู่ บ้านจารี ต.กันต๊วด มีกำลังพล 1,500 นาย ถัดออกไปอีกจะมี กองพลสนับสนุนที่ 9 มี พล.ต.กล ไว เป็น ผบ.พัน กองบัญชาการตั้งอยู่ ต.ตึ๊กกรอโฮม อ.จอมกระสาน จ.พระวิหาร มีกำลังพลประมาณ 1,000 นาย

"ภูมะเขือ"นอกจากฝ่ายกัมพูชาจะวางกำลังทหารหน่วยหลักประชิดชายแดนไว้แล้ว ยังมีการเสริมกำลังทหารจากหน่วยรบพิเศษ ที่รู้จักกันในนาม "รพศ.911" สวมหมวกเบเรต์ สีเขียว พลโท จ๊าบ เพียะกะเด็ย เป็น ผบ.พัน กำลังพลประมาณ 1,600 นาย ก็ได้รับคำสั่งให้เสริมกำลังเข้ามาสนับสนุนภารกิจชายแดนเขาพระวิหารด้วยเช่นกัน

ที่น่าจับตาต้องเป็น กองพลน้อยรักษาความปลอดภัย 70 (รปภ.70) เดิมมี พลเอกเฮิง บุญเฮง ที่ปรึกษาส่วนตัวสมเด็จฮุน เซน เป็น ผบ.พล ปัจจุบันถูกแทนที่ด้วย พลโทฮุน มาเนต ลูกชายคนโตของสมเด็จฮุน เซน อายุเพียง 33 ปีขึ้นมากุมกำลัง รปภ.70 ที่มีอยู่กำลังพลประมาณา 6,000 นาย เรียกว่าเป็นฐานกำลังองครักษ์ที่เข้มแข็งมาก

ข่าววงในกองทัพกัมพูชาเปิดเผยว่า นี่เป็นชนวนให้นายทหารรุ่นเก่าแก่ ที่เคยรบเคียงบ่าเคียงไหล่สมเด็จฮุน เซน ไม่พอใจ พลโทฮุน มาเนต อย่างมากที่ถูกข้ามหัว ดังนั้น จึงเป็นสาเหตุให้กองทัพกัมพูชาระส่ำระสายพอสมควร

นักรบสังกัด รปภ.70 ได้รับฉายา “นักรบกำเปรี๊ยะ” ขึ้นตรงกับสมเด็จฮุน เซน เกือบทั้งหมดเป็นเด็กกำพร้าที่พ่อแม่ตายจากภัยสงคราม สมเด็จฮุน เซน ได้เก็บเด็กเหล่านั้นมาชุบเลี้ยง ส่งเสียให้เรียนวิชาทหารและการรบทุกรูปแบบเพื่อทำหน้าที่อารักขาสมเด็จฮุน เซนกับครอบครัวโดยเฉพาะ ดังนั้น ทหารพวกนี้จึงพร้อมจะถวายชีวิตทุกเมื่อ

แหล่งข่าวด้านความมั่นคงตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ระบุด้วยว่า ภายหลังการเจรจาหยุดยิงเมื่อวันที่ 5 ก.พ.ที่ผ่านมา ระหว่างพลโทธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาคที่ 2 กับ พลเอกเจีย มอน แม่ทัพภูมิภาคที่ 4 พลโทซะรัย ดึ๋ก ผบ.พล.สสน.ที่ 3 ของกัมพูชา ที่ช่องสะงำ ต.ไพรพัฒนา อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ คล้อยหลังการเจรจาหยุดยิงไม่กี่ชั่วโมง เสียงปืนก็ดังขึ้นอีกที่บริเวณภูมะเขือ จากนั้นก็เปิดฉากปะทะด้วยปืนใหญ่อย่างหนักหน่วงที่สุดในประวัติศาสตร์

คำถาม ทำไมกัมพูชาถึงล้มโต๊ะเจรจา? สรุปก็คือเป็นฝีมือของ “นักรบกำเปรี๊ยะ” บัญชาการโดยลูกชายหัวแก้วหัวแหวนทายาททางทหารและทางการเมือง นี่เอง แต่สำหรับนายทหารรุ่นเก่าแก่ รู้ว่าไม่มีประโยชน์จะรบกับทหารไทย เพราะมีแต่จะสูญเสีย

แต่ พลโทฮุน มาเนต ไม่คิดอย่างนั้น เขากลับเติมเชื้อไปสงครามด้วยการสั่ง“นักรบกำเปรี๊ยะ” ยิงยั่วยุฝ่ายไทยอย่างต่อเนื่อง เพื่อต้องการให้ไทยเปิดฉากยิงโต้ตอบกลับไปให้เกิด “สงครามเต็มรูปแบบ” เหตุผลส่วนตัวคือต้องการโชว์พาว ศักยภาพของตัวเองให้สมเด็จบิดาเชื่อมั่นความสามารถว่า จะควบคุมกองทัพสืบทอดอำนาจจากเขาได้ เหตุผลรองมาคือเมื่อเกิดสงครามขึ้นแล้ว จะเรียกร้องความเห็นใจจากประเทศพี่ใหญ่ ว่าถูกไทยรังแก และเข้ามาสนับสนุนการสู้รบ

ขณะเดียวกัน สมเด็จฮุน เซน ก็จะได้คะแนนเสียงในการเลือกตั้งสมัยหน้าที่ใกล้จะถึงอย่างท่วมท้น ในฐานะทำสงครามปกป้องการรุกรานจากประเทศไทยที่ใหญ่กว่า

วันนี้ ข้อพิพาทระหว่างไทย - กัมพูชา ไม่ใช่เรื่องทวิภาคีแล้ว ได้ขยับไปถึงเวทีโลกแล้ว ภายใต้ข้อเรียกร้องของสหประชาชาติให้ทั้งสองประเทศหยุดยิง แล้วหันหน้ามาเจรจากันด้วยสันติวิธี แต่ฝ่ายกัมพูชายังไม่บรรลุจุดประสงค์ จึงคงยั่วยุไม่หยุด จากนี้ต้องขึ้นกับฝ่ายไทยว่า จะใช้ความสงบ สยบความเคลื่อนไหว ไปได้นานสักแค่ไหน

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันอังคารที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ลิเบียกวาดล้างผู้ประท้วงยังหนักหน่วง

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า สถานการณ์ภายในลิเบียนั้น มีแต่รายงานการกวาดล้างผู้ประท้วงอย่างหนักหน่วง ในกรุงทริโปลี ขณะที่เจ้าหน้าที่รัฐบาลทั้งในและต่างประเทศ พากันลาออก และมีรายงานนักบินของกองทัพอากาศแปรพักตร์ด้วย พวกทหารรับจ้างได้ใช้เครื่องขยายเสียงประกาศไม่ให้ประชาชนออกจากบ้าน ส่วนกองกำลังรักษาความมั่นคงได้พยายามระงับเหตุการณ์ความไม่สงบ ที่ลุกลามไปยังพื้นที่ส่วนอื่น ๆ ทางตะวันออกของประเทศ ส่วนเมืองเบนกาซีที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองของประเทศ ตกอยู่ในความครอบครองของผู้ประท้วง แยกจากเมืองหลวงที่มีประชากร 2 ล้านคน และกำลังปั่นป่วนอย่างหนัก

สถานีโทรทัศน์ของรัฐ รายงานว่า ทหารได้บุกเข้าไปยังที่ซ่อนตัวของพวกบ่อนทำลาย และเรียกร้องให้สาธารณชนสนับสนุนกองกำลังรักษาความมั่นคง ส่วนสถานภาพของพันเอกกัดดาฟี่ล่าสุดนั้น พบว่า เขาสูญเสียการสนับสนุนจากชนเผ่าสำคัญอย่างน้อยหนึ่งเผ่า ,หน่วยทหารหลายหน่วย และนักการทูตของเขาเอง รวมทั้งพวกที่ประจำอยู่ที่สหประชาชาติด้วย สภาพภายในกรุงทริโปลี เหมือนถูกปิดตายมาตั้งแต่วันจันทร์ โรงเรียน สถานที่ราชการและร้านค้าส่วนใหญ่พากันปิด ยกเว้น ร้านขนมปังบางแห่ง

ผู้เห็นเหตุการณ์ เปิดเผยว่า กลุ่มที่เรียกตัวเองว่า " คณะกรรมการปฏิวัติ " ซึ่งมีอาวุธ ได้ออกไล่ล่าผู้ประท้วงในกรุงทริโปลี มหาศาลาประชาชนที่เป็นอาคารหลักที่ใช้ในการประชุมสำคัญของรัฐบาล ถูกจุดไฟเผา ต่างจากเมืองเบนกาซี ที่ผู้ประท้วงพากันโบกธงของราชวงศ์ ที่ถูกพันเอกกัดดาฟี่ โค่นอำนาจ เฉลิมฉลองชัยชนะ

ขณะที่ผู้ประท้วงจะเรียกร้องให้ไปชุมนุมกันที่จตุรัสกรีน และด้านนอกที่พำนักของพันเอกกัดดาฟี่ แต่ผู้เห็นเหตุการณ์ระบุว่า มีเฮลิคอปเตอร์หลายลำ บินอยู่บนท้องฟ้า ขณะที่กลุ่มมือปืนที่อยู่ในรถยนต์ ได้เปิดฉากสาดกระสุน ไม่เว้นแม้แต่อาคารบ้านเรือน เพื่อนข่มขวัญประชาชน พวกวัยรุ่นที่พยายามไปรวมตัวกันตามท้องถนน ต้องแตกกระจายหนีกระสุนปืนมีคนจำนวนหนึ่ง ร้องไห้อยู่กับศพเหยื่อกระสุนบนถนน การสื่อสารในกรุงทริโปลี ถูกตัดขาดโดยสิ้นเชิง ประชาชนไม่สามารถติดต่อกับโลกภายนอกทางโทรศัพท์ได้อีกต่อไป

ที่มา.เนชั่น
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

รัฐสภาอังกฤษจ่อสอบสลายคนเสื้อแดงกดดันหาตัวคนผิด

ส.ส.อังกฤษส่งสัญญาณผลักดันให้รัฐสภาสอบเรื่องการสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงในประเทศไทย ระบุจะช่วยกดดันให้นำตัวผู้ทำความผิดมารับโทษหลังรู้ข้อมูลแล้วรับไม่ได้กับการทำให้ประชาชนบาดเจ็บ และเสียชีวิตจำนวนมาก ด้านตัวแทนสื่อ ตัวแทนองค์กรต่างประเทศ เห็นตรงกันปัญหาของไทยเกิดจากโครงสร้างและสถาบันต่างๆ ประธานคณะกรรมการติดตามสถานการณ์บ้านเมือง วุฒิสภา หมดความอดทนหลังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยกันปกปิดตัวเลขค่าใช้จ่ายของ ศอฉ. มีมติทำเรื่องให้สำนักงบประมาณชี้แจงโดยตรง โฆษกเพื่อไทยปูดบิ๊กในรัฐบาลและฝ่ายความมั่นคงสุมหัวโรงแรมย่านถนนวิภาวดี ให้จับตาต่ออายุ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯอาจมีสถานการณ์ให้ขยายไปใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินอีก

น.ส.ขวัญระวี วังอุดม ผู้ประสานงานศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายชุมนุมกรณีเมษายน-พฤษภาคม 2553 (ศปช.) กล่าวถึงผลสรุปการเดินทางไปร่วมสัมมนาและแลกเปลี่ยนประสบการณ์เกี่ยวกับความรุนแรงทางการเมืองในไทยต่อหน่วยงานด้านสิทธิมนุษยชนสากล ตามคำเชิญของรัฐสภาอังกฤษ ที่ประเทศอังกฤษเมื่อเร็วๆนี้ว่า ได้รายงานเรื่องสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศไทยโดยเฉพาะกรณีการสลายการชุมนุมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน หรือกลุ่มคนเสื้อแดงเมื่อเดือน เม.ย.-พ.ค. ปีที่แล้ว ทั้งนี้ ยืนยันว่า ศปช. ไม่ใช่ผู้กุมความจริงทั้งหมด และตระหนักในข้อจำกัดบางประการ เช่น ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลของฝ่ายรัฐบาลหรือทหารได้

ศปช. หวังข้อมูลที่ให้เป็นประโยชน์

“สิ่งที่นำเสนอของ ศปช. เป็นเพียงข้อเท็จจริงบางส่วน และหวังว่าจะเป็นเหมือนจิ๊กซอว์หวังให้สังคมช่วยกันปะติดปะต่อ ดิฉันยังพูดถึงการใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินหรือ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน การปิดสื่อ การใช้กำลังเกินกว่าเหตุในการสลายชุมนุม รวมทั้งกระบวนการยุติธรรมกรณีจับกุมกลุ่มผู้ชุมนุมและควบคุมตัว การสูญหายของผู้ชุมนุม แม้ยังยืนยันไม่ได้ว่ามีผู้ชุมนุมหายจริงหรือไม่ และด้วยสาเหตุจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐหรือไม่ ตลอดจนการคุกคามจากเจ้าหน้าที่รัฐทุกรูปแบบ”

เห็นตรงกันไทยมีปัญหาโครงสร้าง

น.ส.ขวัญระวีกล่าวอีกว่า ในเวทีสัมมนาได้ให้เวลาผู้เข้าร่วมสัมมนาประกอบด้วยพรรคการเมืองต่างๆของอังกฤษ เช่น Conservative นักข่าวจากสำนักข่าวรอยเตอร์, Guadian, Sunday times องค์กรพัฒนาเอกชนหรือเอ็นจีโอ เช่น Big Brother Watch, Human Rights Watch ตัวแทนสถานทูตสหรัฐ ตัวแทนจากสถานทูตไทย นายเชิดเกียรติ อัตถากร ตลอดจนนักศึกษาไทยและต่างชาติในอังกฤษ รวมถึงบุคคลทั่วไปร่วมแสดงความคิดเห็น โดยส่วนใหญ่ระบุว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นในเมืองไทยเป็นปัญหาในเชิงโครงสร้างและสถาบันต่างๆ

แฉตัวแทนฝั่งสหรัฐตามอุ้มรัฐบาล

“ที่เป็นประเด็นมากที่สุดคือ การแสดงความคิดเห็นของ มร.แบรด อดัมส์ (Mr.Brad Adams) ผู้อำนวยการแผนกเอเชียจากองค์กรสิทธิมนุษยชนสากล (Human Rights Watch) ของสหรัฐ ซึ่งเปิดประเด็นโดยบอกในลักษณะที่ว่า การละเมิดสิทธิและการลอยนวลมีเรื่องการเมืองและผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง ปัญหาที่เกิดขึ้นของสังคมไทยเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมานาน นอกจากนั้นกรณีเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อ เม.ย.-พ.ค. 2553 กลุ่มคนเสื้อแดงมีแผนเผาบ้านเผาเมืองจริง”

น้องช่างภาพอิตาลีโวยคดีไม่คืบหน้า

น.ส.ขวัญระวีกล่าวอีกว่า สำหรับน้องสาวนายฟาบิโอ โนเลนกี้ ช่างภาพชาวอิตาลี ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมที่ได้รับเชิญให้ร่วมสัมมนาครั้งนี้ได้พูดถึงการเสียชีวิตของพี่ชายว่า จากการตรวจสอบคดีความต่างๆล่าสุดพบว่าไม่มีความคืบหน้าใดๆ โดยเฉพาะไม่ทราบเกี่ยวกับรายงานใดๆของกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอ และยืนยันนายฟาบิโอไม่ได้เกี่ยวข้องกับกลุ่มการเมืองใด และไม่คิดที่จะเข้าไปข้องเกี่ยว เพราะลำพังแค่การเมืองของอิตาลีเขาก็ยังไม่เข้าใจ

ส.ส.อังกฤษดันสภาสอบสลายเสื้อแดง

“เท่าที่ได้ฟังเสียงปฏิกิริยาจากหลายฝ่ายพบว่าการสัมมนาครั้งนี้ได้รับเสียงตอบรับดีมาก โดยมี ส.ส. ของอังกฤษคนหนึ่งส่งจดหมายมาว่า รู้สึกเห็นใจและจะช่วยผลักดันเรื่องเข้าสู่รัฐสภาอังกฤษ เพื่อกดดันให้นำตัวผู้กระทำผิดในเหตุการณ์สลายการชุมนุมจนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมากมารับผิดชอบให้ได้” น.ส.ขวัญระวีกล่าว

ส.ว. ไล่บี้เปิดเผยค่าใช้จ่าย ศอฉ.

นายจิตติพจน์ วิริยะโรจน์ ส.ว.ศรีสะเกษ ประธานคณะกรรมการติดตามสถานการณ์บ้านเมือง วุฒิสภา เปิดเผยว่า หลังพยายามเชิญผู้เกี่ยวข้องมาชี้แจงเรื่องการใช้จ่ายงบประมาณของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) หลายครั้ง แต่คนที่มาชี้แจงส่วนใหญ่เป็นตัวแทนของผู้ที่คณะกรรมการเชิญไปจึงไม่สามารถให้รายละเอียดอะไรได้ ดังนั้น คณะกรรมการจึงมีมติให้ทำหนังสือสอบถามเรื่องนี้โดยตรงกับสำนักงบประมาณเพื่อขอรับทราบตัวเลขการเบิกจ่าย

ทำเรื่องถามสำนักงบประมาณ

“คนที่มาชี้แจงส่วนมากเป็นแค่ตัวแทน มาแล้วก็ให้รายละเอียดอะไรไม่ได้ อ้างว่าไม่รู้บ้าง ไม่มีอำนาจบ้าง การทำงานที่ผ่านมาคณะกรรมการรู้แค่มีการจัดงบแยกเป็น 3 ส่วนคือ งบลับ งบปรกติที่ประทับตราลับ และงบเยียวยา รายละเอียดว่าใช้จ่ายเท่าไร อย่างไร คนที่มาชี้แจงให้ข้อมูลไม่ได้เลย คณะกรรมการจึงมีมติให้ทำเรื่องสอบถามไปที่สำนักงบประมาณ” นายจิตติพจน์กล่าว

ชี้พยายามอย่างไรก็ปิดไม่อยู่

ส่วนกรณีที่มีกระแสข่าวว่า ศอฉ. ใช้จ่ายงบประมาณไปหลายหมื่นล้านบาทนั้น นายจิตติพจน์กล่าวว่า ยังไม่ทราบตัวเลขที่แน่ชัด แต่เท่าที่ทราบอย่างไม่เป็นทางการก็มากพอสมควร แต่สุดท้ายเรื่องนี้ต้องถูกเปิดเผยออกไป คงไม่สามารถปิดบังได้ เพราะรัฐบาลต้องรายงานเรื่องนี้ต่อฝ่ายนิติบัญยัติ แต่ไม่รู้ว่าจะรายงานได้เมื่อไรทั้งที่ ศอฉ. ถูกยุบไปนานแล้ว

ปูดมีบิ๊กสุมหัวหารือที่โรงแรม

นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีการชุมนุมของกลุ่มต่างๆเมื่อวันที่ 19 ก.พ. ที่ผ่านมาว่า สะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลนี้จนตรอกและใกล้ถึงทางตันแล้ว ล่าสุดมีคนในรัฐบาลไปหารือในโรงแรมหนึ่งหนึ่งย่านถนนวิภาวดีกับบิ๊กความมั่นคง บอกว่าหากมีม็อบอย่างนี้ ยืดเยื้ออย่างนี้ เลือกตั้งครั้งหน้ารัฐบาลจะลำบาก จึงห่วงว่ารัฐบาลนี้จะดำเนินการแบบสติแตก อยากเตือนรัฐบาลว่าควรตั้งสติในการแก้ปัญหา และควรนำคนในพรรคประชาธิปัตย์ที่เก่งๆหลายคนมาใช้งาน หยุดการกินมูมมามเพื่อกอบโกย ถอนทุน หรือสะสมทุนเอาไว้เลือกตั้ง

ให้จับตาต่ออายุ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ

“การประชุมคณะรัฐมนตรีวันที่ 22 ก.พ. นี้จะมีการต่ออายุการใช้ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรออกไปอีกแน่นอน หลังของเดิมครบกำหนดในวันที่ 23 ก.พ. และมีแนวโน้มเป็นไปได้มากว่าต่อไปอาจนำ พ.ร.ก.ฉุกเฉินมาใช้อีกครั้ง เพราะการคุยกันของตัวแทนรัฐบาลและบิ๊กจากฝ่ายความมั่นคงที่โรงแรมย่านถนนวิภาวดีทราบว่าอาจมีการสร้างสถานการณ์ยั่วยุขึ้นมาเพื่อยกระดับจาก พ.ร.บ.ความมั่นคงฯไปเป็น พ.ร.ก.ฉุกเฉิน” โฆษกพรรคเพื่อไทยกล่าว

เสื้อเหลืองติงแดงกดดันศาลไม่เหมาะ

นายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการพรรคการเมืองใหม่ แถลงว่า การเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงกำลังมุ่งเป้าไปที่อำนาจตุลาการ และกระบวนการยุติธรรมเพื่อบีบศาลให้ประกันตัวแกนนำที่ยังอยู่ในเรือนจำ ซึ่งถือว่าไม่เหมาะสม เพราะเป็นการสร้างแบบอย่างที่ไม่ดี ต่อไปใครไม่เห็นด้วยกับกระบวนการยุติธรรม คำตัดสินของศาลก็ก่อม็อบขึ้นมากดดัน

อ้างเคาะประตูให้มีปฏิวัติรัฐประหาร

“วิธีการเคลื่อนไหวของ นปช. สุ่มเสี่ยงต่อการเกิดความไร้ระเบียบในบ้านเมือง และอาจนำไปสู่การทำปฏิวัติรัฐประหารอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผมแปลกใจที่คนเสื้อแดงประกาศว่าไม่เอาปฏิวัติรัฐประหาร แต่ทำไมจึงเลือกที่จะเคลื่อนไหวในลักษณะนี้ เพราะเท่ากับเป็นการเปิดประตูให้เกิดการปฏิวัติรัฐประหารอีกครั้ง” นายสุริยะใสกล่าว

ผอ.ศอ.รส. ยันจำเป็นต่ออายุกฎหมาย

พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์รักษาความสงบภายใน (ผอ.ศอ.รส.) กล่าวภายหลังการเข้าพบนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เพื่อเสนอให้รัฐบาลต่ออายุการใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯว่า ได้เรียนให้นายกรัฐมนตรีรับทราบเป็นการเบื้องต้นถึงความจำเป็น และในวันที่ 21 ก.พ. นี้จะชี้แจงเหตุผลต่อไป

“ได้ขอขยายการบังคับใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯออกไปอีก 15 วัน แต่จะลดพื้นที่การบังคับใช้ลง การใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯยังมีความจำเป็น เพราะเป็นเครื่องมือที่สามารถใช้ควบคุมสถานการณ์ได้” ผบ.ตร. กล่าว

อ้างเพราะกฎหมายพิเศษจึงไม่วุ่นวาย

ผู้สื่อข่าวถามว่า ที่ประกาศใช้มากฎหมายไม่สามารถบังคับใช้ได้จริง การต่ออายุจะมีประโยชน์อะไร พล.ต.อ.วิเชียรกล่าวว่า การบังคับใช้ช่วงที่ผ่านมาได้ผลในระดับหนึ่ง เช่น การประชุมรัฐสภาเพื่อลงมติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระที่ 3 เมื่อวันที่ 11 ก.พ. ที่ผ่านมา เดิมทีผู้ชุมนุมจะเคลื่อนการชุมนุมไปปิดล้อมรัฐสภา แต่เมื่อประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นฯคงทำให้เจ้าหน้าที่มีเครื่องมือในการทำงาน ประกอบกับความพร้อมในการจัดวางกำลัง ความวุ่นวายในบ้านเมืองจึงไม่เกิดขึ้น ดังนั้น การใช้พ.ร.บ.ความมั่นคงฯจึงยังมีความจำเป็น

ไม่กระทบสิทธิประชาชนทั่วไป

เมื่อถูกถามต่อว่า จะเจรจากับแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยให้เปิดพื้นที่การจราจรได้เมื่อไร พล.ต.อ.วิเชียรกล่าวว่า จะพยายามขอพื้นที่การจราจรคืนจากผู้ชุมนุมให้ได้ ส่วนที่มีหลายประเทศออกประกาศเตือนพลเมืองไม่ให้เดินทางมากรุงเทพฯ เพราะรัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ทำให้ไม่มั่นใจในสถานการณ์นั้น ยืนยันว่าการประกาศใช้กฎหมายไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของพี่น้องประชาชน กฎหมายไม่ได้จำกัดสิทธิเสรีภาพ เพราะเป้าหมายของการประกาศใช้กฎหมายคือการควบคุมผู้ชุมนุม และขอคืนพื้นที่จราจรบางส่วนเท่านั้น

ที่มา. จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ถ้าไม่อยากโดนปฏิวัติ..โปรดฟัง อีกครั้ง!

ร่อนลงกลางวงนักข่าว ลุยดงปากเหยี่ยวปากกานักข่าว กลางวงเสวนา “ชมรมคอลัมนิสต์ นักจัดรายการวิทยุและโทรทัศน์ไทย” คุยแบบเป็นกันเองตามสไตล์ “บิ๊กบัง-พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน” หัวหน้าพรรคมาตุภูมิ ในท่ามกลางสารพัดข่าวลือข่าว ปล่อยเกี่ยวกับสถานการณ์ปฏิวัติที่โชยกลิ่นคละคลุ้ง ในปริมณฑลการเมืองไทย

คำถามอันดับแรกๆ ยิงตรงเป้าถามใจรุ่นพี่วัดใจน้องเลิฟอย่าง “บิ๊กตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ผบ.ทบ.คนปัจจุบัน ด้วยสารพัน ปัญหาอันทอดยอดไปถึงเหตุบ้านการเมืองที่วุ่นวายในท้ายที่สุด “บิ๊กตู่” จะเลือกเดินตามรอย “บิ๊กบัง” กระทำการปฏิวัติรัฐประหารเฉกเช่นคืนวันเก่าๆ ครั้ง 19 กันยายน 2549 หรือไม่???

แม้จะไม่ยอมตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำ แต่ในทุกวลีที่เจรจา ล้วนสะท้อนนัยแห่ง ลับ ลวง พราง ตามแบบต้นตำรับอย่าง “บิ๊กบัง”

“ทำปฏิวัตินั้นทำไม่ยาก แต่ถ้าทำไปแล้วสิ่งแวดล้อม รอบข้างทั้งภายในและภายนอกประเทศเขาจะยอมรับ หรือไม่”

“ส่วนตัวผมถ้าได้อ่านหนังสือปรัชญาการเมือง 10 ข้อของ นิโคโล มาเคลเวลลี่ ก่อนผมคงไม่ตัดสินใจ ปฏิวัติรัฐประหาร 19 กันยายน”

ขยายความถอดรหัสจากปรัชญาของ “มาเคลเวลลี่” ที่เขียนไว้ในหนังสือ “THE PRINCE” อันมีเนื้อหาเกี่ยวเนื่องถึงเกมการชิงอำนาจ เสนอแนวคิดทางการเมืองแบบ ใหม่ ที่สนับสนุนการใช้อำนาจและความรุนแรง ซึ่งแยกย่อย ออกเป็น 10 ข้อดังนี้

1.แยกการเมืองออกจากศาสนา (secularization) สำหรับแมคเคียเวลลี การเมืองและศาสนาเป็นคนละเรื่องกัน การเล่นการเมืองไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงศีลธรรมจรรยา ซึ่งไม่เคยมีใคร เสนอแนวคิดแบบนี้มาก่อน ในขณะที่เพลโตที่บอกว่าผู้ปกครองควรมีคุณธรรม ออกัสติน บอกว่าต้องเชื่อฟังพระเจ้า แต่แมคเคียเวลลีเป็นคนแรกที่บอกว่า การเมืองต้องแยกจากศาสนา ศีลธรรม จรรยา และพระเจ้า

2.รัฐเป็นสิ่งสูงสุด ความต้องการของแต่ละคนที่เข้ามารวมตัวเป็นรัฐคือผลประโยชน์ รัฐจึงเป็นตัวแทนของบุคคลในการหาและรักษาผลประโยชน์ ดังนั้น การคงอยู่ของรัฐและเจตจำนงของรัฐจะต้องอยู่เหนือสิ่งอื่นใด แม้กระทั่งปัจเจกบุคคล

3.ต้องแยกรัฐออกจากศีลธรรมจรรยา ดังนั้น จึงไม่อาจพูดได้ว่ารัฐทำผิดหรือถูก เช่นเดียวกับบุคคลที่เป็นตัวแทนของรัฐ (รัฐบาล กษัตริย์ ผู้ครองนคร) จะไปวินิจฉัยว่าเขาทำผิดหรือถูกไม่ได้เช่นกัน เพราะผลประโยชน์ของรัฐย่อมเหนือความถูกผิดทั้งปวง

4.ผู้ครองนครหรือนักการเมืองเป็นนักฉวยโอกาส (opportunists) ทุกคน แรงจูงใจที่ทำ ให้เกิดการเมือง คือผลประโยชน์ ดังนั้น นักการเมืองหรือผู้ครองนครต้องกระทำการทุกอย่างเมื่อมีโอกาส เพื่อผลประโยชน์รัฐ

5.อย่ากลัวถ้าจะต้องทำผิดบ้าง ผู้ปกครองที่ประสบความสำเร็จต้องทำผิดบ้าง และควรใช้ ประโยชน์จากการทำผิดนั้นด้วย เพราะบางสิ่งบางอย่างที่คนภายนอกมองเห็นว่าดี แต่ในทางปฏิบัติ กลับไม่ได้ผลดีตามที่เห็น ในขณะที่ของที่ดูไม่ดีก็อาจจะใช้การได้ ดังนั้น ผู้ปกครองไม่จำเป็นต้องเลือก แต่สิ่งที่ดีๆ แต่ควรดูว่าสิ่งๆ นั้นเมื่อนำไปปฏิบัติแล้วได้ประโยชน์หรือไม่ เพราะเมื่อจุดหมายหรือผล ที่ได้มันได้ประโยชน์ จะถือว่าสิ่งๆ นั้นเป็นสิ่งที่ดี

6.ผู้ปกครองไม่จำเป็นต้องเป็นคนดี แต่ควรแสร้งแสดง ให้คนอื่นคิดว่าเป็นคนดี ด้วยวิธีการต่างๆ เพราะเป็นสิ่งที่สำคัญกว่าการเป็นคนดีเสียเองซึ่งไม่มีประโยชน์อะไร

7.ผู้ปกครองควรให้คนกลัวมากกว่าคนรัก เพราะความรักอาจกลายเป็นความเกลียดได้ แต่ความกลัวนั้น จะไม่รักและไม่เกลียด ผู้ปกครองจึงควรใช้อำนาจ (power) และความรุนแรง (violence) เพื่อให้ผู้อื่นกลัว

8.หลีกเลี่ยงการประจบสอพลอ เพราะการประจบ สอพลอ คือความอ่อนแอ และทำให้ลุ่มหลง ไม่อาจมอง เห็นความจริงได้ ผู้ปกครองจึงควรสนับสนุนการพูดความ จริงและตั้งคนฉลาดเป็นที่ปรึกษา และรับประกันเสรีภาพ ของที่ปรึกษาที่จะพูดความจริงอย่างตรงไปตรงมา

9.ผู้มีอำนาจย่อมเป็นผู้ถูกเสมอ เพราะคนมีอำนาจ จะทำอะไรก็ได้โดยไม่มีใครกล้าว่าว่าผิด จุดมุ่งหมาย ย่อมสำคัญกว่าวิธีการ จะทำอะไรก็ได้เพื่อให้บรรลุจุดหมาย

และ 10.ผู้มีอำนาจไม่ควรอยู่ที่ทางสายกลาง เมื่อจะทำอะไรให้เต็มที่และเปิดเผย แมคเคียเวลลี กล่าวว่า เราไม่สามารถรับใช้พระเจ้าและซีซาร์ได้ในขณะเดียวกัน หรือเราไม่สามารถถือดาบกับไบเบิลได้พร้อมๆกัน

หรือแม้กระทั่งเนื้อหาในหนังสือ “THE PRINCE” บทที่ 8 ที่ระบุว่า “ในการเข้าครองรัฐหนึ่งๆ ผู้ชนะพึงต้อง จัดการกระทำทารุณกรรมทั้งหมดเสียในทันทีทันใด เพื่อที่ว่าจะได้ไม่ต้องกระทำซ้ำอีกทุกเมื่อเชื่อวัน”

คัดเฉพาะเนื้อๆ เน้นๆ จากหนังสือของปราชญ์ชาวอิตาลี จับกับ “อารมณ์” ของ “บิ๊กบัง” หลังวันก่อการที่ถูกบริภาษว่า “ไม่สะเด็ดน้ำ” น่าจะเข้าใจอารมณ์กันได้ว่า ด้วยโครงสร้างอันสลับซับซ้อนของการเมืองไทย การจะปฏิวัติแบบเบ็ดเสร็จ เด็ดขาด มันมีต้นทุนที่สูงส่งและเป็นเดิมพันที่สุ่มเสี่ยง..

ถึงบรรทัดนี้ แม้ “บิ๊กบัง” จะพูดไม่ชัดว่า “บิ๊กตู่” จะปฏิวัติ หรือไม่??? แต่นัยแห่งคำตอบอันกำกวม ก็น่าจะตอบโจทย์คำถามแห่งการตบเท้าที่โชยกลิ่นมาแล้วจะมีวิธีใดในการป้องปรามการปฏิวัติรัฐประหาร???“บิ๊กบัง” ตอบง่ายๆ สั้นๆ “รัฐบาลต้องบริหารงบประมาณ อย่างทั่วถึง เพื่อป้องกันไม่ให้กองทัพขยับเข้ามาใกล้ศูนย์อำนาจ ทางการเมือง”

ชัดถ้อยชัดคำและกระจ่างแจ้ง หากจับจากงบประมาณกองทัพไทยที่มีเพียง 0.9 ของจีดีพีประเทศ ซึ่งมีจำนวนห่างไกลกันเหลือเกินกับงบกองทัพของนานาอารยประเทศ ที่มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 2% ของจีดีพี

แม้เงื่อนไขดังกล่าว จะขัดกับประชาธิปไตยแบบไทยๆ แต่ที่น่าสนใจไปกว่านั้น ต้องย้อนกลับไปถามว่า ตั้งแต่ครั้งอภิวัฒน์ประเทศ ปี 2475 บ้านเมืองนี้ถูกทหารปฏิวัติรัฐประหารมากี่รอบแล้ว..เพราะฉะนั้นถ้าไม่อยากโดนปฏิวัติ...โปรดฟังอีกครั้ง!!!

ที่มา.สยามธุรกิจ
////////////////////////////////////////////////////////

"เขมร"ขานรับคำขอตั้งผู้สังเกตการณ์ "ฮอ นัมฮง"เตรียมหอบหลักฐานยื่นศาลโลก ตีความคำพิพากษาเขาพระวิหาร

ข่าวซินหัวของจีนรายงาน เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ว่า นายฮอ นัมฮง รัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชา ให้สัมภาษณ์ในช่วงเช้าก่อนออกเดินทางจากสนามบินนานาชาติกรุงพนมเปญ เพื่อร่วมประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการที่กรุงจาการ์ตา ว่ากัมพูชายินดีที่ไทยมีความตั้งใจที่จะขอให้อินโดนีเซียในฐานะประธานอาเซียนส่งผู้สังเกตการณ์เข้ามาประจำอยู่กับทหารไทยตามแนวชายแดนพื้นที่พิพาทกับกัมพูชา

"ตอนนี้ไทยยอมรับที่จะให้มีผู้สังเกตการณ์ เป็นเรื่องที่ดีที่สุด และจะเป็นก้าวที่ดีในการพบปะกันที่กรุงจาการ์ตา" นายนัมฮงกล่าว และว่า "นี่เป็นผลของการร้องเรียนของเราต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอสซี) เพราะเราได้ขอให้ยูเอ็นเอสซีส่งผู้สังเกตการณ์ไปยังพื้นที่พิพาทแนวชายแดนเพื่อเป็นหลักประกันในการหยุดยิงและเพื่อสังเกตการณ์ว่าใครเป็นผู้รุกรานกันแน่ในขณะที่ทั้งสองฝ่ายต่างกล่าวโทษกัน"

ซินหัวระบุว่า การให้สัมภาษณ์ของนายนัมฮง มีขึ้นหลังจากนายกษิต กล่าวว่า ไทยจะขอให้อินโดนีเซียส่งผู้สังเกตการณ์มาประจำอยู่กับทหารไทยตามแนวชายแดนพื้นที่พิพาท

นายเทอกู ไฟซาไซอา โฆษกทำเนียบประธานาธิบดีอินโดนีเซีย ให้สัมภาษณ์ว่า รัฐมนตรีต่างประเทศชาติสมาชิกอาเซียนจะมาประชุมหารือกันอย่างไม่เป็นทางการที่กรุงจาการ์ตา เนื่องจากอาเซียนอยู่ภายใต้อินโดนีเซียในฐานะประธาน ประธานาธิบดีอินโดนีเซีย (สุศีโล บัมบัง ยุทโธโยโน) ขอให้หาแนวทางริเริ่มแก้ปัญหาพิพาทของชาติสมาชิกอาเซียน

สำนักข่าวซินหัวยังระบุอีกว่า ในการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการครั้งนี้ กัมพูชาจะขอให้ไทยลงนามในข้อตกลงหยุดยิงถาวรโดยมีประธานอาเซียนหรือผู้แทนเป็นพยาน และยังจะขอให้ผู้สังเกตการณ์อาเซียนเข้าไปยังพื้นที่พิพาทเพื่อรับรองว่าจะมีการหยุดยิงถาวร

"กัมพูชามีความมั่นใจในอาเซียนมากในการเข้ามาไกล่เกลี่ยปัญหาพิพาทนี้" นายนัมฮงกล่าว

นายนัมฮงให้สัมภาษณ์อีกว่า หลังการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนเสร็จสิ้นลง รัฐบาลกัมพูชาจะเตรียมหลักฐานเพื่อยื่นต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศหรือไอซีเจ (Internatinal Court of Justice-ICJ) ที่กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ เพื่อให้ไอซีเจพิจารณาคำพิพากษาในคดีปราสาทพระวิหาร เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2502 อีกครั้งหนึ่ง และขอให้รัฐบาลไทยเคารพในคำพิพากษาที่ระบุว่าปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ในอาณาเขตภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ท.ฮุน มาเน็ต หัวหน้าหน่วยต่อต้านการก่อการร้าย กระทรวงกลาโหมกัมพูชา ลูกชายสมเด็จฯฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา เดินทางไปร่วมสมทบกับคณะของนายฮอ นัมฮง ที่กรุงจาการ์ตา

สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานอ้างบทวิเคราะห์ระบุว่า สมเด็จฯฮุน เซน แสดงความชื่นชม พล.ท.มาเน็ตที่เข้าไปมีบทบาทสำคัญกำหนดยุทธศาสตร์และเจรจากับฝ่ายไทยในเหตุการณ์ปะทะกันตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ตอนหนึ่งสมเด็จฯฮุน เซน กล่าวว่า "มาเน็ตเป็นคนมีชื่อเสียงไปแล้วในไทย" หลังจากสื่อมวลชนไทยเสนอรายงานข่าวเกี่ยวกับ พล.ท.มาเน็ตที่เข้าร่วมวางแผนต่อสู้กับกองกำลังฝ่ายไทยยังมีกระแสข่าวลือว่าได้รับบาดเจ็บจากเหตุปะทะกันแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ก่อนที่ พล.ท.มาเน็ตจะกลับมาปรากฏตัวบริเวณชายแดนอีกครั้ง

ในบทวิเคราะห์รายงานอีกว่า การก้าวขึ้นมามีบทบาทอำนาจอย่างรวดเร็วของ พล.ท.ฮุน มาเน็ต เป็นแผนการสืบทอดอำนาจทางการเมืองของสมเด็จฯฮุน เซน ทั้งนี้ นายชายา ฮาง ผู้อำนวยการบริหารของสถาบันประชาธิปไตยกัมพูชา เปรียบเทียบกรณีของ พล.ท.ฮุน มาเน็ตว่ามีความคล้ายคลึงกับกรณีของนายคิม จอง อุน บุตรชายคนเล็กของนายคิม จอง อิล ผู้นำสูงสุดเกาหลีเหนือ ที่ถูกวางตัวเป็นผู้สืบทอดอำนาจผู้นำเกาหลีเหนือคนใหม่ต่อจากบิดา ซึ่งได้รับการโปรโมตสู่ตำแหน่งระดับสูงภายในเวลาอันรวดเร็วเช่นกัน

ที่มา.มติชนออนไลน์
/////////////////////////////////////////////////////////

วันจันทร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ลูกชายผู้นำลิเบียเตือนเกิดสงครามกลางเมือง

เซอิฟ อัล-อิสลาม กัดดาฟี ลูกชายของพันเอก โมอัมมาร์ กัดดาฟี ผู้นำลิเบีย แถลงทางโทรทัศน์ของทางการเช้ามืดวันนี้ โดยเตือนว่าการประท้วงต่อต้านการปกครองของบิดาอาจทำให้ลิเบียตก

อยู่ในภาวะสงครามกลางเมืองและทำให้ประเทศแตกเป็นรัฐเล็กรัฐน้อย แต่เขาก็ยืนยันว่า บิดายังอยู่ในประเทศและได้รับการสนับสนุนจากกองทัพ และพวกเราจะสู้จนถึงนาทีสุดท้าย กระสุนนัด

สุดท้าย พร้อมกับยืนยันว่า ลิเบียไม่เหมือนตูนิเซียและอียิปต์ ที่การประท้วงสามารถโค่นล้มผู้นำได้สำเร็จ

และจากสถานการณ์ประท้วงที่เริ่มลุกลามจากเมืองเบนกาซี ทางภาคตะวันออกถึงกรุงทริโปลีแล้ว นายเซอิฟ ให้สัญญาว่า จะดำเนินการปฏิรูปในประเทศภายในไม่กี่วันข้างหน้า และสภาประชาชน

จะประชุมในวันนี้เพื่อหารือเรื่องแผนการปฏิรูป ซึ่งเขาบอกว่าพร้อมจะยกเลิกข้อบังคับบางอย่าง และเริ่มหารือเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และกฎหมายอื่นๆ รวมถึงเรื่อง สื่อและบทลงโทษ

แต่มีรายงานว่า หลังคำแถลงของลูกชายกัดดาฟี ปรากฏว่า มีเสียงปืนดังสนั่นมากขึ้นในกรุงทริโปลี ขณะเดียวกันก็มีทั้งเสียงตะโกนประท้วงและเสียงบีบแตรรถดัง รวมถึงมีการยิงแก๊สน้ำตาสลายผู้ประท้วง ขณะที่กลุ่มฮิวแมน ไรท์ วอทช์ ประเมินว่า ยอดผู้เสียชีวิตจากการใช้กำลังสลายผู้ประท้วงในเมืองเบนกาซีและอีกหลายเมืองทางภาคตะวันออกอย่างหนักตลอดหลายวันจนถึงวันเสาร์ที่ผ่านมามีมากถึง 174 คนแล้ว แต่แพทย์ในเมืองเบนกาซี เมืองใหญ่อันดับ 2 ซึ่งเป็นฐานสำคัญของกลุ่มต่อต้านกัดดาฟี เปิดเผยว่ามีผู้เสียชีวิตกว่า 200 คน

ที่มา.เนชั่น
/////////////////////////////////////////////////////////////

มองการณ์ไกล

ปรากฏการณ์ “แดงมากันพรึ่บ” ในวันอาทิตย์ 13 ก.พ.ที่ผ่านมา...ชนิดที่ “จำนวน” นั้นแตกต่างราว “ฟ้ากับเหว” เมื่อเทียบกับ “ม็อบเหลือง” ที่มีทั้งกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติ ซึ่งทำได้แค่ “ม็อบสีสัน-รำคาญตา” เท่านั้น

แต่เป็นการสะท้อนชัด “พลังแดง” นั้น “ไม่ธรรมดา” และ “ประมาทไม่ได้” โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเดือนเม.ย.-พ.ค.ที่จะ ถึงนี้ ซึ่งจะครบรอบปีที่โดน “กระชับวงล้อมขอคืนพื้นที่” ซึ่งหาก “รัฐบาล” ไม่สามารถเตรียมการรับมือและแก้เกมให้ดีๆ มีหวัง “เหนื่อยหนัก” อีกแน่ๆ และบทสรุปอาจไม่เหมือนเดิม...ก็ได้

จึงไม่แปลกที่จะพบความเคลื่อนไหวของ “ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาล” ที่ต่างตีฆ้องร้าวป่าว... เตรียมรับมือกับศึกเลือกตั้งครั้งใหม่ ถึงขนาด ลือกันหึ่งว่า ไม่สิ้นเดือนก.พ.นี้ก็อาจเป็นต้น เดือนเม.ย. ที่จะมีการยุบสภา เปิดทางให้มีการ เลือกตั้งใหม่ เพื่อเป็นการลดกระแส “พลังแดง” ในการจัดงานรำลึกครบรอบปี

โดยมีการปล่อยข่าวออกมาว่า ผลการ ทำโพลของพรรคประชาธิปัตย์ อยู่ในระดับที่น่า พอใจ เชื่อกันว่า คะแนนเสียงจะมีมากพอใน การชนะเลือกตั้งมาเป็นพรรคอันดับ 1 เพื่อจัดตั้งรัฐบาลครั้งต่อไป รวมถึงการเมาธ์กระจาย ว่า “โหร” ทำนายทายทักว่า “ดวงพรรคประชาธิปัตย์” กำลังดีวันดีคืน...จึงควรรีบชิงความ ได้เปรียบนี้เร็วๆ

อย่าลืมว่า “ที่มา” ของ “รัฐบาลเทพประทาน” นี้...ถูกออกแบบเอาไว้แล้ว และมี “แรงผลัก” จากหลายๆ ฝ่ายที่มีส่วนเกี่ยวข้อง จนทำให้ “ศัตรู” ก็มองเห็นว่า มีกำแพงหนาพิงหลังขนาดไหน???

ดังนั้น “ความกังวล” ที่หลายฝ่ายเป็น ห่วงกันในเรื่องจะพ่ายแพ้กับ “พรรคเพื่อไทย” ที่เป็นคู่แข่งนั้น...น่าจะไม่ใช่เรื่องใหญ่...เพราะแว่วมาว่า ถ้าผลเลือกตั้งเกิดพลิกผันจริงๆ “ยุบพรรครอบ 3” จะกลับมาตามหลอกหลอน แน่ๆ และ “ข้อกังวลนี้” ก็เป็นเรื่องที่ทำให้ “ผู้สมัครของพรรคเพื่อไทย” ก็ต้องคิดให้หนักคิดให้ถี่ถ้วน ว่าจะคุ้มเสี่ยงที่จะเผชิญชะตากรรม... แบบอยู่ไปก็ไม่มีอนาคต...อย่างนั้นหรือ???

ที่สำคัญและไม่ควรมองข้ามคือ “ปรากฏการณ์ปฏิวัติด้วยประชาชน” ที่เกิดขึ้นใน หลายประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะที่ “อียิปต์” และที่กำลังตามมาคือ “เยเมน” นั้น...กำลังกลายเป็น “ความหวัง” ให้กับ “มวลชนแดง” ที่หวังว่า “สักวันหนึ่ง” จะเป็นวันของเขาบ้าง ซึ่งเรื่องแบบนี้ “ถือว่า...ประมาทไม่ได้”

เพราะ “อารมณ์-ความรู้สึก” ของ “มวลชน” นั้น...มักทำให้ “ผู้มีอำนาจ” (ทั่วโลก) มองข้าม และไม่ให้ความสำคัญ...จนท้ายสุดก็ “แพ้ทาง-แพ้ภัย” ในที่สุดอยากย้ำว่า “กลุ่มคนที่เสียประโยชน์” จากการที่รัฐบาลเทพประทานมาบริหารประเทศนั้น...มีอยู่มาก กระจายในทุกวงการ เพียงแต่ “คนเหล่านั้น”...ในเวลานี้ “ยังไม่กล้าแสดงออก” ในขณะที่ “กลุ่มคนที่ได้ประโยชน์” จากรัฐบาลนี้...มีน้อย และกระจุกตัว เฉพาะคนเฉพาะกลุ่ม ซึ่งเมื่อเทียบกันแล้ว “แตกต่าง” กันมากๆ

จึงเป็นเรื่องที่ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรี ต้องตระหนักและคิดทางเลือกไว้ให้มากๆ แม้จะมีทางเลือกน้อยก็ ตาม แต่มี “ทางเลือกน้อย” ก็ยังดีกว่า “ไม่มีทางเลือก” เลย...ไม่ใช่หรือ???

ที่มา.สยามธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////////////

กรุงเทพฯ-ไคโร

อย่าให้ไคโร มาเติบโตในกรุงเทพฯ การปฏิวัติขับไล่เผด็จการที่มั่งคั่ง..ของประชาชนคนอียิปต์นั้น.. ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว.. เช่นเดียวกันกับตูนีเซียเพราะ...เป็นปฏิกิริยาโดยตรงจากประชาชน..

ไม่ต่างกับการโค่นล้มของเผด็จการ..ถนอมประภาส ของประเทศไทยในอดีต..ที่เริ่มต้นมาจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์..จาก นั้นจึงส่งออกไปยังมหาวิทยาลัยต่างๆ และขึ้นบนลงล่างไปสู่เกือบจะทุกชนชั้น

38 ปีมาแล้ว..ที่ประแทศไทย สว่างไสวขึ้นมากับระบอบประชาธิปไตย กลายเป็นชาติผู้นำในการเปลี่ยนแปลง ทางการเมือง..แต่ไม่ใช่ในวันนี้มีความแตกต่างกันมากมายระหว่าง..14 ตุลาคม 16 กับ 19 พฤษภาคม 53 ในความคล้ายมีความต่าง..นักการเมืองจากพรรค การเมืองบนเวทีแห่งการต่อสู้ของคนเสื้อแดงนั้น..ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่สับสน..และสร้างความไม่ แน่ใจให้กับชาวมหาวิทยาลัย

หัวขบวนที่เป็นผู้แทนราษฎรจากพรรคการเมือง..นำมวลชนเดินมา โค่นล้มรัฐบาลของพรรคการเมืองอีก พรรคหนึ่ง..ทำให้การมีส่วนร่วมของประชาชนไม่แข็งแกร่ง

และบนความสับสนอ่อนแอเมื่อรัฐบาลใช้ความอำมหิตเข้าดำเนิน การปราบปราม.. ความกลัวจึงเอาชนะ ความบ้า..มวลชนเสื้อแดงจึงต้องพบกับความปราชัยเป็นครั้งที่สอง

มวลชนจากการจัดตั้ง..ทำให้ เกิดความอ่อนแอในการเผชิญหน้า.. ทว่า..มวลชนที่เป็นอิสระทางความคิด และไร้การนำจากพรรคการเมือง.. มิได้ปราชัยไปด้วย..เขาทั้งหลาย.. จำลองการเผชิญหน้าขึ้นมาใหม่ปรับปรุงแก้ไขจนเหมาะกับสถานภาพแห่งการต่อสู้ที่เป็นรองและเสียเปรียบ

ไม่จำกัดด้วยเวลาไม่ปรารถนา การส่งกำลังบำรุง..ไม่ตั้งค่ายและว่า นอนสอนง่าย..ไม่ต่างอะไรกับปลายเข็มทิศที่ถึงจะแกว่งไกวเปลี่ยน ส่ายไปมาแต่ในที่สุดมันจะอยู่ ณ ตำแหน่งเดิม..

เข็มทิศนำการเดินทางไปสู่ จุดหมาย..การเติบใหญ่ของมวลชน เสื้อแดงก็เช่นกัน..เขาเหล่านั้นกว่าครึ่ง..ไม่ได้สู้เพื่อนำทักษิณกลับมา.. แต่เขาสู้เพราะแผ่นดินของเขาในวันนี้ และประเทศของลูกหลานในวันหน้าผู้ครองอำนาจที่ฉลาด ประชาธิปัตย์ที่เป็นรัฐบาล..ทำอย่างที่ท่านทำ.. ไคโรจะมาเติบโตในกรุงเทพฯ

ที่มา.สยามธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันอาทิตย์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ทักษิณ อิน บรูไน “ผมยังต้องการกลับบ้าน”

เช้าวันเสาร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา คณะกองบรรณาธิการ หนังสือพิมพ์ บางกอกทูเดย์ พร้อมกันที่สุวรรณภูมิ เพื่อบินข้ามฟ้าไปประเทศบรูไน ตามคำเชิญของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

ซึ่งแรกๆที่ได้รับคำเชิญให้ไปสัมภาษณ์พิเศษทำข่าว ก็ยังไม่แน่ใจว่า เป็น ดูไบ หรือ บรูไน กันแน่ แต่เมื่อได้รับคำยืนยันว่าเป็น บรูไน เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้รับคำเชิญไปบรูไนในช่วงนั้นพอดี ทาง”บางกอกทูเดย์”จึงตัดสินใจไปตามคำเชิญ
การเดินทางไปในครั้งนี้ ในแง่ของมุมมองในฐานะสื่อ ที่ต้องการจะหาคำตอบมารายข่าวให้ประชาชนได้รับรู้ว่า กับสภาพเหตุการณ์ต่างๆที่ประเทศไทยประสบอยู่ขณะนี้

จะได้รู้ว่า....พ.ต.ท.ทักษิณ ในฐานะอดีตนายกรัฐมนตรี คิดเห็นหรือมีมุมมองอย่างไรบ้าง??
พร้อมกับมีคำถามแรกในใจ ที่เกิดขึ้นในขณะที่กำลังบินไปบรูไน ก็คือ

ในเมื่อกระทรวงการต่างประเทศของไทย ในยุคที่มีนายกษิต ภิรมย์ เป็นรัฐมนตรีว่าการ เป็นที่รู้กันทั่ว ว่าได้มีการปิดล้อม พ.ต.ท.ทักษิณ ไปยังประเทศต่างๆมากมาย แล้วทำไม พ.ต.ท.ทักษิณจึงยังสามารถไปไหนมาไหนได้ รวมทั้งมาเยือนบรูไนได้?
คำตอบที่ได้รับในภายหลังที่พบกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แล้วก็คือ ตั้งแต่ครั้งที่ไปเยือนรัสเซียแล้ว ตอนนั้นก็ได้มีหนังสือจากกระทรวงต่างประเทศระบุว่า ขอความร่วมมือในการส่งตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ในฐานะผู้ร้ายข้ามแดนให้ด้วย เพราะเรื่องนี้มีอยู่ในหมายของตำรวจสากล หรือ Inter Pol. แล้ว???

ทางประเทศรัสเซีย ก็ให้มีการตรวจสอบเรื่องนี้ กลับพบว่าทางตำรวจสากลบอกว่าไม่มีเรื่องหมายจับกรณี พ.ต.ท.ทักษิณ ในข้อหาคนร้ายข้ามแดนแต่อย่างใด!!

ดังนั้นไม่เพียงแค่รัสเซียเท่านั้น แต่หลายๆประเทศก็งงไปตามๆกันว่า กระทรวงต่างประเทศของไทยออกหนังสือในลักษณะดังกล่าวมาได้อย่างไร???

ที่บรูไน เนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ได้รับคำเชิญจากสายราชวงศ์บรูไน จึงได้รับการจัดที่พำนักให้เป็นอย่างดี ทำให้คณะของบางกอก ทูเดย์ ซึ่งเดินทางไปเพื่อสัมภาษณ์จึงถูกจัดให้เข้าไปพบและร่วมทานอาหารในเขตเดียวกัน เพื่อความสะดวกในการสัมภาษณ์

เมื่อไปถึงบรูไน ผู้เชี่ยวชาญในคณะยืนยันว่าสภาพของบ้านเมืองยังคงไม่ได้แตกต่างจากเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมาสักเท่าไหร่นัก บ้านเมืองสงบเรียบร้อย สะอาด มีต้นไม้ร่มรื่น ประชากรมีประมาณ 400,000 คน ผู้คนมีระเบียบวินัยดี มีฐานะร่ำรวยเพราะการค้าน้ำมัน ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าประเทศไทยเองก็มีน้ำมันบนดิน คือการเกษตรกรรม หากรัฐบาลค้าขายเป็น พัฒนาประเทศเป็น คนไทยก็คงจะมีฐานะที่ดีกันได้เช่นกัน

และคงไม่ต้องสั่งซื้อน้ำมันปาล์มให้จ้าละหวั่น เพราะขาดแคลนกันแบบวินาศสันตะโร อย่างเช่นเมืองไทยในขณะนี้

ปัญหาก็คือประเทศไทยจะมีอนาคตที่ดี และพ้นจากปลักแห่งวังวนปัญหาการเมืองในขณะนี้ได้อย่างไร??
ซึ่งคำถามนี้เป็นคำถามแรกในการสนทนา ด้วยการถาม พ.ต.ท.ทักษิณ ในฐานะอดีตนายกรัฐมนตรีว่า รู้สึกอย่างไรที่เห็นบ้านเมืองยังยุ่งวุ่นวายไม่จบเสียทีอย่างเช่นทุกวันนี้ และคิดจะกลับบ้านไปเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาบ้างหรือไม่

อดีตนายกรัฐมนตรียอมรับว่าเป็นห่วงเป็นใยสภาพปัญหาของเมืองไทยในขณะนี้เป็นอย่างมาก และแน่นอนว่าต้องการที่จะกลับไปเมืองไทยเพื่อช่วยเหลือเท่าที่จะทำได้ เพียงแต่ก็ยอมรับความจริงว่ายังคงถูกกีดกันไม่ให้กลับไป ก็เลยช่วยอะไรไม่ได้มาก
พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่าจะไม่ให้เป็นห่วงบ้านเมืองได้อย่างไร เพราะเวลานี้รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ก่อหนี้เอาไว้สูงถึง 2.9 ล้านล้านบาทแล้ว

(หนี้สาธารณะต้นปีงบประมาณ 2554 มีจำนวน 4.166 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 41.36% ของ GDP ที่สำคัญเป็นหนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรง 2.904 ล้านล้านบาท)

ซึ่งสูงกว่าหนี้ที่อดีตนายกรัฐมนตรีทั้ง 25 คนของไทยเคยก่อหนี้เอาไว้!!
แถมงบประมาณปี 2554 ที่กำหนดวงเงินงบประมาณไว้ที่ 2.07 ล้านล้านบาท ก็เป็นงบประมาณขาดดุล ซึ่งถือเป็นสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงทั้งสิ้น เพราะงบกับหนี้แทบจะเป็นตัวเลขเดียวกันแบบนี้ ลูกหลานไทยจะต้องใช้หนี้กันอีกกี่ปีกี่ชาติ
พ.ต.ท.ทักษิณ ยืนยันว่า อยากกลับบ้านแน่นอน อยากจะมาทำอะไรให้กับประเทศไทย แต่ไม่รู้ว่าจะได้กลับหรือไม่หากการเมืองยังเป็นเช่นนี้ หากยังมีความคิดที่จะทำลายการกันทางการเมืองแบบนี้ก็ไม่รู้ว่าคนพวกนั้นจะยอมให้กลับไปหรือไม่

“ก็เรื่อยๆสบายๆ แต่ยืนยันว่าอยากกลับมาแน่นอน คือจริงๆแล้วก็เริ่มปรับตัวได้แล้วกับการที่ต้องอยู่ในต่างประเทศ ชีวิตจึงไม่ได้ลำบากอะไร เพราะยังไปไหนมาไหนได้ทั่ว แม้ว่าจะยังไม่สามารถกลับประเทศได้ก็ตาม

ผิดกับกลุ่มคนที่ต้องการทำลายล้างทางการเมือง ที่ไม่สามารถไปไหนมาไหนได้ ต้องอยู่ได้แค่ที่เดียว ในขณะที่ผมจะไปประเทศไหนๆก็ได้ คิดแล้วก็ขำดี”

สำหรับบรรยากาศในช่วงที่ไปพักอยู่ที่บรูไน พบว่ามีคนไทยที่เดินทางไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ขาดสาย มีเป็นร้อยๆคน บ้างก็มาเป็นคณะ บางคนเป็นอดีตรัฐมนตรี บางคนเป็นนักการเมืองในปัจจุบัน

ขณะเดียวกันบรรดาคนที่มาหามาเยี่ยมเยียนก็มีสารพัดกลุ่ม คือมีตั้งแต่นักคิด นักวิชาการ ครูบาอาจารย์ คนทำธุรกิจ พ่อค้าแม่ค้า ชาวบ้าน ต่างๆก็ซื้อตั๋วเดินทางกันมาเองเพื่อมาให้กำลังใจ

ซึ่งสิ่งที่น่าสังเกตอย่างหนึ่งก็คือ หากเป็นผู้ชายก็อาจจะเก็บอาการได้ในการทักทายพูดคุย แต่หากเป็นสุภาพสตรีมักจะเก็บอาการไม่อยู่ จะมีการเข้าไปโอบกอดพร้อมกับน้ำตาซึม จนทำให้อดสงสัยไม่ได้ จึงต้องตั้งเป็นประเด็นคำถามขึ้นมา
และคำตอบของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็คงทำให้หลายคนสะอึก??

“พวกเขาคงเห็นใจผมที่ต้องเผชิญชะตากรรมแบบนี้ และเพราะตรงนี้แหละที่ทำให้เกิดความรู้สึก ว่าตราบเท่าที่ยังมีลมหายใจ ผมก็อยากกลับไปแน่ เพื่อจะได้ช่วยทำอะไรให้กับคนส่วนใหญ่”

สำหรับการเลือกตั้งที่ตามกติกาแล้วจะต้องเกิดขึ้นนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า หากไม่มีสิ่งแทรกซ้อนอื่นๆเข้ามา ก็ยังมั่นใจว่าพรรคเพื่อไทยจะยังคงได้จำนวน ส.ส.มากเป็นอันดับ 1 อยู่ แต่จะได้มากเพียงพอที่จะเกินกึ่งหนึ่งหรือไม่ ยังไม่มั่นใจนัก
เพราะที่ผ่านมามีปรากฏการณ์ที่แสดงให้เห็นมาโดยตลอดว่า เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ต้องการแล้ว กลุ่มอำนาจในปัจจุบันสามารถทีจะทำอะไรก็ได้ แทรกแซงอย่งไรก็ได้ โดยไม่แคร์เสียงสะท้อนหรือว่าเสียงวิพากษ์วิจารณ์ใดๆเลย

อย่างเช่นมีความพยายามที่จะอ้างว่า คนอีสาน หรือคนเหนือสามารถซื้อเสียงได้ แต่อาจจะลืมคิดไปว่าที่ใช้การแทรกแซงเข้าไปซื้อได้อย่างที่บอกนั้น

ก็ซื้อได้เฉพาะแค่ร่างกายเท่านั้น แต่จิตวิญญาณของคนอีสานคนเหนือแล้ว เชื่อเถอะว่าไม่มีวันที่จะซื้อได้
ยิ่งเหตุการณ์สลายการชุมนุมแล้วทำให้มีลูกหลานคนอีสานคนเหนือทั้งเจ็บทั้งตายเป็นร้อยเป็นพันคนนั้น รู้หรือไม่ว่าบรรดาญาติพี่น้องของคนที่ตายคนที่บาดเจ็บนั้นมีความรู้สึกที่ขยายวงแตกหน่อไปเท่าไรแล้ว ยังคิดว่าจะซื้อได้อีกหรือ??

และต่อให้มีเงินที่ได้มาจากการใช้อำนาจหน้าที่ทางการเมือง สะสมเอาไว้ แต่ถามว่าจะสามารถซื้อได้สักกี่ครั้งกัน ในเมื่อไม่สามารถซื้อวิญญาณและสร้างการยอมรับที่แท้จริงได้

ดังนั้นสิ่งที่ทำให้ไม่มั่นใจว่าผลการเลือกตั้งจะออกมาอย่างไร ก็คือ กลัวสิ่งแทรกซ้อนมากกว่า
ส่วนกรณีที่มีการปล่อยข่าวว่าจะมี ส.ส.ย้ายพรรคออกไป จะมีการหว่านซื้อ ส.ส.ไปอยู่ที่พรรคอื่น จนถึงวันนี้หลายๆคนที่ตกเป็นข่าวว่าจะย้ายไปนั้น ก็ยังคงมีการติดต่อกันอยู่ตลอด มีการมาพบปะเป็นครั้งคราว

“อย่างไรก็ตามสำหรับคนที่อยากจะไปจริงๆ ก็คงจะไม่ไปขอร้องให้กลับมา เช่นเดียวกับคนที่เคยอยู่ด้วยกัน แต่วันนี้ไม่ได้อยู่ด้วยกันแล้ว ก็คงจะไม่มีการรับให้กลับมาใหม่แน่ เพราะบรรดาคนที่ให้การสนับสนุนมาอย่างต่อเนื่องคงไม่ยอมแน่”
ที่สำคัญตอนลำบากระหกระเหินนี่แหละ ที่ทำให้รู้ว่าใครเป้นมิตรแท้ ใครเป็นมิตรเทียม

ในเรื่องของปัญหาสุขภาพที่มีการปล่อยข่าวโจมตีมาอย่างต่อเนื่องนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ยิ้มก่อนที่จะบอกว่า เป็นคนที่ดูแลสุขภาพมาโดยตลอด เมื่อครั้งที่ไปรัสเซียก็ได้ทำการตรวจสุขภาพโดยละเอียด ก็ไม่พบว่ามีอะไรผิดปกติ
“ผมยืนยันว่าผมยังแข็งแรงดี ไม่ได้มีปัญหาอะไร”

ซึ่งเท่าที่สังเกตุ พ.ต.ท.ทักษิณก็ไม่ได้มีปัญหาซูบผอม หรือผมร่วงผมบางอย่างที่มีการปล่อยข่าว ยังคงดูแจ่มใสดี แถมดูแล้วน่าจะน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อยด้วยซ้ำไป

และในฐานะสื่อ ที่ไม่อยากเห็นสภาพบ้านเมืองตกอยู่ในสภาพแตกแยกแบ่งขั้วแบ่งสีกันอย่างรุนแรงอีกต่อไป จึงได้มีการยิงคำถามกันตรงๆไปเลยว่า จะมีส่วนแก้ไขปัญหานี้อย่างไร จะมีการเจรจาประนีประนอมยอมถอยให้กันได้หรือไม่?

อดีตนายกรัฐมนตรีตอบว่า ยืนยันได้เลยว่าพร้อมที่จะคุย พร้อมที่จะร่วมแก้ไขปัญหาโดยไม่มีวาระแอบแฝง แต่หากอีกฝ่ายยังคงมี Hidden Agenda อยู่ตลอดก็คงจะคุยกันไม่รู้เรื่อง ไม่สามารถที่จะหาข้อสรุปหรือข้อยุติให้จบลงได้

“จริงๆแล้ววันนี้คงต้องถามว่า สถานะอย่างผมที่โดนกระทำขนาดนี้แล้ว ยังจะมีสิทธิต่อรองอะไรได้อีกหรือ เวลานี้ผมก็แค่ไม่ได้รับโอกาส ทั้งๆที่ผมเข้ามาโดยได้รับการเลือกตั้ง แต่กลับถูกทำปฎิวัติรัฐประหาร ซึ่งแน่นอนว่าบรรดาคนที่รักความเป็นธรรมรักประชาธิปไตยที่แท้จริง ย่อมไม่เห็นด้วย

แล้วแบบนี้ผมผิดหรือที่ประชาชนยังสนับสนุน ยังศรัทธาและชื่นชมในนโยบายที่มุ่งทำให้กับคนระดับรากหญ้า มุ่งทำให้กับทุกๆคน??”

พ.ต.ท.ทักษิณ ยังกล่าวด้วยว่า ที่ผ่านมามีคนพยายามกล่าวหาว่ารัฐบาลทักษิณเป็นรัฐบาลที่ทุจริต แต่วันนี้เป็นอย่างไร นอกจากจะเล่นงานเอาผิดไม่ได้.แต่ คนที่เคยกล่าวหา คนที่เคยร่วมงานกันมาก่อนแต่วันนี้ได้เปลี่ยนขั้วไป ก็ได้เอาแนวทางเอานโยบายของพรรคไทยรักไทยไปใช้อยู่ไม่ใช่หรือ แล้วแบบนี้แปลว่าอะไร สิ่งที่เคยกล่าวหาคนอื่นแต่วันนี้กลับทำหมดทุกอย่าง แปลว่าอะไร

“ประเทศไทยนั้นพระสยามเทวาธิราชมีจริง วันหนึ่งความจริงทุกอย่างจะต้องเปิดเผย หลักฐานต่างๆมีการเก็บเอาไหมด เก็บไว้ได้ 10 ปี 20 ปีก็ไม่สาย ใครทำดีทำชั่วอะไรไว้ ฟ้าดินย่อมรู้ดี ผมไม่ต้องทำอะไรหรอก ถึงเวลาทุกๆสิ่งจะค่อยๆเปิดเผยออกมา”

อย่างเช่นในเรื่องที่นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม กำลังพยายามที่จะใช้เวทีโลกในการพิสูจน์ความจริงในหลายๆเรื่อง ล่าสุดทางสหพันธ์เสรีนิยมระหว่างประเทศ หรือ ไอบียู ที่ถูกยื่นเรื่องให้มีการตรวจสอบเพื่อให้ถอดถอนพรรคประชาธิปัตย์พ้นจากไอบียู เนื่องจากคดีการสังหารประชาชน

และล่าสุดทางไอบียู ก็ได้แจ้งให้รัฐบาลไทยทราบว่าจะสอบเพิ่มเติมจากคำร้องเรียนดังกล่าวแล้ว
สำหรับปัจจุบัน อดีตนายกฯทักษิณ บอกว่า นอกจากการทำธุรกิจเหมืองทองแล้ว เวลาที่เหลือก็คือการพบปะกับคนระดับสูง บรรดานักธุรกิจ และผู้บริหารในประเทศต่างๆ ซึ่งช่วยให้มีมุมมองที่กว้างไกลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

และเท่าที่เห็นและพูดคุยกัน คนอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณนั้น การได้เจอกับคนระดับชั้นนำของโลก ก็ย่อมสามารถที่จะคิดอะไรใหม่ๆได้สารพัด ในขณะที่คนเหล่านั้นก็เลือกที่จะคบหาพบปะกับคนที่เหมาะสม มีความคิด มีอนาคต ที่จะสามารถร่วมมือกันได้ด้วยเช่นกัน

พ.ต.ท.ทักษิณ จึงยืนยันว่าด้วยโครงสร้างและทรัพยากรของประเทศที่มีอย่างอุดมสมบูรณ์ ประเทศไทยควรจจะต้องพัฒนาให้เป็นประเทศเกษตรกรรม ให้ประเทศไทยสามารถเป็นครัวของโลก ใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในเรื่องการผลิตทางด้านการเกษตร
ซึ่งถือเป็นหนทางที่เหมาะสมที่สุด ที่จะช่วยให้ประเทศไทยรอดพ้นจากความเสียหายทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในช่วง 2 ปีที่รัฐบาลปัจจุบันเดินหลงทางมาตลอดได้

ระยะเวลา 2 วันที่ได้มีโอกาสสัมภาษณ์และพูดคุย รวมทั้งสังเกตุการณ์อย่างต่อเนื่อง ในฐานะสื่อ บางกอกทูเดย์คงต้องยกคำกล่าวของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ที่มีกระแสข่าวออกมาว่า เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ได้เคยยอมรับกับคนหลายคนมาแล้วว่า

“น่าเสียดาย พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะว่าเป็นคนเก่ง เป็นคนที่มีความสามารถ ที่สามารถทำอะไรให้กับประเทศได้มาก”

ปัญหาก็คือแล้วจะปล่อยให้ปัญหาของชาติคาราคาซัง โดยได้แต่บอกได้แค่ว่าน่าเสียดายเท่านั้นหรือ
วันนี้ “ทักษิณ อิน บรูไน”… อนาคตจะเป็นไปได้หรือไม่ ที่จะมี “ทักษิณ อิน ไทยแลนด์”อีกครั้ง??

ที่มา.บางกอกทูเดย์
******************************************************************

รัฐบาลเหนื่อย วิกฤต"ของแพง"

ในทางการเมืองถึงจะมีการส่งสัญญาณจาก นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ว่าพร้อมจะยุบสภาเลือกตั้งใหม่ภายในครึ่งปีแรกของปีนี้

รวมถึง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ที่ออกมาประสานเสียงการันตีว่า การยุบสภาเกิดขึ้นแน่นอนก่อนเดือนมิ.ย.

แต่ถ้ามองลึกลงไปถึงเงื่อนไข 3 ประการ ที่นายกฯอภิสิทธิ์ เคยกำหนดไว้เป็น"โรดแม็ป" ไปสู่การยุบสภา คือ การแก้ไขปัญหาเศรษฐ กิจ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ และความสงบเรียบร้อยในบ้านเมือง

หลายคนอาจไม่แน่ใจว่าการยุบสภาเลือกตั้งใหม่จะเกิดขึ้นภายในครึ่งปีนี้หรือไม่เกินเดือนมิ.ย.ตามที่"มาร์ค-เทพเทือก" ประกาศไว้หรือไม่

อย่างการแก้ไขรัฐธรรมนูญถึง จะผ่านที่ประชุมรัฐสภา วาระ 3 ไปแล้ว แต่ยังติดขัดจากการที่พรรคฝ่ายค้านยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ

ทำให้กระบวนการนำร่างขึ้นทูลเกล้าฯ ต้องระงับไว้ก่อน

ขณะเดียวกันปัญหาความสงบเรียบร้อยในบ้านเมืองที่เกี่ยวโยงไปถึงการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ และกลุ่มนปช. ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะยุติง่ายๆ แม้จะอยู่ภายใต้พ.ร.บ. ความมั่นคงก็ตาม

โดยเฉพาะการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ยังมีความเสี่ยงต่อการเกิดความรุนแรงสูงกว่าการชุมนุมของกลุ่มนปช. ถึงจะมีจำนวนน้อยกว่าหลายเท่าตัว

นอกจากนี้เงื่อนไขร้อนๆ ที่กำลังลุกลามกลายเป็นปัญหาการเมืองภายใน ซึ่งหลายคนกำลังจับตาว่าจะส่งผลสะเทือนต่อเสถียรภาพของรัฐบาลรุนแรงมากน้อยขนาดไหน

นั่นก็คือปัญหาเศรษฐกิจที่ก้าวเข้าสู่ยุค"ข้าวยากหมากแพง" และกำลังขยายตัวรวด เร็วเหมือนไฟลามทุ่ง สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนทั่วทุกหย่อมหญ้า

จะทำให้กำหนดช่วงเวลาการยุบสภาต้องยืดยาวออกไป หรือในทางกลับกัน อาจส่งผลให้การเลือกตั้งใหม่เดินทางมาถึงเร็วขึ้น

ยังเป็นเรื่องยากจะคาดเดา



จากคำกล่าวของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ที่ว่ารัฐบาลต้องแก้ปัญหา ของแพงให้ได้ก่อนแล้วค่อยยุบสภา ถึงจะได้คะแนนนั้น

ไม่ต่างจากคำรับสารภาพว่าปัญหาสินค้าประเภทอาหารพาเหรดขึ้นราคา กำลังเป็นปัญหาใหญ่ซ้ำเติมรัฐบาล ทั้งยังส่งผลต่อคะแนนนิยมของรัฐบาลอีกด้วย

จากเดิมที่มีอยู่สารพัดปัญหารุมกระหน่ำรอบทิศ ทั้งกรณีพิพาทกับกัมพูชา ไฟใต้ การโยกย้ายข้าราชการไม่เป็นธรรม การทุจริตคอร์รัปชั่น ฯลฯ

โดยเฉพาะปัญหาน้ำมันปาล์มราคาแพงและขาดตลาด

ภาพประชาชนหาเช้ากินค่ำต้องมาเข้าคิวซื้อ ถึงขั้นแย่งชิงชกต่อยกัน กว่าจะได้น้ำมันมาทำอาหารกินแค่ขวดสองขวด เป็นภาพที่ไม่ค่อยเห็นบ่อยนักในสังคมไทย ที่เคยได้ชื่อเป็นสังคมโอบอ้อมอารี แบ่งปันช่วยเหลือซึ่งกันและกัน

แต่นั่นยังไม่หนักสาหัสเท่ากับการที่มีข่าวนักการเมืองบางคนในซีกรัฐบาล เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์บนความทุกข์ยากของประชาชนครั้งนี้

แม้ภาพภายนอกจะฉายให้เห็นถึงความพยายามของรัฐบาลในการแก้ปัญหา

คณะกรรมการนโยบายน้ำมันปาล์มแห่งชาติที่มี นาย สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง นั่งเป็นประธาน ได้อนุมัตินำเข้าน้ำมันปาล์มจากต่างประเทศถึง 2 ครั้ง ครั้งแรก 3 หมื่นตัน ครั้งที่สอง 1.2 แสนตัน

ขณะที่กระทรวงพาณิชย์ ภายใต้การดูแลของพรรคภูมิใจได้สั่งผลิตน้ำมันปาล์มฝาสีฟ้า กระจายออกจำหน่ายให้ประชาชนซื้อได้ง่ายในราคาถูก

แต่ก็ดูเหมือนสถานการณ์จะไม่คลี่คลายง่ายๆ

ท่ามกลางกระแสข่าวนับวันยิ่งหนาหูว่า ปาล์มน้ำมันเป็นพืชเศรษฐกิจของภาคใต้ ซึ่งเป็นพื้นที่การเมืองของพรรคประชาธิปัตย์

มีนักการเมืองระดับ "คีย์แมน" ของพรรค ถือครอง พื้นที่สวนปาล์มจำนวนหลายหมื่นไร่ผ่านเครือญาติที่เป็นนอมินี

ได้รับประโยชน์เต็มๆ ด้วยการร่วมมือกับบริษัทผู้ผลิตดำเนินการกักตุนสินค้าน้ำมันปาล์มไว้เพื่อเก็งกำไร จากการขึ้นราคาและการนำเข้า



จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจึงพอสรุปได้ว่า ปัญหาน้ำมันปาล์มถูกยกระดับขึ้นเป็นปัญหาทางการเมืองเรียบร้อยแล้ว

จุดเริ่มมีมาตั้งแต่ นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์จากพรรคภูมิใจไทยออกมาตอบโต้กับส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ ว่าด้วยเรื่อง "ต้นน้ำ-ปลายน้ำ" ของปัญหา

ตามมาด้วยพรรคเพื่อไทยที่ระบุถึงนักการเมืองชื่อย่อ "ส" อยู่เบื้องหลังการกักตุน ทั้งยังเสนอให้นายกฯอภิสิทธิ์ ดึงกระ ทรวงพาณิชย์กลับมาดูแลเอง

ในฐานะเป็นนักการเมืองอักษรนำหน้า "ส" ทำให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ถึงกับนั่งไม่ติด

จำเป็นต้องสั่งการให้กรมสอบ สวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบว่า มีใครได้รับประโยชน์จากปัญหาน้ำมันปาล์มขาดตลาด

อย่างไรก็ตาม ถ้าหากย้อนไปดูผลงานการสอบสวนคดี 91 ศพเหยื่อเดือนพฤษภาคม 2553 ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของดีเอสไอเช่นกัน

ก็พอเห็นถึงแนวโน้มว่าผลตรวจสอบปัญหาน้ำมันปาล์มจะออกมาอย่างไร

หลังการผ่านร่างพ.ร.บ.งบประมาณกลางปีวงเงินกว่า 1 แสนล้านบาท

การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการกลางปีในเดือนเม.ย.ที่จะถึงนี้ รวมถึงการจัดทำร่างงบประมาณรายจ่ายปี 2555 ถูกมองว่าเป็นเป้าหมาย ต่อไปของรัฐบาลในการ "ทิ้งทวน" ก่อนกลับลงสู่สนามเลือกตั้ง

ในจังหวะที่วิกฤตการณ์น้ำมันปาล์มครั้งนี้

อีกมุมหนึ่งก็สะท้อนให้เห็นถึงการแสวงหาผลประโยชน์ของนักการเมืองบนความทุกข์ร้อนของประชาชน เพื่อใช้เป็นทุนรอนสำหรับการเลือกตั้ง ซึ่งกำลังจะมีขึ้นในอนาคตไม่ใกล้ไม่ไกล

แต่เมื่อทุกอย่างถูกเปิดโปงถึงขั้นนี้แล้ว

การชิงยุบสภาเร็วกว่ากำหนดกลางปี อาจเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่รัฐบาลเลือกเดิน เพื่อตัดปัญหาการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้าน และการชุมนุมของคนเสื้อแดง ในวาระครบรอบ 1 ปีเหตุการณ์เดือนเม.ย.-พ.ค.2553

เพราะถ้าปล่อยให้ทุกอย่างไหลไปรวมในช่วงเวลาเดียวกันแล้ว ต่อให้มีการแก้ไขกฎกติกาเลือกตั้งเอื้อประโยชน์ให้กับตนเองขนาดไหน ประชาชนคงไม่ยอมง่ายๆ แน่

ความหวังที่พรรคประชาธิปัตย์จะได้กลับมาจัดตั้งรัฐบาล จึงอาจเป็นเรื่องห่างไกลเกินจริง

ที่มา.ข่าวสดรายวัน
///////////////////////////////////////////////////////////////////////