
ในทันทีที่ศาลปกครองสูงสุดสั่งระงับ 65 โครงการลงทุนมาบตาพุด บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย เมื่อวันที่2 ธ.ค. ก็เหมือนกับระเบิดลง เพราะดัชนีดิ่งลงอย่างหนัก โดยระหว่างวันดัชนีลดลงต่ำสุดที่ 693.51 จุด และเป็นระดับจุดปิดของตลาดในวันที่ 2 ซึ่งร่วงลง 16.50 จุด หรือ ร้อยละ 2.32มูลค่าการซื้อขาย
หนาแน่นจากการเทขายด้วยความตื่นตระหนก 28,708.11 ล้านบาทเล่นเอาหน่วยงานของภาครัฐที่เกี่ยวข้อง วิ่งวุ่นไปตามๆ กันนางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ต้องให้ทางบริษัทจดทะเบียน 5 แห่ง ที่เกี่ยวข้องกับโครงการลงทุนในมาบตาพุด ประกอบด้วย บริษัท ปตท. บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. บริษัท ปตท. อะโรเมติกส์และการกลั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.
เออาร์บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือเอสซีซี และบริษัท ไทยพลาสติกและเคมีภัณฑ์ จำกัด (มหาชน) หรือทีพีซีประเมินผลกระทบด้านต่างๆ ที่เกิดขึ้นในทันที กระทบต่อโครงการในส่วนไหนบ้าง และมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้น“ยอมรับว่า หลังศาลฯ ตัดสินออกมาส่งผลให้นักลงทุนเกิดความกังวล เห็นได้จากดัชนีหุ้นไทยยังแกว่งตัวผันผวน จึงขอให้นักลงทุนประเมินข่าวสารให้รอบด้านและรอฟังข้อมูลที่ชัดเจน ก่อนตัดสินใจลงทุน” นางภัทรียา กล่าวซึ่ง
ทำให้นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ เองก็พลอยเหนื่อยอย่างหนักไปด้วย เพราะสำหรับ ปตท. มีการลงทุนกว่า 100,000 ล้านบาทในพื้นที่มาบตาพุด ดังนั้นแม้จะมีโครงการบางส่วนที่รอดพ้นออกมาได้ แต่ก็ยังมีอีกหลายโครงการที่ยังติดบ่วงอยู่ในส่วนที่เหลือที่ถูกแช่แข็งที่สำคัญ อาณาจักร ปตท. นั้นถือเป็นครอบครัวหุ้นที่มีน้ำหนักมากในตลาดหุ้นไทยในปัจจุบัน จึงทำให้ถูกจับตามองเป็นอย่างยิ่งเพราะหาก ปตท.และเครือได้รับ
ผลกระทบเยอะตลาดหุ้นไทยก็จะยิ่งอ่อนไหวมากยิ่งขึ้นในขณะที่นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ บริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในรายชื่อตามคำฟ้องทั้งหมด 76 โครงการ มีโครงการในกลุ่มบริษัทเอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (หรือ SCG Chemicals) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ SCC จำนวนทั้งสิ้น 20 โครงการ โดยผลของคำสั่งศาลปกครองสูงสุด เท่ากับว่าคงเหลือ 18 โครงการที่จะถูกระงับโครงการไว้เป็นการชั่วคราว เพราะ 2 โครงการได้รับการยก
เว้นตามคำสั่งของศาลปกครองสูงสุดแล้วซึ่งทั้ง 18 โครงการ มีเงินลงทุนรวมทั้งสิ้นประมาณ 57,500 ล้านบาทคาดว่าจากคำสั่งดังกล่าวอาจทำให้โครงการล่าช้าไปบ้าง และขณะนี้ SCC อยู่ระหว่างการหารืออย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานราชการและคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องเพื่อหาข้อสรุปและแนวทางปฏิบัติร่วมกันให้เกิดผลกระทบน้อยที่สุดอย่างไรก็ตามคำสั่งดังกล่าวไม่มีผลกระทบกับกำลังการผลิตเดิมที่ SCG Chemicals มีอยู่ และยังคงสามารถเปิดดำเนินการได้ตามปกติ
ส่วนนายชายน้อย เผื่อนโกสุม กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปตท. อะโรเมติกส์และการกลั่น (PTTAR) กล่าวว่า โครงการของ ปตท.ก่อนหน้านี้มีความกังวลว่าจะชะลอตัวรวม 25 โครงการเงินลงทุน 130,000 ล้านบาท แต่เมื่อศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งให้ 11 โครงการเดินหน้าและรวมไปถึงคำสั่งศาลปกครองกลางก่อนหน้านี้มีคำสั่งว่าให้โครงการใดๆ ที่ได้รับใบอนุญาตก่อนรัฐธรรมนูญ 2550 มีผลบังคับใช้ก็สามารถดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง ดังนั้นโครงการทั้งหมดของ
ปตท.ส่วนใหญ่จะเดินหน้าได้แต่มีหลายโครงการที่ดำเนินการหลังปี2550 ก็จะต้องทำตามข้อปฏิบัติของภาครัฐที่จะกำหนด รวมทั้งคำสั่งศาลซึ่งรวมแล้วมีโครงการที่ได้รับผลกระทบประมาณ 60,000 ล้านบาท“ต้องยอมรับว่าผลกระทบในมาบตาพุดส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศระยะยาวซึ่งเป็นสิ่งที่อ่อนไหว โดยภาคเอกชนต้องการเห็นข้อกำหนดของภาครัฐให้มีความชัดเจน เพราะไม่เช่นนั้นก็ไม่ทราบว่าการดำเนินการตาม
กฎหมายทั้งหมดก่อนหน้านี้จะถูกเปลี่ยนแปลงอะไรหรือไม่ ซึ่งเชื่อว่าทั้งภาครัฐและส่วนอื่นจะเร่งสร้างความชัดเจนโดยเร็ว” นายชายน้อย กล่าวแม้ดูเหมือนว่าจนถึงขณะนี้ รัฐบาลจะไม่สามารถทำอะไรได้มากนัก แม้แต่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ยังคงไปฝากความหวังเอาไว้กับคณะกรรมการ 4 ฝ่ายแก้ไขปัญหานิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ที่มีนายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นประธานจะช่วยแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้ซึ่งนายอานันท์ เผยว่า ขณะนี้กำลังเร่ง
กำหนดพิมพ์เขียว หรือโครงสร้างองค์กรอิสระใหม่ เพื่อปฏิบัติการตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 67 (2) โดยจะสรุปภายใน 2 สัปดาห์ดังนั้นชะตากรรมของโครงการที่ลงทุนไปแล้ว และจะก่อให้เกิดการจ้างงานการลงทุน และสร้างรายได้ให้แก่ประเทศ เป็นเงินรวม 300,000 ล้านบาทคงต้องรอดูฝีมือรัฐบาลว่าจะแก้ไขปัญหานี้อย่างไร???
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น