
ช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ผมต้องเก็บตัว เป็นจังหวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ทุกอย่างมันประดัง คนพวกเดียวกันมันทำร้ายพวกเรากันเอง ถือว่ามันขัดอุดมการณ์ของผม คนพวกเดียวกันทำร้ายด้วยกันเอง เป็นเรื่องที่น่าเสียใจ หากเป็นข้าศึกคงไม่ว่าอะไร เพราะข้าศึกไม่เคยทำร้ายพวกเรา”เสียงจากนายพล “ไซซ์เอส” คนเดิม พล.อ.สพรั่งกัลยาณมิตร ที่ระบายความในใจต่อสถานการณ์ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมาโดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งที่ “บิ๊กพรั่ง” เจ็บปวดมากที่สุด
คือการเปลี่ยนแปลงของเพื่อนที่ร่วมอุดมการณ์เดียวกันการออกมาเผยความในใจของชายชาติทหารผู้นี้ย่อมแสดงให้เห็นถึงความผิดปกติบางอย่างในกลุ่มเพื่อน คมช.ที่ไม่เหมือนเดิมจนไม่อาจกลับไปเป็นเหมือนเดิมที่จะนั่งล้อมวงจิบกาแฟปรับทุกข์ฉันมิตรเหมือนเช่น 3 เดือนแรกของการหมดสิ้นอำนาจ คมช.แต่การออกมาสู่สังคมสาธารณะของ “บิ๊กพรั่ง” ในครั้งนี้เหมือนจะฝากคำพูดผ่านสื่อไปยังอดีต คมช. ที่กำลังจะแหย่เท้าลงวิ่งในสนามการเมือง ที่ครั้งหนึ่ง คมช. เป็นผู้ลบประวัติศาสตร์การเมือง เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติหรือ คมช. (Council of National Security - CNS) เป็นคณะบุคคลที่แปรสภาพมาจากคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขคมช.
ประกอบด้วย
พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธาน คมช.
พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข รองประธาน คมช.
พล.ร.อ.สถิรพันธุ์ เกยานนท์ สมาชิก คมช.
พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ สมาชิก คมช.
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส สมาชิก คมช.
พล.อ.วินัย ภัททิยกุล เลขาธิการ
คมช.พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร ผู้ช่วยเลขาธิการ คมช.
พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้ช่วยเลขาธิการ คมช.
และคงยังจำกันได้ สำหรับประโยคที่สุดแสนจะคลาสสิก“ขณะนี้ประเทศไทยกลับสู่สภาวะปกติอย่างสมบูรณ์ตามระบอบประชาธิปไตย ดังนั้น เพื่อให้เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ 2550 คมช. จึงขอจบภารกิจ
พร้อมทั้งขอขอบคุณประชาชนทุกคนในโอกาสที่ คมช. สิ้นสุดหน้าที่ และฝากความหวังไว้กับรัฐบาลใหม่ที่มาจากการเลือกตั้ง ให้ทำทุกอย่างภายใต้เจตนารมณ์แก้ไขปัญหาประเทศชาติ”คมช. นำโดย “บิ๊กต๋อย” พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข แถลงข่าวจบภารกิจ เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2551นั่นคือสิ่งที่คนไทยหลายคนจดจำได้
ขณะที่รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์เจอมรสุมทางการเมืองมากเท่าใด ยิ่งทำให้เห็นภาพชัดเจนว่าเมืองไทย
กำลังจะได้เห็นพรรคการเมืองและนักการเมืองน้องใหม่(แต่)หน้าเก่า กำลังแต่งองค์ทรงเครื่องรอจังหวะ “สนามเลือกตั้ง” เปิดให้ลงชิงชัยกันมากหน้าหลายตาและในบรรดานักการเมืองน้องใหม่ที่ว่านี้ ก็ย่อมหนีไม่พ้นอดีตนายทหารจากคณะปฏิวัติ 19 กันยายน 2549 อย่าง “บิ๊กบัง”พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีต ผบ.ทบ. และประธาน คมช.ที่เบนเข็มจากนักศึกษารัฐศาสตร์ การเมืองการปกครองมหาวิทยาลัยรามคำแหง มาศึกษา
งานด้านการเมืองโดยเลือกศึกษาในพรรคการเมืองถิ่นสะตอที่ไม่ใช่ประชาธิปัตย์ แต่เป็นพรรคน้องใหม่อย่าง “มาตุภูมิ”ที่เปิดตัวไปแล้วเมื่อกลางเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาทว่า “บิ๊กบัง” จะยังแบ่งรับแบ่งสู้ตามสไตล์ “ลับ ลวง พราง”อยู่ก็ตาม จึงยังไม่รู้ซะทีว่าตกลงแล้ว อดีตประธาน คมช.จะสานต่อภารกิจล้มระบอบทักษิณหรือไม่หรือจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของระบอบ
ยังไม่มีคำถามที่ชัดเจนจากปาก พล.อ.สนธิ ในขณะที่สถานการณ์ทางการเมืองเริ่มทวีความร้อนแรงด้วยสีของกลุ่มคนเสื้อแดง ที่ออกมาถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรรวมทั้งเตรียมออกมาเคลื่อนไหวล่ารายชื่อประชาชนเพื่อโค่นล้มรัฐบาลอภิสิทธิ์จึงไม่แปลกที่นายทหารร่างเล็กต้องออกมาแสดงความเป็นกังวลต่อสถานการณ์บ้านเมือง ซึ่งเปลี่ยนไปตามเงื่อนไขวันเวลาที่ไม่เหมือนเดิมตลอดจนกลับมาทวงถามหา“วีรบุรุษ” ที่หายไป
คือการเปลี่ยนแปลงของเพื่อนที่ร่วมอุดมการณ์เดียวกันการออกมาเผยความในใจของชายชาติทหารผู้นี้ย่อมแสดงให้เห็นถึงความผิดปกติบางอย่างในกลุ่มเพื่อน คมช.ที่ไม่เหมือนเดิมจนไม่อาจกลับไปเป็นเหมือนเดิมที่จะนั่งล้อมวงจิบกาแฟปรับทุกข์ฉันมิตรเหมือนเช่น 3 เดือนแรกของการหมดสิ้นอำนาจ คมช.แต่การออกมาสู่สังคมสาธารณะของ “บิ๊กพรั่ง” ในครั้งนี้เหมือนจะฝากคำพูดผ่านสื่อไปยังอดีต คมช. ที่กำลังจะแหย่เท้าลงวิ่งในสนามการเมือง ที่ครั้งหนึ่ง คมช. เป็นผู้ลบประวัติศาสตร์การเมือง เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติหรือ คมช. (Council of National Security - CNS) เป็นคณะบุคคลที่แปรสภาพมาจากคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขคมช.
ประกอบด้วย
พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธาน คมช.
พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข รองประธาน คมช.
พล.ร.อ.สถิรพันธุ์ เกยานนท์ สมาชิก คมช.
พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ สมาชิก คมช.
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส สมาชิก คมช.
พล.อ.วินัย ภัททิยกุล เลขาธิการ
คมช.พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร ผู้ช่วยเลขาธิการ คมช.
พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้ช่วยเลขาธิการ คมช.
และคงยังจำกันได้ สำหรับประโยคที่สุดแสนจะคลาสสิก“ขณะนี้ประเทศไทยกลับสู่สภาวะปกติอย่างสมบูรณ์ตามระบอบประชาธิปไตย ดังนั้น เพื่อให้เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ 2550 คมช. จึงขอจบภารกิจ
พร้อมทั้งขอขอบคุณประชาชนทุกคนในโอกาสที่ คมช. สิ้นสุดหน้าที่ และฝากความหวังไว้กับรัฐบาลใหม่ที่มาจากการเลือกตั้ง ให้ทำทุกอย่างภายใต้เจตนารมณ์แก้ไขปัญหาประเทศชาติ”คมช. นำโดย “บิ๊กต๋อย” พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข แถลงข่าวจบภารกิจ เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2551นั่นคือสิ่งที่คนไทยหลายคนจดจำได้
ขณะที่รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์เจอมรสุมทางการเมืองมากเท่าใด ยิ่งทำให้เห็นภาพชัดเจนว่าเมืองไทย
กำลังจะได้เห็นพรรคการเมืองและนักการเมืองน้องใหม่(แต่)หน้าเก่า กำลังแต่งองค์ทรงเครื่องรอจังหวะ “สนามเลือกตั้ง” เปิดให้ลงชิงชัยกันมากหน้าหลายตาและในบรรดานักการเมืองน้องใหม่ที่ว่านี้ ก็ย่อมหนีไม่พ้นอดีตนายทหารจากคณะปฏิวัติ 19 กันยายน 2549 อย่าง “บิ๊กบัง”พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีต ผบ.ทบ. และประธาน คมช.ที่เบนเข็มจากนักศึกษารัฐศาสตร์ การเมืองการปกครองมหาวิทยาลัยรามคำแหง มาศึกษา
งานด้านการเมืองโดยเลือกศึกษาในพรรคการเมืองถิ่นสะตอที่ไม่ใช่ประชาธิปัตย์ แต่เป็นพรรคน้องใหม่อย่าง “มาตุภูมิ”ที่เปิดตัวไปแล้วเมื่อกลางเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาทว่า “บิ๊กบัง” จะยังแบ่งรับแบ่งสู้ตามสไตล์ “ลับ ลวง พราง”อยู่ก็ตาม จึงยังไม่รู้ซะทีว่าตกลงแล้ว อดีตประธาน คมช.จะสานต่อภารกิจล้มระบอบทักษิณหรือไม่หรือจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของระบอบ
ยังไม่มีคำถามที่ชัดเจนจากปาก พล.อ.สนธิ ในขณะที่สถานการณ์ทางการเมืองเริ่มทวีความร้อนแรงด้วยสีของกลุ่มคนเสื้อแดง ที่ออกมาถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรรวมทั้งเตรียมออกมาเคลื่อนไหวล่ารายชื่อประชาชนเพื่อโค่นล้มรัฐบาลอภิสิทธิ์จึงไม่แปลกที่นายทหารร่างเล็กต้องออกมาแสดงความเป็นกังวลต่อสถานการณ์บ้านเมือง ซึ่งเปลี่ยนไปตามเงื่อนไขวันเวลาที่ไม่เหมือนเดิมตลอดจนกลับมาทวงถามหา“วีรบุรุษ” ที่หายไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น