
โดย คุณ poonnook
ที่มา เวบไซต์ thaifreenews
2 สิงหาคม 2552
เมื่อสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ก่อนสิ้นสุดสงครามอเมริกาได้ยื่นคำขาดให้กับรัฐบาลญี่ปุ่นเพียง 2 ทางเท่านั้น คือ จะยอมจำนน หรือจะต่อสู้ต่อไป ไม่มีหนทางอื่นให้เลือกได้ แม้ว่ารัฐบาลทหารของญีุ่ปุ่นจะรู้ว่าตนเองถูกรุกไล่ และพ่ายแ้พ้ในทุกสมรภูมิ แต่ก็ยังรักเกียรติของตนเองมากกว่ารักประชาชน จึงปฏิเสธข้อเสนอนั้น และขอสู้ต่อโดยหวังว่า “สงครามครั้งสุดท้าย” คือการยกพลขึ้นบก เข้ายึดครองประเทศญี่ปุ่น
ของอเมริกา จะเป็นสงครามชี้ชะตากันว่า ใครจะแพ้ใครจะชนะแต่หลังจากที่อเมริกายกพลขึ้นบกครั้งสุดท้ายที่โอกินาวาแล้ว อเมริกาก็เลือกใช้ยุทธวิธี ที่ไม่ต้องเสี่ยงกับชีวิตทหารอีก ด้วยเทคโนโลยีที่เหนือกว่า นั่นคือใช้ระเบิดปรมาณูถล่มเมืองฮิโรชิมา และนางาซากิ 2 เมือง พร้อมทั้งชีวิตชาวญี่ปุ่นนับแสนคน ต้องสังเวยไปเพราะการตัดสินใจของคนเพียงกลุ่มเล็กๆ กลุ่มเดียวเท่านั้นยุทธศาสตร์โลกล้อมประเทศ ที่ท่านนายกฯทักษิณ
และกลุ่มคนผู้รักประชาธิปไตย ที่กำลังดำเนินการต่อสู้กับเผด็จการอมาตย์อยู่ในขณะนี้ เริ่มส่งผลให้เห็นเป็นรูปธรรมและชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยความรู้ วิสัยทัศน์ ความคิด และเทคโนโลยีที่ล้ำหน้ากว่าเผด็จการอมาตย์ อย่างเทียบกันไม่ติด โลกจึงเริ่มแคบลงสำหรับเผด็จการอมาตย์ ที่ครอบครองประเทศนี้อยู่ในขณะนี้ทุึกสมรภูมิในโลกนี้ เผด็จการอมาตย์เริ่มพ่ายแพ้ และลามเข้ามาถึงในบ้านของตนเองแล้วในขณะนี้การที่
รัฐบาลนี้ เป็นศัตรูกับประเทศรอบบ้าน, การเป็นรัฐบาลที่ไม่มีจุดยืนในทางการเมืองระหว่างประเทศ, การเป็นรัฐบาลที่ต่อท่ออำนาจ มาจากการรัฐประหาร, และเป็นรัฐบาลที่ไม่ได้รับการยอมรับจากประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ แม้แต่ ABAC โพล ที่เคยเป็นโพลสำรวจที่เข้าข้างเผด็จการอมาตย์ตลอดมา แบบสำรวจที่ำทำออกมา ยัีงแสดงให้เห็นว่า ท่านนายกฯทักษิณ ที่มิได้อยู่ในประเทศไทย และถุกกล่าวหาตลอดมาว่า เป็น น.ช.ทักษิณ
ได้รับความนิยมมากกว่านายกอภิสิทธิ์ ที่เป็นนายกคนปัจจุบันของประเทศนี้เสียด้วยซ้ำสิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่แสดงให้เห็นแล้วว่า ทุกสมรภูมิรอบ ๆ ตัวของเผด็จการอมาตย์ที่เคยครองอำนาจอยู่เริ่มหมดอำนาจลง และเิริ่มเสื่อมความนิยมลงอย่างสิ้นเชิงแล้ว รอเพียงวันพ่ายแพ้เท่านั้น ซึ่งจะมาถึงแน่ ๆ เพียงแต่ว่า จะถึงเมื่อไรเท่านั้นหมุดตัวสำคัญที่เหมือนกับการยื่นคำขาดกลาย ๆ จากประชาชนผู้รักประชาธิปไตย
มายังกลุ่มเผด็จการอมาตย์ก็คือ ประชาชนไทยทั่วทั้งประเทศนับแสนคน ร่วมกันจัดงานทำบุญวันเกิดครบรอบ 60 ปี ให้กับท่านนายกฯทักษิณโดยมิได้นัดหมายโดยรอบประเทศไทยถึง 61 จังหวัดและมีเสียงเรียกร้องกระหึ่มไปทั่วทั้งประเทศ โดยผ่านทางการถวายฎีกานับล้านรายชื่อว่า “ขอให้ท่านนายกฯทักษิณ ได้รับการอภัยโทษ และกลับมาสู่ประเทศไทย”นี่คือสัญญาณที่บอกออกมาแล้วว่า เผด็จการอมาตย์ ท่านกำลังสู้อยู่กับคู่่ต่อสู้ที่น่ากลัวที่สุด
เท่าที่ชั่วชิวิตนี้ท่านเคยพบมานั่นคือ “ประชาชนทั้งชาติ”ทางเลือกเวลานี้ของเผด็จการอมาตย์ มีหนทางให้เลือกเดินเพียงสองเส้นทางเท่านั้นคือ
1.ยอมรับการเปลี่ยนแปลงไปตามกระแสโลก โดยยอมเปลี่ยนระบอบการปกครอง มาเป็นประชาธิปไตย โดยถอยตัวเองและพวกพ้อง ออกไปจากศูนย์อำนาจ ปล่อยให้ประชาชนในประเทศนี้ ตัดสินใจเลือกทางเดินของเขาเองตามวิถีทางประชาธิปไตย ผลก็คือ จะเกิดการเปลี่ยนผ่านอย่างสงบสุข และเผด็จการอมาตย์ก็ยังคงได้รับการยอมรับ เคารพนับถือ และรักษาสถานภาพจากประชาชนในชาติได้ต่อไป หรือ
2. ปฏิเสธที่จะยอมรับการเปลี่ยนแปลงใด ๆ แต่ยังคงใช้อำนาจที่เหลืออยู่ กดขี่คนในชาติต่อไป อาจจะโดยการใช้กำลังทหารเข้ายึดอำนาจอีกครั้ง แบบเบ็ดเสร็จ หรือการใช้อำนาจอิทธิพลที่มีอยู่ จัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติก็ตามที ผลที่จะเกิดตามมาก็คือการนองเลือด การฆ่าฟันทำลายล้างกันของคนในชาติอย่างรุนแรง และสุดท้าย สถานภาพของเผด็จการอมาตย์ ก็จะถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิงในที่สุด แม้ว่าประชาชนจะเป็นฝ่ายสูญเสียอย่ีางมากก็ตาม...ผมเชื่อว่า
ด้วยความเป็นคนไทย เป็นผู้ที่เกิดในประเทศไทยเหมือนกัน มีเชื้อสายเดียวกัน เผ่าพันธุ์เดียวกัน สิ่งนี้เป็นเหมือนสายโซ่ที่มองไม่เห็น ที่ผูกพันความเป็นชาติไทย และคนเชื้อชาติไทยเอาไว้ด้วยกันผมมองด้วยมุมมองที่ดีว่า ในที่สุดแล้ว เผด็จการอมาตย์จะมีจิตใจที่มีความเป็นคนไทย รักประชาชนในประเทศ มากกว่าความยิ่งใหญ่ หรืออำนาจของตนเอง
โดยยอมปล่อยอำนาจที่อยู่ในมือให้ประชาชนเสีย โดยไม่ต้องมีใครเสียเลือดเนื้ออีกต่อไป....แต่ถ้าการณ์กลับกลายเป็นตรงกันข้าม ทหารเกิดขับรถถังออกมา แล้วประกาศยึดอำนาจในประเทศนี้อีก ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ครั้งนี้คงจะไม่ง่ายดายเหมือนเมื่อครั้ง 19 กันยาน 2549 อีกแล้วขณะนี้กลุ่มขั้วอำนาจในประเทศนี้ ก็แบ่งขั้วกันชัดเจน กระแสข่าวการปลด พล.ต.อ. พัชรวาท วงศ์สุวรรณ เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นชัด ถึงความขัดแย้งกันระหว่างขั้วอำนาจเดิม ที่มีอามาตย์สี่เสาเป็นแกนหลัก
กลับกลุ่มขั้วอำนาจใหม่ที่กำลังก่อตัวขึ้น โดยมีอำนาจรัฐและกองทัพเป็นฐานกำลังนี่คือความแตกร้าวของฐานอำนาจที่เคยทรงพลัง ของเผด็จการอมาตย์ในคราวที่รวมพลังกันล้มล้างรัฐบาลของท่านนายกฯทักษิณ เมื่อหลายปีที่ผ่านมา ....
ความขัดแย้งอย่างหนัก ระหว่างพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคร่วมรัฐบาล ในเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ, ความล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของชาติ ที่ส่งผลกระทบกับประชาชนในวงกว้าง, ความล้มเหลวในการป้องกันไข้หวัด 2009 ที่ทำให้ประเทศไทย กลายเป็นประเทศที่มีผู้เสียชีวิตติดอันดับโลก, แรงกดดันของประชาชน จากกลุ่มประชาชนผู้รักประชาธิปไตย
ที่แสดงให้เห็นแล้วว่า พวกเขารวมตัวกันมากยิ่งขึ้น และแสดงให้เห็นมากขึ้นทุกทีว่าไม่ยอมรับอำนาจการปกครองของรัฐบาลนายกอภิสิทธิ์ อีกต่อไป....การรวบรวมรายชื่อถวายฎีกา ที่มีคนมาร่วมลงชื่อมากกว่า 5 ล้านชื่อนี้ แสดงให้เห็นชัดเจนแล้วว่า ประชาชนจำนวนมากในประเทศนี้ พร้อมแล้ว ที่จะลุกขึ้นต่อสู้กับอำนาจอันไม่เป็นธรรม
ที่ครอบคลุมประเทศนี้อยู่สงครามประชาชนอาจจะเกิดขึ้นเมื่อไรก็ได้ ถ้าเผด็จการอมาตย์เกิดหน้ามืด ใช้กองทัพเข้ายึดอำนาจเพื่อปิดประเทศเวลานี้เส้นแบ่งระหว่างความสงบในชาติ กับการที่ประเทศชาติจะลุกเป็นไฟด้วยสงครามประชาชนนั้น มีเส้นแบ่งที่บางมาก ทุกอย่างอยู่ที่ความต้องการของเผด็จการอมาตย์ว่า “ต้องการให้ประเทศนี้จะมีสภาพที่เปลี่ยนไปอย่างไร”และแน่นอนว่า ผลที่เกิดจากเลือกของพวกเขานี้ จะส่งผลที่จะทำให้ประเทศไทยเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
ที่มา เวบไซต์ thaifreenews
2 สิงหาคม 2552
เมื่อสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ก่อนสิ้นสุดสงครามอเมริกาได้ยื่นคำขาดให้กับรัฐบาลญี่ปุ่นเพียง 2 ทางเท่านั้น คือ จะยอมจำนน หรือจะต่อสู้ต่อไป ไม่มีหนทางอื่นให้เลือกได้ แม้ว่ารัฐบาลทหารของญีุ่ปุ่นจะรู้ว่าตนเองถูกรุกไล่ และพ่ายแ้พ้ในทุกสมรภูมิ แต่ก็ยังรักเกียรติของตนเองมากกว่ารักประชาชน จึงปฏิเสธข้อเสนอนั้น และขอสู้ต่อโดยหวังว่า “สงครามครั้งสุดท้าย” คือการยกพลขึ้นบก เข้ายึดครองประเทศญี่ปุ่น
ของอเมริกา จะเป็นสงครามชี้ชะตากันว่า ใครจะแพ้ใครจะชนะแต่หลังจากที่อเมริกายกพลขึ้นบกครั้งสุดท้ายที่โอกินาวาแล้ว อเมริกาก็เลือกใช้ยุทธวิธี ที่ไม่ต้องเสี่ยงกับชีวิตทหารอีก ด้วยเทคโนโลยีที่เหนือกว่า นั่นคือใช้ระเบิดปรมาณูถล่มเมืองฮิโรชิมา และนางาซากิ 2 เมือง พร้อมทั้งชีวิตชาวญี่ปุ่นนับแสนคน ต้องสังเวยไปเพราะการตัดสินใจของคนเพียงกลุ่มเล็กๆ กลุ่มเดียวเท่านั้นยุทธศาสตร์โลกล้อมประเทศ ที่ท่านนายกฯทักษิณ
และกลุ่มคนผู้รักประชาธิปไตย ที่กำลังดำเนินการต่อสู้กับเผด็จการอมาตย์อยู่ในขณะนี้ เริ่มส่งผลให้เห็นเป็นรูปธรรมและชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยความรู้ วิสัยทัศน์ ความคิด และเทคโนโลยีที่ล้ำหน้ากว่าเผด็จการอมาตย์ อย่างเทียบกันไม่ติด โลกจึงเริ่มแคบลงสำหรับเผด็จการอมาตย์ ที่ครอบครองประเทศนี้อยู่ในขณะนี้ทุึกสมรภูมิในโลกนี้ เผด็จการอมาตย์เริ่มพ่ายแพ้ และลามเข้ามาถึงในบ้านของตนเองแล้วในขณะนี้การที่
รัฐบาลนี้ เป็นศัตรูกับประเทศรอบบ้าน, การเป็นรัฐบาลที่ไม่มีจุดยืนในทางการเมืองระหว่างประเทศ, การเป็นรัฐบาลที่ต่อท่ออำนาจ มาจากการรัฐประหาร, และเป็นรัฐบาลที่ไม่ได้รับการยอมรับจากประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ แม้แต่ ABAC โพล ที่เคยเป็นโพลสำรวจที่เข้าข้างเผด็จการอมาตย์ตลอดมา แบบสำรวจที่ำทำออกมา ยัีงแสดงให้เห็นว่า ท่านนายกฯทักษิณ ที่มิได้อยู่ในประเทศไทย และถุกกล่าวหาตลอดมาว่า เป็น น.ช.ทักษิณ
ได้รับความนิยมมากกว่านายกอภิสิทธิ์ ที่เป็นนายกคนปัจจุบันของประเทศนี้เสียด้วยซ้ำสิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่แสดงให้เห็นแล้วว่า ทุกสมรภูมิรอบ ๆ ตัวของเผด็จการอมาตย์ที่เคยครองอำนาจอยู่เริ่มหมดอำนาจลง และเิริ่มเสื่อมความนิยมลงอย่างสิ้นเชิงแล้ว รอเพียงวันพ่ายแพ้เท่านั้น ซึ่งจะมาถึงแน่ ๆ เพียงแต่ว่า จะถึงเมื่อไรเท่านั้นหมุดตัวสำคัญที่เหมือนกับการยื่นคำขาดกลาย ๆ จากประชาชนผู้รักประชาธิปไตย
มายังกลุ่มเผด็จการอมาตย์ก็คือ ประชาชนไทยทั่วทั้งประเทศนับแสนคน ร่วมกันจัดงานทำบุญวันเกิดครบรอบ 60 ปี ให้กับท่านนายกฯทักษิณโดยมิได้นัดหมายโดยรอบประเทศไทยถึง 61 จังหวัดและมีเสียงเรียกร้องกระหึ่มไปทั่วทั้งประเทศ โดยผ่านทางการถวายฎีกานับล้านรายชื่อว่า “ขอให้ท่านนายกฯทักษิณ ได้รับการอภัยโทษ และกลับมาสู่ประเทศไทย”นี่คือสัญญาณที่บอกออกมาแล้วว่า เผด็จการอมาตย์ ท่านกำลังสู้อยู่กับคู่่ต่อสู้ที่น่ากลัวที่สุด
เท่าที่ชั่วชิวิตนี้ท่านเคยพบมานั่นคือ “ประชาชนทั้งชาติ”ทางเลือกเวลานี้ของเผด็จการอมาตย์ มีหนทางให้เลือกเดินเพียงสองเส้นทางเท่านั้นคือ
1.ยอมรับการเปลี่ยนแปลงไปตามกระแสโลก โดยยอมเปลี่ยนระบอบการปกครอง มาเป็นประชาธิปไตย โดยถอยตัวเองและพวกพ้อง ออกไปจากศูนย์อำนาจ ปล่อยให้ประชาชนในประเทศนี้ ตัดสินใจเลือกทางเดินของเขาเองตามวิถีทางประชาธิปไตย ผลก็คือ จะเกิดการเปลี่ยนผ่านอย่างสงบสุข และเผด็จการอมาตย์ก็ยังคงได้รับการยอมรับ เคารพนับถือ และรักษาสถานภาพจากประชาชนในชาติได้ต่อไป หรือ
2. ปฏิเสธที่จะยอมรับการเปลี่ยนแปลงใด ๆ แต่ยังคงใช้อำนาจที่เหลืออยู่ กดขี่คนในชาติต่อไป อาจจะโดยการใช้กำลังทหารเข้ายึดอำนาจอีกครั้ง แบบเบ็ดเสร็จ หรือการใช้อำนาจอิทธิพลที่มีอยู่ จัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติก็ตามที ผลที่จะเกิดตามมาก็คือการนองเลือด การฆ่าฟันทำลายล้างกันของคนในชาติอย่างรุนแรง และสุดท้าย สถานภาพของเผด็จการอมาตย์ ก็จะถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิงในที่สุด แม้ว่าประชาชนจะเป็นฝ่ายสูญเสียอย่ีางมากก็ตาม...ผมเชื่อว่า
ด้วยความเป็นคนไทย เป็นผู้ที่เกิดในประเทศไทยเหมือนกัน มีเชื้อสายเดียวกัน เผ่าพันธุ์เดียวกัน สิ่งนี้เป็นเหมือนสายโซ่ที่มองไม่เห็น ที่ผูกพันความเป็นชาติไทย และคนเชื้อชาติไทยเอาไว้ด้วยกันผมมองด้วยมุมมองที่ดีว่า ในที่สุดแล้ว เผด็จการอมาตย์จะมีจิตใจที่มีความเป็นคนไทย รักประชาชนในประเทศ มากกว่าความยิ่งใหญ่ หรืออำนาจของตนเอง
โดยยอมปล่อยอำนาจที่อยู่ในมือให้ประชาชนเสีย โดยไม่ต้องมีใครเสียเลือดเนื้ออีกต่อไป....แต่ถ้าการณ์กลับกลายเป็นตรงกันข้าม ทหารเกิดขับรถถังออกมา แล้วประกาศยึดอำนาจในประเทศนี้อีก ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ครั้งนี้คงจะไม่ง่ายดายเหมือนเมื่อครั้ง 19 กันยาน 2549 อีกแล้วขณะนี้กลุ่มขั้วอำนาจในประเทศนี้ ก็แบ่งขั้วกันชัดเจน กระแสข่าวการปลด พล.ต.อ. พัชรวาท วงศ์สุวรรณ เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นชัด ถึงความขัดแย้งกันระหว่างขั้วอำนาจเดิม ที่มีอามาตย์สี่เสาเป็นแกนหลัก
กลับกลุ่มขั้วอำนาจใหม่ที่กำลังก่อตัวขึ้น โดยมีอำนาจรัฐและกองทัพเป็นฐานกำลังนี่คือความแตกร้าวของฐานอำนาจที่เคยทรงพลัง ของเผด็จการอมาตย์ในคราวที่รวมพลังกันล้มล้างรัฐบาลของท่านนายกฯทักษิณ เมื่อหลายปีที่ผ่านมา ....
ความขัดแย้งอย่างหนัก ระหว่างพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคร่วมรัฐบาล ในเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ, ความล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของชาติ ที่ส่งผลกระทบกับประชาชนในวงกว้าง, ความล้มเหลวในการป้องกันไข้หวัด 2009 ที่ทำให้ประเทศไทย กลายเป็นประเทศที่มีผู้เสียชีวิตติดอันดับโลก, แรงกดดันของประชาชน จากกลุ่มประชาชนผู้รักประชาธิปไตย
ที่แสดงให้เห็นแล้วว่า พวกเขารวมตัวกันมากยิ่งขึ้น และแสดงให้เห็นมากขึ้นทุกทีว่าไม่ยอมรับอำนาจการปกครองของรัฐบาลนายกอภิสิทธิ์ อีกต่อไป....การรวบรวมรายชื่อถวายฎีกา ที่มีคนมาร่วมลงชื่อมากกว่า 5 ล้านชื่อนี้ แสดงให้เห็นชัดเจนแล้วว่า ประชาชนจำนวนมากในประเทศนี้ พร้อมแล้ว ที่จะลุกขึ้นต่อสู้กับอำนาจอันไม่เป็นธรรม
ที่ครอบคลุมประเทศนี้อยู่สงครามประชาชนอาจจะเกิดขึ้นเมื่อไรก็ได้ ถ้าเผด็จการอมาตย์เกิดหน้ามืด ใช้กองทัพเข้ายึดอำนาจเพื่อปิดประเทศเวลานี้เส้นแบ่งระหว่างความสงบในชาติ กับการที่ประเทศชาติจะลุกเป็นไฟด้วยสงครามประชาชนนั้น มีเส้นแบ่งที่บางมาก ทุกอย่างอยู่ที่ความต้องการของเผด็จการอมาตย์ว่า “ต้องการให้ประเทศนี้จะมีสภาพที่เปลี่ยนไปอย่างไร”และแน่นอนว่า ผลที่เกิดจากเลือกของพวกเขานี้ จะส่งผลที่จะทำให้ประเทศไทยเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น