
สิงหาคม 2552
การยื่นถวายฎีกาที่กำลังจะมีขึ้นในวันที่ 17 สิงหาคมนี้ เป็นสิ่งที่ชี้วัดว่า ประเทศไทยจะก้าวเดินไปสู่ทิศทางไหน ทั้งชาวไทยและชาวโลก ต่างรอคอยพระบรมราชวินิจฉัยของพระมหากษัตริย์ไทย ที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อของแผ่นดิน
เพราะการแย่งชิงอำนาจกันในทางการเมือง และการเรียกร้องความยุติธรรมของประชาชนได้ก้าวเข้ามาถึงจุดสูงสุดของความขัดแย้ง เมื่อประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ทนไม่ได้ ที่ถูกกดขี่ข่มเหง จนใกล้ที่จะลุกขึ้นสู้ พระมหากษัตริย์ไทยซึ่งเป็นจุดศูนย์รวมดวงใจของไทยทั้งชาติ ประชาชนให้ความเครารพและสักการะอย่างสูงสุดมาอย่างยาวนาน ประชาชนเชื่อมั่นว่ามีแต่พระองค์เท่านั้นที่จะสามารถลงมาแก้ไขปัญหา และยุติความขัดแย้งที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ให้สำเร็จลุล่วงไปได้นอกเหนือจากนั้น ในกฎหมายรัฐธรรมนูญก็ยังระบุไว้ว่า
ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และที่สำคัญพระองค์ยังดำรงตำแหน่งจอมทัพไทยอีกด้วย นั้นคืออำนาจและเกียรติยศอันสูงสุด ที่ประชาชนชาวไทยให้ความเคารพสักการะและถือว่าพระองค์ทรงเป็นเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของพสกนิกรชาวไทย ความจงรักภักดีของพสกนิกรชาวไทยนั้นเห็นได้จากงานฉลอง ที่พระองค์ทรงครองราชย์ครบรอบ 60 ปี เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2549
ที่มีมวลมหาประชาชนจำนวนมากใส่เสื้อเหลืองมาร่วมกล่าวคำถวายพระพร มีหลายคนที่มีจิตสำนึกว่าตัวของเขานั้น เมื่อได้อยู่ในใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทของพระองค์ นับว่าเป็นสิริมงคลอย่างสูงสุด เป็นความจงรักภักดีที่ไม่เคยมีกษัตริย์องค์ใดในโลกจะได้รับข่าวที่เป็นมงคลของพระองค์ก็มีมาอย่างต่อเนื่อง และข่าวที่เป็นมิ่งมงคลให้แก่ประชาชนชาวไทยภาคภูมิใจที่สุดอีกเรื่องก็คือ ข่าวที่นิตยสารฟอร์บส์ทรงเทิดพระเกียรติให้พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ที่ร่ำรวยที่สุดในโลก นับว่าพระองค์ทรงเป็นแบบอย่างที่ดีในการสร้างฐานะให้คนไทยเห็นเป็นแบบอย่าง ทั้งที่ประเทศไทยเป็นเมืองเกษตรกรรม และกำลังตกอยู่ในภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจ นับเป็นกษัตริย์เหนือกษัตริย์โดยแท้และยังทำให้ประชาชนที่อยู่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทของพระองค์
สามารถเชิดหน้าต่อชาวโลกได้ว่า ประเทศไทยมี กษัตริย์ที่มีพระราชบุญญาธิการ และมีพระราชอัจฉริยภาพที่สูงยิ่ง เป็นบุญบารมีที่คนไทยมีกษัตริย์เช่นพระองค์ ในความรู้สึกของประชาชน พระองค์เปรียบสเหมือนสมมุติเทพที่ยิ่งใหญ่ ทรงเป็นมิ่งขวัญของปวงชนชาวไทยทั้งชาติในเหตุการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองเมื่อเดือน พฤษภาคม 2535 พระองค์ก็ทรงมีพระเมตา เรียก พลเอก สุจินดา และพลตรี จำลอง เข้ามาเพื่อยุติความขัดแย้ง ยังความปลื้มปิติ ให้แก่พสกนิกรชาวไทยเป็นยิ่งนัก นับว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ประชาชนชาวไทยมั่นใจว่า
ถ้าประเทศชาติเกิดวิกฤตในคราใด ก็มีแต่พระองค์ท่านเท่านั้น ที่จะเสด็จลงมาแก้ไขปัญหา และดับทุกข์ของปวงประชาราษฎร์ได้ หลังเหตุการณ์ พฤษภาคม 2535 เป็นต้นมา จนกระทั่ง พรรคไทยรักไทยได้เข้ามาเป็นรัฐบาลบริหารประเทศ ในปี 2544 การพัฒนาประเทศก็เจริญรุดหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง ประชาชนเริ่มอยู่ดีมีสุข มองเห็นอนาคตอันสดใส คนส่วนใหญ่เริ่มมีความหวังในการสร้างฐานะให้ครอบครัว เยาวชนเริ่มเรียนรู้ในแนวทางการศึกษาใหม่ ซึ่งเป็นความหวังของชาติ
ในการพัฒนาประเทศ แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์รัฐประหารขึ้น ในวันที่ 19 กันยายน 2549 จึงทำให้เกิดมีคำถามในหมู่ประชาชนว่าทำไม..คณะรัฐประหารจึงกระทำการมิบังควร โดยใช้ชื่อว่า “ คณะปฏิรูปการปกครอง ในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ”ทำไม..ประธานองคมนตรีซึ่งมีหน้าที่ถวายความเห็นต่อพระมหากษัตริย์ จึงลงมาแทรกแซงทางการเมือง โดยเดินสายโจมตีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง และออกมาสนับสนุนการรัฐประหาร
โดยนำคณะรัฐประหารเข้าเฝ้าในกลางดึก อันเป็นการรบกวนเบื้องพระยุคลบาททำไม..สนธิ ลิ้มทองกุล ออกมาประกาศในทางมิบังควรว่า เจ้าของผ้าพันคอสีฟ้า..เป็นผู้สนับสนุนพวกตนทำไม..พันธมิตรจึงเคลื่อนไหวทางการเมือง โดยแอบอ้างในทางที่หมิ่นเหม่ว่า"สู้เพื่อในหลวง" แต่กลับทำลายประเทศชาติของตัวเองอย่างย่อยยับ โดยการไปยึดสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ ทำไม..ศาลจึงออกมาทำลายระบอบประชาธิปไตย
ทำลายพรรคการเมืองที่ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศให้การสนับสนุน ทั้งที่พระองค์ท่านเคยมีพระราชดำรัสให้ศาลออกมาแก้ไขปัญหา แต่ศาลที่เรียกตัวเองอย่างสวยหรูว่า ตุลาการภิวัฒน์ กลับออกมาสร้างปัญหา ตัดสินคดีต่าง ๆ ทางการเมืองผิดเพี้ยนไปจากหลักกฎหมาย ทำลายระบบนิติธรรม นิติรัฐ หาความยุติธรรมในประเทศนี้มิได้ ทำให้ประชาชนเสื่อมศรัทราอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ทำไม..คนพวกนี้จึงทำลายประเทศของตนเอง พวกเขาอยู่ใต้อาณัติของผู้ใด ความอยุติธรรมทั้งหลายที่เกิดขึ้นนั้น ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศโกรธแค้น ออกมาชุมนุมประท้วงจนสถานการณ์ลุกลามไปจนถึงขั้นการเผชิญหน้า และเข่นฆ่าประชาชนที่บริสุทธิ์ในวันที่13 เมษายน 2552 สิ่งที่สร้างความไม่สบายใจให้ประชาชนชาวไทยอย่างมิอาจปฎิเสธได้ประการหนึ่งก็คือ บุคคลต่าง ๆ ที่ออกมาแสดงบทบาท ในการฆ่าประชาชนและทำลายประเทศของตัวเองนั้น ล้วนแต่แอบอ้างตนว่า เป็นบุคคลที่อยู่ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาททั้งสิ้น
อันเป็นการกระทบพระเกียรติยศอย่างยากที่พสกนิกรชาวไทยผู้จงรักภักดีจะยอมรับได้การเข้าชื่อร้องทุกข์ เพื่อถวายฎีกาของมวลมหาประชาชนในครั้งนี้ มิได้เป็นการระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาทแต่ประการใด เพราะในกฎหมายรัฐธรรมนูญปัจจุบันได้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า พระองค์ทรงเป็นพระประมุขของปวงชนชาวไทย และขนบธรรมเนียมประเพณีในการร้องทุกข์ก็มีมาอย่างยาวนานตั้งแต่สมัยสุโขทัยเมื่อปวงชนชาวไทยส่วนใหญ่ของประเทศได้รับความเดือดร้อน เขาก็ต้องร้องทุกข์ต่อองค์พระประมุขของเขา เขาจะหาที่พึ่งที่ไหนได้อีก เพราะพระองค์ทรงเป็นมิ่งขวัญและเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของประชาชนการเข้าชื่อร้องทุกข์ถวายฎีกาต่อพระมหากษัตริย์ไทยในครั้งนี้ ประวัติศาสตร์ จะต้องจดบันทึกไว้เป็นหลักฐานเพราะมีผู้ลงชื่อนับสิบล้านคน
ทั้งผู้ที่เข้าชื่อถวายฎีกาและผู้ที่สนับสนุนการถวายฎีกา เป็นฎีการ้องทุกข์ ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก เป็นฎีการ้องทุกข์ที่ไม่เคยมีประชาชนชาติใดในโลกเคยทำมาก่อน ประชาชนชาวไทยผู้ซึ่งเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยอย่างแท้จริง พวกเขาเหล่านั้น มิได้ขออะไรที่มันมากมายเลย พวกเขาขอแต่เพียงความยุติธรรมขั้นพื้นฐานเท่านั้น พวกเขาเชื่อว่าสิ่งที่ได้ยินได้ฟังมาหลายสิบปีตามสื่อต่าง ๆ ว่า พระองค์เป็นกษัตริย์ที่ทรงทศพิศราชธรรม และพระราชปฐมบรมราโชวาทของพระองค์ที่ว่า "เราจะปกครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขของมหาชนชาวสยาม"ก็ดังก้องอยู่ในหูของประชาชนมาอย่างยาวนาน อันเป็นประหนึ่งสัญญาประชาคมที่พระองค์ทรงให้ไว้ต่อประชาชนมาบัดนี้ประเทศใกล้จะถึงกาลวินาศ
จากการกระทำน้ำมือของบรรดาผู้ที่ชอบแอบอ้างว่าอยู่ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท อันกระทบต่อพระเกียรติยศ ประชาชนและชาวโลกต่างจึงต่างก็เฝ้ารอดูว่า พระองค์จะมีพระบรมราชวินิจฉัยอย่างไรที่จะขจัดปัดเป่าทุกข์ของแผ่นดิน และพระบรมราชวินิจฉัยนั้นก็ย่อมเป็นที่สุดสำหรับประชนเจ้าของประเทศ..ส่วนใหญ่ล้วนอยากเห็นการเปลี่ยนผ่านอย่างสันติ แต่ประวัติศาสตร์ก็มักบอกเราด้วยเช่นกันว่า ในบางกรณีเมื่อฟางเส้นสุดท้ายขาดผึงลง กระบวนการต่อสู้ของประชาชนก็จะคลี่คลายขยายตัวไปอย่างเป็นธรรมชาตินอกเหนือวิถีทางสันติอย่างน่าเสียดาย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น