
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
ปีที่ 10 ฉบับที่ 2614
ประจำวัน อังคาร ที่ 25 สิงหาคม 2009
รัฐสภา : ภาคีพระวิหารค้านข้อตกลงไทย-กัมพูชาเข้าสภา เพราะจะทำให้การขึ้นทะเบียนมรดกโลกปราสาทพระวิหารสมบูรณ์ ทำให้ไทยเสียดินแดน 4.6 ตร.กม. เปลี่ยนหลักหมุดที่ 73 ต้องเสียบ่อน้ำมันให้เขมร ระบุผิดหวัง “กษิต” ปล่อยเกียร์ว่างทำให้เสียดินแดน แนะให้ลาออก
ม.ล.วัลย์วิภา จรูญโรจน์ นักวิชาการสถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นายเทพมนตรี ลิมปพยอม นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ นายวีระ สมความคิด ประธานเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน ในฐานะภาคีเครือข่ายผู้ติดตามสถานการณ์ปราสาทเขาพระวิหาร ยื่นหนังสือต่อนายวรินทร์ เทียมจรัส ส.ว.สรรหา รองประธานคณะกรรมาธิการพัฒนาการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา เพื่อคัดค้านการนำวาระร่างข้อตกลงชั่วคราวไทย-กัมพูชาเข้าสู่การพิจารณาขอความเห็นชอบจากรัฐสภา ตามมาตรา 190 (2) ในวันที่ 28 สิงหาคม
ม.ล.วัลย์วิภากล่าวว่า เครือข่ายขอคัดค้านกรณีที่รัฐสภาจะพิจารณาข้อตกลงของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา เนื่องจากจะเป็นการนำไปสู่การขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกอย่างสมบูรณ์ของกัมพูชา ทั้งนี้ น่าสังเกตว่าร่างข้อตกลงดังกล่าวรีบเสนอเข้ามาและมีการหมกเม็ด เลี่ยงบาลีหลายจุด ตั้งแต่การเปลี่ยนชื่อเรียกการแก้ปัญหาจากเรื่องปราสาทพระวิหารเป็นเรื่องพื้นที่ระหว่างภูมะเขือกับช่องตาเฒ่า รวมไปถึงการบังคับให้ไทยต้องถอนทหารออกจากพื้นที่ 4.6 ตร.กม. ซึ่งหมายถึงว่าเป็นการยอมให้กัมพูชาได้ครอบครอง แม้แต่วันนี้คนไทยก็ไม่สามารถขึ้นไปที่ผามออีแดง ซึ่งเป็นเขตของไทยชัดเจนไม่ได้อยู่แล้ว
ขณะที่นายเทพมนตรีได้แสดงแผนที่ประเทศกัมพูชา ซึ่งมีตรายูเนสโกประทับไว้ด้านล่าง โดยอธิบายว่าเป็นแผนที่ที่กัมพูชาจัดทำขึ้นที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เตรียมที่จะประกาศใช้หลังจากที่ยูเนสโกรับรองการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก หลังวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2553 โดยแผนที่ดังกล่าวจะเปลี่ยนหลักหมุดที่ 73 ซึ่งอยู่ที่บ้านหาดเล็ก จ.ตราด ทำให้ปราสาทตาเมือนธมตกเป็นของกัมพูชา ซึ่งกัมพูชาเตรียมแผนที่จะประกาศเป็นมรดกโลกต่อจากปราสาทพระวิหาร รวมทั้งยังเปลี่ยนพิกัดในทะเลอ่าวไทยทำให้ไทยต้องสูญเสียบ่อน้ำมันขนาด 5.5 ล้านล้านบาเรล ซึ่งปัจจุบันแบ่งกับกัมพูชาในอัตราส่วน 80/20 จะกลายเป็น 20/80 ทันที
นายเทพมนตรีกล่าวต่อว่า วันที่ 25 สิงหาคม ตั้งแต่ 09.00 น. ที่อาคารรัฐสภา 2 จะมีการเสวนาเรื่องพื้นที่ 4.6 ตร.กม. โดยจะนำเอกสารของกระทรวงการต่างประเทศที่ทำถึงสำนักราชเลขาธิการ ลงวันที่ 20 มิถุนายน 2551 ยอมรับว่าคณะกรรมการมรดกโลกขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารให้กับกัมพูชาฝ่ายเดียว ทั้งที่วันที่ยูเนสโกลงมติคือ 7 กรกฎาคม 2551 แสดงว่ากระทรวงต่างประเทศรู้ผลการตัดสินล่วงหน้าแล้วแต่ไม่ดำเนินการอะไร ส่วนที่นายสุวิทย์ คุณกิตติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ไปคัดค้านในการประชุมที่ประเทศสเปนนั้น ไม่พบหลักฐานว่ามีการคัดค้านจริง มีแต่การให้สัมภาษณ์ของนายสุวิทย์เท่านั้น แต่ข้อมูลของตนคือนายสุวิทย์กลับไปเซ็นชื่อรับรองให้กระบวนการขึ้นทะเบียนเดินหน้าต่อไปได้
"ตั้งแต่นายนพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ไปลงนามแถลงการณ์ร่วมยอมรับให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนมรดกโลกได้ฝ่ายเดียว หลังจากนั้นแม้เปลี่ยนรัฐบาลแต่กระบวนการต่างๆก็ดำเนินการต่อไป นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ไม่เอาใจใส่กับเรื่องนี้ ส่วนนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่เคยมีท่าทีแข็งกร้าวบนเวทีพันธมิตรก็ไม่สนใจเมื่อผมนำเอกสารไปให้อ่าน อ้างว่าเอาลืมไว้ที่บ้านไม่ยอมอ่าน ผมคิดว่าถ้านายกษิตปกป้องอธิปไตยของชาติไม่ได้ก็ควรลาออกไป" นายเทพมนตรีกล่าว
ปีที่ 10 ฉบับที่ 2614
ประจำวัน อังคาร ที่ 25 สิงหาคม 2009
รัฐสภา : ภาคีพระวิหารค้านข้อตกลงไทย-กัมพูชาเข้าสภา เพราะจะทำให้การขึ้นทะเบียนมรดกโลกปราสาทพระวิหารสมบูรณ์ ทำให้ไทยเสียดินแดน 4.6 ตร.กม. เปลี่ยนหลักหมุดที่ 73 ต้องเสียบ่อน้ำมันให้เขมร ระบุผิดหวัง “กษิต” ปล่อยเกียร์ว่างทำให้เสียดินแดน แนะให้ลาออก
ม.ล.วัลย์วิภา จรูญโรจน์ นักวิชาการสถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นายเทพมนตรี ลิมปพยอม นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ นายวีระ สมความคิด ประธานเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน ในฐานะภาคีเครือข่ายผู้ติดตามสถานการณ์ปราสาทเขาพระวิหาร ยื่นหนังสือต่อนายวรินทร์ เทียมจรัส ส.ว.สรรหา รองประธานคณะกรรมาธิการพัฒนาการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา เพื่อคัดค้านการนำวาระร่างข้อตกลงชั่วคราวไทย-กัมพูชาเข้าสู่การพิจารณาขอความเห็นชอบจากรัฐสภา ตามมาตรา 190 (2) ในวันที่ 28 สิงหาคม
ม.ล.วัลย์วิภากล่าวว่า เครือข่ายขอคัดค้านกรณีที่รัฐสภาจะพิจารณาข้อตกลงของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา เนื่องจากจะเป็นการนำไปสู่การขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกอย่างสมบูรณ์ของกัมพูชา ทั้งนี้ น่าสังเกตว่าร่างข้อตกลงดังกล่าวรีบเสนอเข้ามาและมีการหมกเม็ด เลี่ยงบาลีหลายจุด ตั้งแต่การเปลี่ยนชื่อเรียกการแก้ปัญหาจากเรื่องปราสาทพระวิหารเป็นเรื่องพื้นที่ระหว่างภูมะเขือกับช่องตาเฒ่า รวมไปถึงการบังคับให้ไทยต้องถอนทหารออกจากพื้นที่ 4.6 ตร.กม. ซึ่งหมายถึงว่าเป็นการยอมให้กัมพูชาได้ครอบครอง แม้แต่วันนี้คนไทยก็ไม่สามารถขึ้นไปที่ผามออีแดง ซึ่งเป็นเขตของไทยชัดเจนไม่ได้อยู่แล้ว
ขณะที่นายเทพมนตรีได้แสดงแผนที่ประเทศกัมพูชา ซึ่งมีตรายูเนสโกประทับไว้ด้านล่าง โดยอธิบายว่าเป็นแผนที่ที่กัมพูชาจัดทำขึ้นที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เตรียมที่จะประกาศใช้หลังจากที่ยูเนสโกรับรองการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก หลังวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2553 โดยแผนที่ดังกล่าวจะเปลี่ยนหลักหมุดที่ 73 ซึ่งอยู่ที่บ้านหาดเล็ก จ.ตราด ทำให้ปราสาทตาเมือนธมตกเป็นของกัมพูชา ซึ่งกัมพูชาเตรียมแผนที่จะประกาศเป็นมรดกโลกต่อจากปราสาทพระวิหาร รวมทั้งยังเปลี่ยนพิกัดในทะเลอ่าวไทยทำให้ไทยต้องสูญเสียบ่อน้ำมันขนาด 5.5 ล้านล้านบาเรล ซึ่งปัจจุบันแบ่งกับกัมพูชาในอัตราส่วน 80/20 จะกลายเป็น 20/80 ทันที
นายเทพมนตรีกล่าวต่อว่า วันที่ 25 สิงหาคม ตั้งแต่ 09.00 น. ที่อาคารรัฐสภา 2 จะมีการเสวนาเรื่องพื้นที่ 4.6 ตร.กม. โดยจะนำเอกสารของกระทรวงการต่างประเทศที่ทำถึงสำนักราชเลขาธิการ ลงวันที่ 20 มิถุนายน 2551 ยอมรับว่าคณะกรรมการมรดกโลกขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารให้กับกัมพูชาฝ่ายเดียว ทั้งที่วันที่ยูเนสโกลงมติคือ 7 กรกฎาคม 2551 แสดงว่ากระทรวงต่างประเทศรู้ผลการตัดสินล่วงหน้าแล้วแต่ไม่ดำเนินการอะไร ส่วนที่นายสุวิทย์ คุณกิตติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ไปคัดค้านในการประชุมที่ประเทศสเปนนั้น ไม่พบหลักฐานว่ามีการคัดค้านจริง มีแต่การให้สัมภาษณ์ของนายสุวิทย์เท่านั้น แต่ข้อมูลของตนคือนายสุวิทย์กลับไปเซ็นชื่อรับรองให้กระบวนการขึ้นทะเบียนเดินหน้าต่อไปได้
"ตั้งแต่นายนพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ไปลงนามแถลงการณ์ร่วมยอมรับให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนมรดกโลกได้ฝ่ายเดียว หลังจากนั้นแม้เปลี่ยนรัฐบาลแต่กระบวนการต่างๆก็ดำเนินการต่อไป นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ไม่เอาใจใส่กับเรื่องนี้ ส่วนนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่เคยมีท่าทีแข็งกร้าวบนเวทีพันธมิตรก็ไม่สนใจเมื่อผมนำเอกสารไปให้อ่าน อ้างว่าเอาลืมไว้ที่บ้านไม่ยอมอ่าน ผมคิดว่าถ้านายกษิตปกป้องอธิปไตยของชาติไม่ได้ก็ควรลาออกไป" นายเทพมนตรีกล่าว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น