--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2552

มาร์คหน้าแหก"พัชรวาท"สวนไม่ได้ลาพัก-ไปจีน 10 วัน กลับลุยงานต่อ

Posted on กรกฎาคม 31, 2009
คมชัดลึก: “ผบ.ตร.” ยังยิ้มร่า สวน “อภิสิทธิ์” ไม่ได้ทำหนังสือลาพักร้อนยาว แจงเดินทางไปปฏิบัติภารกิจที่จีนตามวงรอบแค่ 10 วัน ยันไม่ขอลาต่อ ติงนายกฯระวังระงับโผนายพลตำรวจตามโครงสร้างใหม่เจอฟ้องกลับแน่ ยันยังสบายดีอยู่ แฉคนใกล้ชิดนายกฯ เต้นหลังมีเอี่ยวแทรกแซงโผตำรวจ ขอเอกสารคืนวุ่น
เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ท่านมกลางความวุ่นวายและความไม่ชัดเจนในเสถียรภาพของตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ตลอดทั้งวัน พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. ไม่ได้เข้ามาปฏิบัติราชการภายใน ตร. กระทั่งเวลา 17.20น.จึงเข้ามายังห้องสำนักงาน ชั้น 7 อาคาร 1 ตร. โดยมีคำสั่งห้ามผู้สื่อข่าวขึ้นไปยังสำนักงาน

กระทั่งเวลา 20.30 น. พล.ต.อ.พัชรวาท ได้ออกจากสำนักงาน ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ทักทายหยอกล้อผู้สื่อข่าว โดยไม่แสดงสีหน้าวิตกกังวลแต่อย่างใด และให้สัมภาษณ์ว่า เรื่องการลาพักงานไม่มีอยู่แล้ว เรื่องที่นายกรัฐมนตรีออกมาพูดตนไม่ได้ฟัง และไม่ได้ทำหนังสือเสนอทางออกอะไรขึ้นไป เป็นเพียงการหารือกัน และไม่มีการยื่นหนังสือเพื่อขอลาพักไปต่างประเทศแต่อย่างใด แต่มีทริปต้องเดินทางไปราชการที่ประเทศจีน ในฐานะผบ.ตร.ตามการแลกเปลี่ยน เชื่อมสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยปีหนึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติต้องไปประเทศจีน 3 ครั้ง ปกติครั้งละประมาณ 10 วัน ซึ่งผบ.ตร.ต้องไป 1 ครั้ง ครั้งนี้ก็เป็นจังหวะที่ต้องไปพอดี ยังไม่ทราบรายละเอียดว่าไปเมื่อไหร่อย่างไร ปกติก็ไป 10 วันแต่ก็ไม่ได้จะลาต่อ ตอนนี้ก็ยังปฏิบัติราชการปกติวันจันทร์ที่ 3 สิงหาคม ก็ยังจะมาปฏิบัติราชการปกติ

เมื่อถามว่าช่วงที่ไปราชการที่ประเทศจีนจะให้ใครปฏิบัติราชการแทน ผบ.ตร.กล่าวว่า ตรงนี้ดูตามพ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 มาตรา 72 วรรคแรก ให้นายกรัฐมนตรีพิจารณา เมื่อถามถึงที่นายกรัฐมนตรีระบุว่าระงับการแต่งตั้งโยกย้ายทั้งหมดผบ.ตร.กล่าวว่า ตอนนี้ร่างพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2552 ก็เหลือเพียงการประกาศในราชกิจจา ตามกำหนดการเดิมวางไว้ว่าจะประกาศในราชกิจจานุเบกษาและให้มีผลในวันนี้ 16 สิงหาคม แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ต้องดูอีกครั้ง

“แต่ปัญหามีที่การแต่งตั้งนายพล 152 ตำแหน่งนั้นผ่านการพิจารณาของ ก.ตร.ไปแล้ว ซึ่งถ้ามีการปรับเปลี่ยนผู้ที่มีชื่อในการแต่งตั้งแล้วอาจมีปัญหา กลับฟ้องร้องกันได้ ตรงนี้ก็ต้องดูให้ดี” ผบ.ตร.กล่าว
เมื่อถามถึงระดับรองผบก.ลงมา จะต้องระงับการแต่งตั้งตามที่นายกรัฐมนตรีระบุหรือไม่ ผบ.ตร. กล่าวว่า ตนไม่ได้ฟังที่นายกรัฐมนตรีพูด แต่ไม่รู้ว่าเป็นการเข้าใจผิดกันอย่างไรหรือเปล่า ก็ต้องดูไปตามกฎหมาย
เมื่อถามว่าการทำแบบนี้การเมืองล้วงลูกเรื่องการแต่งตั้งหรือไม่ ผบ.ตร.กล่าวว่า ตนไม่ได้ฟังที่นายกรัฐมนตรีพูด อย่างไรก็ตาม ตนสบายอยู่แล้ว ก็ทำงานต่อไป เรื่องการปรับเปลี่ยนตำแหน่งของตนที่เป็นกระแสในช่วงนี้ก็เป็นแค่ข่าว ไม่มีอะไร เมื่อถามว่าการพูดของนายกรัฐมนตรีที่บอกว่าผบ.ตร.ไม่อยู่ คดีนายสนธิจะคืบหน้าฟังดูเหมือนผบ.ตร.เป็นอุปสรรคในคดีนายสนธิ ผบ.ตร. กล่าวว่า ตนไปทำอะไรในคดีนี้ เป็นอุปสรรคตรงไหน คิดกันไปเองตีความกันไปเอง ผมไม่ได้ได้ทำอะไร

เมื่อถามว่าการเมืองกดดันหรือไม่ ผบ.ตร. กล่าวว่า ไม่มีอะไรกดดัน ก็เป็นเพียงข่าว
ขณะที่มีรายงานข่าวแจ้งว่า กระแสกดดันการปลด ผบ.ตร.นั้นเกิดจากกลุ่มนักการเมืองที่เป็นคนใกล้ชิดนายกรัฐมนตรี พยายามแทรกแซงการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจ เนื่องจากการแต่งตั้งระดับนายพลครั้งที่ผ่านมา รายชื่อตำรวจที่คนใกล้ชิดดังกล่าวเสนอขึ้นมาไม่ได้รับการพิจารณามากนัก จนสร้างความไม่พอใจและสร้างกระแสข่าวกดดันให้นายกรัฐมนตรีปลดผบ.ตร.พ้นตำแหน่ง โดยหยิบโยงเอาคดีของนายสนธิมาผูกเป็นประเด็นเพื่อสร้างความสับสนให้สังคมและหาความชอบธรรมเป็นข้ออ้างในการปลด

ทั้งนี้รายงานข่าวระบุว่า ขณะนี้คนใกล้ชิดของนายกรัฐมนตรีคนดังกล่าว เริ่มแสดงความวิตกกังวลและพยายามขอเอกสารบางอย่างที่ระบุถึงการวิ่งเต้นแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจ คืนจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เนื่องจากการแทรกแซงการแต่งตั้งนั้นผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญมาตรา ที่ระบุว่า 266 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาต้องไม่ใช้สถานะหรือตำแหน่งการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาเข้าไปก้าวก่ายหรือแทรกแซงเพื่อประโยชน์ของตนเอง ของผู้อื่น หรือของพรรคการเมือง ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม ในเรื่องดังต่อไปนี้ฯ ซึ่งหลักฐานชิ้นนี้ อาจทำให้บุคคลผู้นั้นมีความผิดได้

ทั้งนี้สำหรับการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจทั่วประเทศที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ นั้นมีวาระสำคัญคือการแต่งตั้งโยกย้ายระดับรองผู้บังคับการ(รองผบก.) จนถึง ผู้บังคับหมู่ ตามการปรับปรุงโครงสร้างใหม่ ตร. รวมกว่า105,000 ตำแหน่ง ขณะที่การพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายระดับนายพล ในตำแหน่งผู้บัญชาการถึง ผู้บังคับการ 152 ตำแหน่ง ซึ่งผ่านการอนุมัติของคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ(ก.ตร)แล้ว เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม ที่ผ่านมา

สำหรับกรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ระบุว่าในอีก 1 สัปดาห์ข้างหน้า พล.ต.อ.พัชรวาทมีภารกิจต้องไปต่างประเทศและจะถือลาราชการต่อเนื่องเพื่อเปิดโอกาสให้การทำคดีลอบยิงนายสนธิ สำเร็จโดยสะดวก นั้นผู้สื่อข่าวรายงานว่าในช่วงเวลาดังกล่าว สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีภารกิจ ที่ผบ.ตร.จะต้องเดินทางไปเยเยี่ยมคาวระ ผบ.ตร. จีน เพื่อสานสัมพันธ์อันดีระหว่างตำรวจไทยจีน นอกจากนี้มีรายงานว่า พล.ต.อ.พัชรวาท จะถือโอกาสนี้ ไปเยือนตำรวจในกลุ่มประเทศอาเซียน

ทั้งนี้กรณีที่ พล.ต.อ.พัชรวาท ไม่สามารถปฏิบัติราชการได้ เนื่องจากไปราชการต่างประเทศ ตาม พระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ มีข้อกฎหมายว่าด้วย การรักษาราชการแทนและการปฏิบัติราชการแทน ดังนี้มาตรา 72 ในกรณีที่ตำแหน่งข้าราชการตำรวจในส่วนราชการหรือหน่วยงานใดในสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่างลง หรือผู้ดำรงตำแหน่งใดไม่สามารถปฏิบัติราชการได้ ให้ผู้บังคับบัญชาดังต่อไปนี้สั่งให้ข้าราชการตำรวจซึ่งเห็นสมควรรักษาราชการแทนในตำแหน่งนั้นได้ (1) นายกรัฐมนตรี สำหรับตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (2) ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สำหรับตำแหน่งตั้งแต่จเรตำรวจแห่งชาติ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ หรือตำแหน่งเทียบเท่าลงมา (3) ผู้บัญชาการหรือตำแหน่งเทียบเท่า สำหรับตำแหน่งตั้งแต่ผู้บังคับการ พนักงานสอบสวนผู้เชี่ยวชาญพิเศษ หรือตำแหน่งเทียบเท่าลงมาในส่วนราชการนั้น (4) ผู้บังคับการ หรือตำแหน่งเทียบเท่า สำหรับตำแหน่งตั้งแต่ผู้กำกับการ พนักงานสอบสวน ผู้ทรงคุณวุฒิ หรือตำแหน่งเทียบเท่าลงมาในส่วนราชการนั้น

อย่างไรก็ตามในกรณีที่ไม่มีการแต่งตั้งให้ข้าราชการตำรวจผู้ใดรักษาราชการแทนและมีผู้ดำรง ตำแหน่งรองของตำแหน่งนั้น ให้ผู้ดำรงตำแหน่งรองเป็นผู้รักษาราชการแทน ถ้าไม่มีผู้ดำรง ตำแหน่งรองหรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ และมีผู้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยของตำแหน่งดังกล่าวให้ผู้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเป็นผู้รักษาราชการแทนในตำแหน่งนั้น ถ้ามีผู้ดำรงตำแหน่งรองหรือผู้ช่วยหลายคน ให้ผู้มีอาวุโสตามที่กำหนดในระเบียบ ก.ตร. เป็นผู้รักษาราชการแทน ถ้าไม่มีทั้งผู้ดำรงตำแหน่งรองหรือผู้ช่วย หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ก็ให้ข้าราชการตำรวจชั้น สัญญาบัตรผู้มีอาวุโสตามที่กำหนดในระเบียบ ก.ตร. ในส่วนราชการหรือหน่วยงานนั้นเป็นผู้รักษาราชการแทน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น