บรรยากาศการเมืองไทยขณะนี้ เข้าใกล้จุดตึงเครียดมากขึ้นทุกที โดยเฉพาะจุดตึงเครียดในวันที่ 13 มกราคม กับคำประกาศ Shut Down กรุงเทพฯ ของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ
จะปิดกรุงเทพฯนานนับเดือน หรือนานจนกว่าจะได้รับชัยชนะตามที่ต้องการ
แรงกระเพื่อมในสังคมจึงเกิดขึ้นในที่สุด แม้แต่กับกลุ่มคนที่เคยถูกเรียกขานว่าเป็นไทยอดทน หรือว่าไทยเฉย
มันเกินเลยคำว่า สงบ สันติ อหิงสา และอารยะขัดขืน จนข้าเส้นความชอบธรรมไปแล้ว
ว่ากันว่านายเสรี วงศ์มณฑา ซึ่งเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการเขียนสคริปต์ต่างๆให้นายสุเทพ ตลอดจนเขียนพิมพ์เขียวสภาประชาชน เขียนวาทกรรมทางการเมืองให้นายสุเทพ รวมทั้ง คำว่า ปิดกรุงเทพฯ หรือ Shut Down กรุงเทพฯ กำลังพลาดจากการเขียนสคริปต์ครั้งนี้
เพราะกลายเป็นสคริปต์ที่ไปกระตุ้นความวิตกกังวล ความไม่สบายใจให้เกิดขึ้นกับสังคมคนหมู่มาก จนถูกมองว่าเป็นพฤติกรรมข่มขู่คุกคามทางการเมือง เพื่อมุ่งหวังเอาชนะให้ได้โดยไม่สนใจความรู้สึกของคนส่วนใหญ่
พลาดหรือไม่พลาด ก็คงเป็นเรื่องที่สุดแท้แต่จะเป็นมุมมองของฝ่ายใด เพราะในบรรยากาศของการแบ่งแยกแตกขั้ว ที่ลุกโชนไปด้วยไฟแห่งความเกลียดชังที่ถูกสุมรุมเร้าอยู่ตลอดเวลานั้น
เหตุผล และข้อเท็จจริง กลายเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจและรับไม่ได้ของแต่ละฝ่าย
พฤติกรรมนักการเมืองที่ไม่มีใครเลวหรือชั่วน้อยกว่าใครเลยในความเป็นจริง กลับถูกความนิยมเฉพาะกาลเวลายกย่องให้เป็นผู้นำ เป็นแกนนำ โดยที่ความเลวร้ายที่ผ่านมาในอดีต ถูกมองข้ามและไม่พูดถึง
ฉะนั้นวิกฤตสังคมจึงใกล้เข้ามาในทุกขณะจิต และแม้แต่การเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ ก็จะไม่ใช่สรุปบทสุดท้ายของทางออก เพราะฝ่ายที่ต่อต้านการเลือกตั้งไม่ว่าอย่างไรก็ต้องต่อต้านและไม่ยอมรับอยู่ดี
ผลจากความวิตก และความกังวลในสถานการณ์เฉพาะหน้าเรื่อง ปิดกรุงเทพฯในวันที่ 13 มกราคม จึงทำให้เริ่มเห็นปรากฏการณ์ของการรับไม่ได้ที่จะมีการปิดกรุงเทพฯเกิดขึ้นมาแล้ว
โดยในช่วงเย็นของวันที่ 3 มกราคม ที่ลานหน้าหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร เขตปทุมวัน ได้มีกิจกรรม “จุดเทียนเขียนสันติภาพ” จัดขึ้นโดยแฟนเพจเฟซบุ๊ก พอกันที!ž หยุดการชุมนุมที่สร้างเงื่อนไขไปสู่ความรุนแรง
ภายในงานมีกิจกรรมเขียนโพสต์อิต แสดงความในใจ ต่อสถานการณ์ทางการเมือง มีเวทีเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมปราศรัย คนละ 5 นาที ซึ่งมีผู้ร่วมกิจกรรมให้หลายคนให้ความสนใจ
มีการแจกเทียนให้ผู้ชุมนุมคนละ 1 เล่ม และร่วมกันแปรอักษรภาพมนุษย์ เป็นรูปเครื่องหมายสันติภาพ และจุดเทียน พร้อมร่วมกันอ่านแถลงการณ์ หยุดการณ์ชุมนุมที่สร้างเงื่อนไขไปสู่ความรุนแรง และตะโกนคำว่า พอกันที เอาเลือกตั้ง ไม่เอาเทือกตั้ง อยู่นานหลายนาที ก่อนจะแยกย้ายกันจับกลุ่มแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน
นายกิตติชัย งามชัยพิสิฐ ผู้จัดกิจกรรม กล่าวว่า หลังจากที่เห็นภาพภรรยาของตำรวจที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ปะทะที่สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง และเห็นการ์ด กปปส.ที่เสียชีวิตในวันต่อมา รู้สึกอัดอั้นตันใจอยู่คนเดียว จึงตั้งแฟนเพจดังกล่าวขึ้นมา เพื่อเป็นพื้นที่แสดงออกสำหรับประชาชนทั่วไปที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด และไม่เห็นด้วยกับการชุมนุมที่จะนำไปสู่เงื่อนไขความรุนแรงจนมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตอีก โดยเรียกร้องให้มีการเดินหน้าเข้าสู่การเลือกตั้งเพื่อปฏิรูปทางการเมือง ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้นมาเป็นครั้งที่สองแล้ว ไม่ได้มีใครแกนนำ ไม่คิดจะยกระดับการชุมนุม โดยเชื่อว่าผู้มาร่วมชุมนุมกลุ่มต่างๆ จะพัฒนาไปเองตามความคิดสร้างสรรค์ของผู้เข้าร่วม
ใจความหลักๆของแฟนเพจเฟซบุ๊ก พอกันที!ž หยุดการชุมนุมที่สร้างเงื่อนไขไปสู่ความรุนแรง เขียนเอาไว้ว่า...
เปิดใจ ไปเลือกตั้ง
พอกันที! หยุดการชุมนุมที่สร้างเงื่อนไขไปสู่ความรุนแรง!... เรา คนธรรมดาที่ไม่เอาความรุนแรงทุกรูปแบบ... เรา อดทนเคารพสิทธิชุมนุมของพวกท่านมวลมหาประชาชน... เรา เฝ้าดู ทนฟังคำประกาศชัยชนะของพวกท่านครั้งแล้วครั้งเล่า... เรา เฝ้านับวันที่จะได้ใช้สิทธิใช้เสียงเพียงหนึ่งเดียวที่เรามีอยู่ในมือเปล่า
เส้นความอดทนของเราขาดผึง ทันทีที่เสียงปืนดังขึ้นนัดแรกพรากชีวิตคนคนหนึ่งไปจากครอบครัวญาติพี่น้องของเขา
สมรภูมิเลือดที่รามคำแหง สนามไทย-ญี่ปุ่นดินแดง จนล่าสุด เหตุการณ์รุมทำร้ายกันที่ถนนวิภาวดี อีกกี่ศพถึงจะพอ!
พวกท่านเรียกร้องในสิ่งที่ไม่มีวันได้ไป นั่นคือหัวใจรักประชาธิปไตยของคนอีกมากมายมหาศาลที่ไม่ก้มหัวศิโรราบให้พวกท่าน
ประเทศไทยไม่ใช่ของพวกท่านมวลมหาประชาชน พอกันที!!!
ความรุนแรงผลักเราออกมา ความรุนแรงที่เกิดจากการสร้างเงื่อนไขของเหล่าแกนนำเราออกมาและจะไม่มีวันกลับไป ตราบที่พวกท่านยังไม่เลิกใส่ร้ายป้ายสี บิดเบือนความจริง ปลุกปั่นยุยง เกลียดชังทำร้ายคนที่เห็นต่างจากพวกท่าน
หยุดได้แล้ว หยุดปั่นหัวกันจนคลุ้มคลั่ง อย่าให้มีศพต่อไปอีกเลย
ออกมาจากพื้นที่แห่งความเกลียดชัง อย่าให้ชีวิตมีค่าของพวกท่านกลายเป็นเพียงเบี้ยบนเกมกระดานของแกนนำ
พอกันที!!! เหล่าผู้มีอำนาจ มีอาวุธ และสื่อในมือ หรือพวกท่านหวังเพียงชัยชนะบนซากศพของผู้อื่น ผู้ชุมนุมคัดค้านที่อยู่ใน กปปส. และเครือข่ายก็เป็นพลเมืองเช่นกัน
การเหมารวม บิดเบือนและป้ายสี ไม่อาจเปลี่ยนแปรหัวใจที่ใฝ่ฝันถึงสิ่งดีงามของพวกเขาได้ รังแต่จะกระพือความผิดหวัง และความโกรธมากขึ้นเท่านั้น หยุดสร้างสถานการณ์และข่าวสารเพื่อความชอบธรรมในการใช้ความรุนแรงเกินเหตุต่อผู้ชุมนุม
พอกันที!!!
ถนนทุกสายต้องมุ่งสู่การเลือกตั้ง 2 กุมภา 57 เท่านั้น
นายกิตติชัย งามชัยพิสิษฐ์ ยืนยันว่า กิจกรรมจุดเทียนเขียนสันติภาพ จัดขึ้นเพื่อ
1.เปิดพื้นที่ให้คนได้แสดงความเห็น อาทิ ญาติของผู้เสียชีวิตจากการชุมนุมที่ผ่านมา
2.ให้หยุดการชุมนุมที่สร้างเงื่อนไขไปสู่ความรุนแรง ไม่ได้แปลว่าไม่ให้หยุดชุมนุม ชุมนุมได้ แต่ต้องไม่สร้างเงื่อนไขนี้
สำหรับการชุมนุมของ กปปส. มองได้ว่านำไปสู่ความรุนแรง ทั้ง 2 ระดับ คือ 1. เรื่องข้อเสนออย่างการเลื่อนเลือกตั้ง ก็จะนำไปสู่การที่คนอีกกลุ่มไม่พอใจและต้องออกมาอีก 2.ทางกายภาพ มีวาจาทีนำไปสู่ความเกลียดชังค่อนข้างเยอะ การบุกสถานที่ต่างๆ ซึ่งรัฐต้องทำหน้าที่ ต้องป้องกันไว้อยู่แล้ว ซึ่งถ้าชุมนุมอยู่กับที่อย่างสงบก็ไม่อะไร อย่างการบุกสถานที่เลือกตั้ง ละเมิดสิทธิคนทั้งประเทศนี้แน่นอน”นายกิตติชัยระบุ ดังนั้นใน วันศุกร์ที่ 10 มกราคมนี้ ทางกลุ่มนี้ก็จะมีการจัดกิจกรรมอีกขึ้นเป็นครั้งที่ 2 ในบริเวณที่เดิมคือ หอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร เวลา 18.00-21.00 น. มีกิจกรรมจุดเทียน และเปิดโอกาสให้ทุกคนได้ปราศรัยคนละไม่เกิน 5 นาที
จากนั้นที่หน้าเพจเฟซบุ๊ก Jessada Denduangboripant ของ ผศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีการโพสต์ข้อความดังนี้
ชาวจุฬาฯ (เสียงส่วนน้อย) - พอกันที !
เอากำหนดการคร่าวๆ ก่อนนะครับ ขอเชิญชาวจุฬาฯ (เสียงส่วนน้อย) รักสันติ-สนับสนุนการเลือกตั้ง นัดเจอกันที่ลานพระรูป 2 รัชกาล ตอน 5 โมงเย็นวันศุกร์ที่ 10 ก่อนที่จะเดินไปร่วมกิจกรรมกับกลุ่ม "พอกันที! หยุดการชุมนุมที่สร้างเงื่อนไขไปสู่ความรุนแรง" ที่ลานหอศิลป์ กทม. ข้างมาบุญครอง นัดกันใส่เสื้อชมพู มีไฟฉายหรือโคมตะเกียงไฟฟ้าไปด้วย (ถ้าใช้เทียน ต้องมีกระดาษรอง) ทำป้ายผ้าป้ายกระดาษได้ตามความเหมาะสมที่ใช้ภาษาสุภาพ และไม่ยั่วยุฝ่ายใดครับ
ปล. ใครว่างก็มาเจอกันครับ จะใส่เสื้อสีอะไรก็ได้ แต่ถ้าใส่สีมหาลัยหรือหน่วยงานของตัวเอง ก็ดีครับ
แน่นอนว่าเจตนารมณ์ที่กลุ่ม“พอกันที” ประกาศเอาไว้บนแฟนเพจเฟซบุ๊ก หากไม่ใช่ว่าบ้านเมืองอยู่ในบรรยากาศความขัดแย้งแตกแยกแบ่งขั้วจนถึงระดับเกลียดชังกันไปแล้ว ก็คงจะได้รับคำชมเป็นแน่
แต่เพราะสังคมแบ่งขั้วอย่างชัดเจน เจตนารมณ์ที่บอกว่า เปิดใจ ไปเลือกตั้ง กับ ถนนทุกสายต้องมุ่งสู่การเลือกตั้ง 2 กุมภา 57 เท่านั้น จึงถูกโจมตีในทันทีจากขั้วที่เกลียดชังระบอบทักษิณ ว่านี่คือ พวกที่เข้าข้างการเลือกตั้ง
นี่คือการรวมตัวกันของคนเสื้อแดง ที่ใช้การเปลี่ยนสีเสื้อ แล้วอ้างคำว่า “ประชาธิปไตย” เพื่อหนุนให้ระบอบทักษิณผ่านการเลือกตั้งกลับเข้ามายึดครองประเทศอีกครั้ง
แถมยังมีบางคนเย้ยหยันว่าคนกลุ่มนี้มีเพียงแค่หลักร้อยเท่านั้น สู้มวลมหาประชาชนไม่ได้
ทั้งๆที่จริงๆแล้วปัญหาไม่ได้อยู่ที่จำนวนคน เช่นเดียวกับที่นายสุเทพพยายามอ้างตัวเลขมวลชนหลักล้านคนมาโดยตลอดนั่นแหละ เพราะเรื่องนี้จริงๆเป็นเรื่องที่สะท้อนให้เห็นว่าเริ่มมีคนอดรนทนต่อสถานการณ์ไม่ได้แล้ว
คนกลุ่มนี้อาจจะดูเหมือนว่ายังเป็นเสียงข้างน้อยในเวลานี้ แต่ทั้งนายสุเทพ รวมทั้งพรรคประชาธิปัตย์ ก็ได้เคยกล่าวอ้างถึงความสำคัญของเสียงข้างน้อยมาก่อนแล้วไม่ใช่หรือว่า เป็นเสียงที่พึงจะต้องรับฟัง เพราะเป็นเสียงสะท้อนจากประชาชนเช่นกัน
วันนี้นายสุเทพ จะลืมคำพูดตัวเอง ไม่รับฟังเสียงข้างน้อยที่ไม่ได้เลือกข้างใครเลยหรือ
หวังที่จะเห็นการปฏิรูปประเทศไทย ผ่านกระบวนการที่ถูกต้องตามกฎหมาย และให้ความสำคัญกับทุกๆกลุ่ม ไม่ใช่การใช้อำนาจบาดใหญ่ ใช้อำนาจอนาธิปไตยในทุกรูปแบบ
และยังยืนยันว่า ถึงเวลาที่ต้องล้างเผ่าพันธุ์นักการเมืองชั่วในทุกๆขั้วการเมือง ไม่เช่นนั้นปัญหาไม่มีวันจบ ตราบเท่าที่ตัณหาการเมืองในการแย่งชิงอำนาจและผลประโยชน์ทางการเมืองยังไม่สิ้นสุด
ที่มา.บางกอกทูเดย์
----------------------------------
จะปิดกรุงเทพฯนานนับเดือน หรือนานจนกว่าจะได้รับชัยชนะตามที่ต้องการ
แรงกระเพื่อมในสังคมจึงเกิดขึ้นในที่สุด แม้แต่กับกลุ่มคนที่เคยถูกเรียกขานว่าเป็นไทยอดทน หรือว่าไทยเฉย
มันเกินเลยคำว่า สงบ สันติ อหิงสา และอารยะขัดขืน จนข้าเส้นความชอบธรรมไปแล้ว
ว่ากันว่านายเสรี วงศ์มณฑา ซึ่งเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการเขียนสคริปต์ต่างๆให้นายสุเทพ ตลอดจนเขียนพิมพ์เขียวสภาประชาชน เขียนวาทกรรมทางการเมืองให้นายสุเทพ รวมทั้ง คำว่า ปิดกรุงเทพฯ หรือ Shut Down กรุงเทพฯ กำลังพลาดจากการเขียนสคริปต์ครั้งนี้
เพราะกลายเป็นสคริปต์ที่ไปกระตุ้นความวิตกกังวล ความไม่สบายใจให้เกิดขึ้นกับสังคมคนหมู่มาก จนถูกมองว่าเป็นพฤติกรรมข่มขู่คุกคามทางการเมือง เพื่อมุ่งหวังเอาชนะให้ได้โดยไม่สนใจความรู้สึกของคนส่วนใหญ่
พลาดหรือไม่พลาด ก็คงเป็นเรื่องที่สุดแท้แต่จะเป็นมุมมองของฝ่ายใด เพราะในบรรยากาศของการแบ่งแยกแตกขั้ว ที่ลุกโชนไปด้วยไฟแห่งความเกลียดชังที่ถูกสุมรุมเร้าอยู่ตลอดเวลานั้น
เหตุผล และข้อเท็จจริง กลายเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจและรับไม่ได้ของแต่ละฝ่าย
พฤติกรรมนักการเมืองที่ไม่มีใครเลวหรือชั่วน้อยกว่าใครเลยในความเป็นจริง กลับถูกความนิยมเฉพาะกาลเวลายกย่องให้เป็นผู้นำ เป็นแกนนำ โดยที่ความเลวร้ายที่ผ่านมาในอดีต ถูกมองข้ามและไม่พูดถึง
ฉะนั้นวิกฤตสังคมจึงใกล้เข้ามาในทุกขณะจิต และแม้แต่การเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ ก็จะไม่ใช่สรุปบทสุดท้ายของทางออก เพราะฝ่ายที่ต่อต้านการเลือกตั้งไม่ว่าอย่างไรก็ต้องต่อต้านและไม่ยอมรับอยู่ดี
ผลจากความวิตก และความกังวลในสถานการณ์เฉพาะหน้าเรื่อง ปิดกรุงเทพฯในวันที่ 13 มกราคม จึงทำให้เริ่มเห็นปรากฏการณ์ของการรับไม่ได้ที่จะมีการปิดกรุงเทพฯเกิดขึ้นมาแล้ว
โดยในช่วงเย็นของวันที่ 3 มกราคม ที่ลานหน้าหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร เขตปทุมวัน ได้มีกิจกรรม “จุดเทียนเขียนสันติภาพ” จัดขึ้นโดยแฟนเพจเฟซบุ๊ก พอกันที!ž หยุดการชุมนุมที่สร้างเงื่อนไขไปสู่ความรุนแรง
ภายในงานมีกิจกรรมเขียนโพสต์อิต แสดงความในใจ ต่อสถานการณ์ทางการเมือง มีเวทีเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมปราศรัย คนละ 5 นาที ซึ่งมีผู้ร่วมกิจกรรมให้หลายคนให้ความสนใจ
มีการแจกเทียนให้ผู้ชุมนุมคนละ 1 เล่ม และร่วมกันแปรอักษรภาพมนุษย์ เป็นรูปเครื่องหมายสันติภาพ และจุดเทียน พร้อมร่วมกันอ่านแถลงการณ์ หยุดการณ์ชุมนุมที่สร้างเงื่อนไขไปสู่ความรุนแรง และตะโกนคำว่า พอกันที เอาเลือกตั้ง ไม่เอาเทือกตั้ง อยู่นานหลายนาที ก่อนจะแยกย้ายกันจับกลุ่มแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน
นายกิตติชัย งามชัยพิสิฐ ผู้จัดกิจกรรม กล่าวว่า หลังจากที่เห็นภาพภรรยาของตำรวจที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ปะทะที่สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง และเห็นการ์ด กปปส.ที่เสียชีวิตในวันต่อมา รู้สึกอัดอั้นตันใจอยู่คนเดียว จึงตั้งแฟนเพจดังกล่าวขึ้นมา เพื่อเป็นพื้นที่แสดงออกสำหรับประชาชนทั่วไปที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด และไม่เห็นด้วยกับการชุมนุมที่จะนำไปสู่เงื่อนไขความรุนแรงจนมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตอีก โดยเรียกร้องให้มีการเดินหน้าเข้าสู่การเลือกตั้งเพื่อปฏิรูปทางการเมือง ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้นมาเป็นครั้งที่สองแล้ว ไม่ได้มีใครแกนนำ ไม่คิดจะยกระดับการชุมนุม โดยเชื่อว่าผู้มาร่วมชุมนุมกลุ่มต่างๆ จะพัฒนาไปเองตามความคิดสร้างสรรค์ของผู้เข้าร่วม
ใจความหลักๆของแฟนเพจเฟซบุ๊ก พอกันที!ž หยุดการชุมนุมที่สร้างเงื่อนไขไปสู่ความรุนแรง เขียนเอาไว้ว่า...
เปิดใจ ไปเลือกตั้ง
พอกันที! หยุดการชุมนุมที่สร้างเงื่อนไขไปสู่ความรุนแรง!... เรา คนธรรมดาที่ไม่เอาความรุนแรงทุกรูปแบบ... เรา อดทนเคารพสิทธิชุมนุมของพวกท่านมวลมหาประชาชน... เรา เฝ้าดู ทนฟังคำประกาศชัยชนะของพวกท่านครั้งแล้วครั้งเล่า... เรา เฝ้านับวันที่จะได้ใช้สิทธิใช้เสียงเพียงหนึ่งเดียวที่เรามีอยู่ในมือเปล่า
เส้นความอดทนของเราขาดผึง ทันทีที่เสียงปืนดังขึ้นนัดแรกพรากชีวิตคนคนหนึ่งไปจากครอบครัวญาติพี่น้องของเขา
สมรภูมิเลือดที่รามคำแหง สนามไทย-ญี่ปุ่นดินแดง จนล่าสุด เหตุการณ์รุมทำร้ายกันที่ถนนวิภาวดี อีกกี่ศพถึงจะพอ!
พวกท่านเรียกร้องในสิ่งที่ไม่มีวันได้ไป นั่นคือหัวใจรักประชาธิปไตยของคนอีกมากมายมหาศาลที่ไม่ก้มหัวศิโรราบให้พวกท่าน
ประเทศไทยไม่ใช่ของพวกท่านมวลมหาประชาชน พอกันที!!!
ความรุนแรงผลักเราออกมา ความรุนแรงที่เกิดจากการสร้างเงื่อนไขของเหล่าแกนนำเราออกมาและจะไม่มีวันกลับไป ตราบที่พวกท่านยังไม่เลิกใส่ร้ายป้ายสี บิดเบือนความจริง ปลุกปั่นยุยง เกลียดชังทำร้ายคนที่เห็นต่างจากพวกท่าน
หยุดได้แล้ว หยุดปั่นหัวกันจนคลุ้มคลั่ง อย่าให้มีศพต่อไปอีกเลย
ออกมาจากพื้นที่แห่งความเกลียดชัง อย่าให้ชีวิตมีค่าของพวกท่านกลายเป็นเพียงเบี้ยบนเกมกระดานของแกนนำ
พอกันที!!! เหล่าผู้มีอำนาจ มีอาวุธ และสื่อในมือ หรือพวกท่านหวังเพียงชัยชนะบนซากศพของผู้อื่น ผู้ชุมนุมคัดค้านที่อยู่ใน กปปส. และเครือข่ายก็เป็นพลเมืองเช่นกัน
การเหมารวม บิดเบือนและป้ายสี ไม่อาจเปลี่ยนแปรหัวใจที่ใฝ่ฝันถึงสิ่งดีงามของพวกเขาได้ รังแต่จะกระพือความผิดหวัง และความโกรธมากขึ้นเท่านั้น หยุดสร้างสถานการณ์และข่าวสารเพื่อความชอบธรรมในการใช้ความรุนแรงเกินเหตุต่อผู้ชุมนุม
พอกันที!!!
ถนนทุกสายต้องมุ่งสู่การเลือกตั้ง 2 กุมภา 57 เท่านั้น
นายกิตติชัย งามชัยพิสิษฐ์ ยืนยันว่า กิจกรรมจุดเทียนเขียนสันติภาพ จัดขึ้นเพื่อ
1.เปิดพื้นที่ให้คนได้แสดงความเห็น อาทิ ญาติของผู้เสียชีวิตจากการชุมนุมที่ผ่านมา
2.ให้หยุดการชุมนุมที่สร้างเงื่อนไขไปสู่ความรุนแรง ไม่ได้แปลว่าไม่ให้หยุดชุมนุม ชุมนุมได้ แต่ต้องไม่สร้างเงื่อนไขนี้
สำหรับการชุมนุมของ กปปส. มองได้ว่านำไปสู่ความรุนแรง ทั้ง 2 ระดับ คือ 1. เรื่องข้อเสนออย่างการเลื่อนเลือกตั้ง ก็จะนำไปสู่การที่คนอีกกลุ่มไม่พอใจและต้องออกมาอีก 2.ทางกายภาพ มีวาจาทีนำไปสู่ความเกลียดชังค่อนข้างเยอะ การบุกสถานที่ต่างๆ ซึ่งรัฐต้องทำหน้าที่ ต้องป้องกันไว้อยู่แล้ว ซึ่งถ้าชุมนุมอยู่กับที่อย่างสงบก็ไม่อะไร อย่างการบุกสถานที่เลือกตั้ง ละเมิดสิทธิคนทั้งประเทศนี้แน่นอน”นายกิตติชัยระบุ ดังนั้นใน วันศุกร์ที่ 10 มกราคมนี้ ทางกลุ่มนี้ก็จะมีการจัดกิจกรรมอีกขึ้นเป็นครั้งที่ 2 ในบริเวณที่เดิมคือ หอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร เวลา 18.00-21.00 น. มีกิจกรรมจุดเทียน และเปิดโอกาสให้ทุกคนได้ปราศรัยคนละไม่เกิน 5 นาที
จากนั้นที่หน้าเพจเฟซบุ๊ก Jessada Denduangboripant ของ ผศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีการโพสต์ข้อความดังนี้
ชาวจุฬาฯ (เสียงส่วนน้อย) - พอกันที !
เอากำหนดการคร่าวๆ ก่อนนะครับ ขอเชิญชาวจุฬาฯ (เสียงส่วนน้อย) รักสันติ-สนับสนุนการเลือกตั้ง นัดเจอกันที่ลานพระรูป 2 รัชกาล ตอน 5 โมงเย็นวันศุกร์ที่ 10 ก่อนที่จะเดินไปร่วมกิจกรรมกับกลุ่ม "พอกันที! หยุดการชุมนุมที่สร้างเงื่อนไขไปสู่ความรุนแรง" ที่ลานหอศิลป์ กทม. ข้างมาบุญครอง นัดกันใส่เสื้อชมพู มีไฟฉายหรือโคมตะเกียงไฟฟ้าไปด้วย (ถ้าใช้เทียน ต้องมีกระดาษรอง) ทำป้ายผ้าป้ายกระดาษได้ตามความเหมาะสมที่ใช้ภาษาสุภาพ และไม่ยั่วยุฝ่ายใดครับ
ปล. ใครว่างก็มาเจอกันครับ จะใส่เสื้อสีอะไรก็ได้ แต่ถ้าใส่สีมหาลัยหรือหน่วยงานของตัวเอง ก็ดีครับ
แน่นอนว่าเจตนารมณ์ที่กลุ่ม“พอกันที” ประกาศเอาไว้บนแฟนเพจเฟซบุ๊ก หากไม่ใช่ว่าบ้านเมืองอยู่ในบรรยากาศความขัดแย้งแตกแยกแบ่งขั้วจนถึงระดับเกลียดชังกันไปแล้ว ก็คงจะได้รับคำชมเป็นแน่
แต่เพราะสังคมแบ่งขั้วอย่างชัดเจน เจตนารมณ์ที่บอกว่า เปิดใจ ไปเลือกตั้ง กับ ถนนทุกสายต้องมุ่งสู่การเลือกตั้ง 2 กุมภา 57 เท่านั้น จึงถูกโจมตีในทันทีจากขั้วที่เกลียดชังระบอบทักษิณ ว่านี่คือ พวกที่เข้าข้างการเลือกตั้ง
นี่คือการรวมตัวกันของคนเสื้อแดง ที่ใช้การเปลี่ยนสีเสื้อ แล้วอ้างคำว่า “ประชาธิปไตย” เพื่อหนุนให้ระบอบทักษิณผ่านการเลือกตั้งกลับเข้ามายึดครองประเทศอีกครั้ง
แถมยังมีบางคนเย้ยหยันว่าคนกลุ่มนี้มีเพียงแค่หลักร้อยเท่านั้น สู้มวลมหาประชาชนไม่ได้
ทั้งๆที่จริงๆแล้วปัญหาไม่ได้อยู่ที่จำนวนคน เช่นเดียวกับที่นายสุเทพพยายามอ้างตัวเลขมวลชนหลักล้านคนมาโดยตลอดนั่นแหละ เพราะเรื่องนี้จริงๆเป็นเรื่องที่สะท้อนให้เห็นว่าเริ่มมีคนอดรนทนต่อสถานการณ์ไม่ได้แล้ว
คนกลุ่มนี้อาจจะดูเหมือนว่ายังเป็นเสียงข้างน้อยในเวลานี้ แต่ทั้งนายสุเทพ รวมทั้งพรรคประชาธิปัตย์ ก็ได้เคยกล่าวอ้างถึงความสำคัญของเสียงข้างน้อยมาก่อนแล้วไม่ใช่หรือว่า เป็นเสียงที่พึงจะต้องรับฟัง เพราะเป็นเสียงสะท้อนจากประชาชนเช่นกัน
วันนี้นายสุเทพ จะลืมคำพูดตัวเอง ไม่รับฟังเสียงข้างน้อยที่ไม่ได้เลือกข้างใครเลยหรือ
หวังที่จะเห็นการปฏิรูปประเทศไทย ผ่านกระบวนการที่ถูกต้องตามกฎหมาย และให้ความสำคัญกับทุกๆกลุ่ม ไม่ใช่การใช้อำนาจบาดใหญ่ ใช้อำนาจอนาธิปไตยในทุกรูปแบบ
และยังยืนยันว่า ถึงเวลาที่ต้องล้างเผ่าพันธุ์นักการเมืองชั่วในทุกๆขั้วการเมือง ไม่เช่นนั้นปัญหาไม่มีวันจบ ตราบเท่าที่ตัณหาการเมืองในการแย่งชิงอำนาจและผลประโยชน์ทางการเมืองยังไม่สิ้นสุด
ที่มา.บางกอกทูเดย์
----------------------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น