--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอังคารที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2557

เมืองไทยดีที่สุด !!?

สัมภาษณ์ : ซันโตส คูมาร์ กรรมการผู้จัดการ บ. เอสทีมาร์เก็ตติ้ง แอนด์ ดิสทริบูชั่น จก.

ประเทศไทยเป็นฐานการทำธุรกิจยอดนิยมของนักลงทุนต่างชาติ หนึ่งในนั้นคือ ซันโตส คูมาร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสทีมาร์เก็ตติ้ง แอนด์ ดิสทริบูชั่น จำกัด บริษัท ผลิตรองเท้าสุขภาพยี่ห้อ "คอมฟอร์ตโต้" ที่ส่งขายไปทั่วโลก

เขาเป็นคนมาเลเซียโดยกำเนิด เดินทางเข้ามาเมืองไทยเมื่ออายุ18 ปี ช่วยธุรกิจคุณพ่อซึ่งนำเข้าสัตว์จากต่างประเทศ ส่งไปตามสวนสัตว์ในเมืองไทย เช่น สวนสัตว์ดุสิต สวนสัตว์เขาเขียว ก่อนจะเริ่มมองเห็นโอกาสและลงทุนทำธุรกิจรองเท้าสุขภาพ

"ผมรู้สึกว่าอยู่เมืองไทยปลอด ภัยกว่ามาเลเซีย ทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใส เป็นมิตรง่าย ทำธุรกิจด้วยความ สบายใจ แต่ที่มาเลย์ความกดดันเยอะ ทุกอย่างดูจริงจังไปหมด เช่น นัดส่งของวันนี้คือวันนี้ ถ้าเลื่อนนัดละก้อเรื่องใหญ่ บางครั้งส่งของตรงเวลาจริง แต่คุณภาพไม่สมบูรณ์ จะเอาเงินคืนก็ไม่ได้เพราะจ่ายไปแล้ว มีเหตุการณ์ความรุนแรงเกิดขึ้นบ่อย ซึ่งบางครั้งไม่ใช่ประชาชนมาเลย์เป็นคนทำ แต่ เป็นคนต่างด้าวมาจากอินโดนีเซีย พม่า เวียดนาม ซึ่ง มีจำนวนมาก สรุปคือบรรยากาศเมืองไทยดีกว่า และหาก รวม 10 ประเทศอาเซียน ผม ก็เชื่อว่าเมืองไทยดีที่สุด คนที่มาจากยุโรป อเมริกา จะมาลงทุนในอาเซียนก็อยากเปิดสำนักงานใหญ่ที่นี่ แล้วค่อยเจาะตลาดอาเซียน เนื่องจากเมืองไทยเปิดกว้าง เมืองไทยจึงมีโอกาสเป็นฮับอาเซียนอย่างมาก" ซันโตส กล่าวถึงความประทับใจในเมืองไทย

เขาเริ่มต้นด้วยการสร้างโรงงาน เล็กๆ ใช้คนไม่กี่คน เมื่อได้เงินมาแล้ว ค่อยหมุนต่อ เป็นการขยายแบบมั่นคง ปัจจุบันเขาขยายโรงงานใหญ่ขึ้น มีแรงงาน 60 คน ตั้งอยู่ที่จังหวัดนนทบุรี

+ เมื่อถามว่ารู้สึกอย่างไรกับสถานการณ์การเมืองของไทย?

เขาตอบว่า "ความวุ่นวายทาง การเมืองทำให้เมืองไทยเสียโอกาสค่อนข้างมาก อย่างผมอยากลงทุนปีที่แล้วประมาณ 100 ล้านในเมืองไทย เปิดช็อปขายสินค้าประมาณ 10 ช็อป แต่ทำไม่ได้เพราะติดปัญหา การเมือง ต้องเปลี่ยนแผนไปลงทุนในประเทศกาตาร์แทน ซึ่งถ้าไม่มีปัญหาการเมืองเราต้องลงทุนในเมืองไทยแน่นอน แต่พอมีปัญหาการเมืองเรากลัวว่าเปิดแล้วไม่มีคนมาเดิน"

+ นั้นคือ สิ่งที่นักลงทุนข้ามชาติมองประเทศไทย

ถามเขาถึงผลกระทบค่าแรง 300 บาทว่า เขายอมรับว่าส่งผลกระทบบ้าง แต่สามารถบริหารจัดการได้ และมองต่อไปในอนาคตว่าอีกไม่นานอาเซียนน่าจะปรับค่าแรงขั้นต่ำขึ้นมาเท่ากับประเทศไทย

"ผมเริ่มมองเห็นค่าแรงขั้นต่ำ ในกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมาร์ เวียดนาม) ที่มีการปรับขึ้นในหลายอุตสาหกรรม เชื่อว่าเมื่อเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซี ค่าแรงขั้นต่ำใน กลุ่ม CLMV จะต้องปรับเป็นวันละ 300 บาทเท่ากับไทย และบางบริษัท อาจจ่ายมากกว่านั้น เพื่อรักษาแรง งานเอาไว้" ซันโตส กล่าว

+ ปิดท้ายด้วยคำถามว่า เขาพร้อมหรือเปล่ากับการเป็นเออีซี

"เราประชุมร่วมกับพนักงานระดับบริหารบ่อยๆว่าจะเปลี่ยนระบบ ยังไงวิธีการใหม่ๆ มีอะไรบ้าง ถ้าเรา ไม่อยากขยายบริษัท บริหารให้อยู่ ในระดับนี้ ทำรายได้ขนาดนี้ทุกปี ดูแล ยอดขายให้คงที่ ก็ไม่ต้องเครียดมาก แต่ถ้าเราต้องการเติบโต เราต้องเปลี่ยนแปลง ต้องเพิ่มเงินลงทุน ต้องพุ่งไปข้างหน้า ตลาดหลังจากปี 2558 ไม่ใช่เมืองไทยแล้ว เป็นอาเซียน แล้ว ทุกพื้นที่ในอาเซียนสำคัญเท่ากันหมด"

ที่มา.สยามธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////////////

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น