--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอังคารที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2557

ไม่มีอำนาจ ยังขนาดนี้ !!?

การเมืองไทยขณะนี้ชัดเจนแล้วว่า “จบไม่ลง”
ป่วยการที่จะมาถามกันอีกต่อไปว่า จะจบอย่างไร

เพราะแม้จะขึ้นปีใหม่ 2557 แล้ว ยังไงก็ไม่ยอมจบ จนกว่าแกนนำที่ชื่อ “สุเทพ เทือกสุบรรณ”จะได้ทุกอย่างตามความต้องการ

ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในช่วงส่งท้ายปี ในวันจับหมายเลขพรรคการเมือง สะท้อนชัดเจนว่า แกนนำกลุ่มผู้ชุมนุม แม้จะพูดตลอดเวลาว่าไม่ขัดขวางการเลือกตั้ง แต่ในความเป็นจริงก็คือไม่เอาเลือกตั้ง ไม่ยอมให้มีการเลือกตั้งเกิดขึ้นในวันที่ 2 กุมภาพันธ์นี้

ไม่ว่าจะต้องดำเนินการขัดขวางด้วยวิธีการใดหรือรูปแบบใดก็ตาม
ฉะนั้นถึงแม้จะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นได้จริง ปัญหาก็ไม่จบ เพราะนายสุเทพ จะต้องปักหลักโค่นล้มผลการเลือกตั้ง โค่นล้มรัฐบาลที่เกิดจากการเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์อยู่ดี

รวมทั้งแม้จะมีการเลื่อนการเลือกตั้งออกไป โดยไม่มีการเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ แต่ขยับไปเป็นวันอื่นใดก็ตาม ปัญหาก็ไม่จบอยู่ดี เพราะจะต้องเลื่อนไปเรื่อยๆไม่มีวันจบ ตราบเท่าที่นายสุเทพและกลุ่มแกนนำยังไม่ได้สมใจปรารถนา

นั่นคือจะต้องมีการปฏิรูปภายใต้การกำกับแบบเบ็ดเสร็จของนายสุเทพและแกนนำเสียก่อน จึงจะกำหนดให้มีการเลือกตั้งในภายหลังได้

เหมือนอย่างที่มีการแซวกันสนั่นลั่นไปหมดในโลกออนไลน์นั่นแหละว่า
ก่อนจะ “เลือกตั้ง”ได้ จะต้องให้ “เทือกตั้ง”เสร็จเสียก่อนเท่านั้น!!!

เป็นการแซวที่ใช่ว่าจะไม่มีเค้ามูลของความเป็นจริงเสียเมื่อไหร่ เพราะในขณะที่ข้อเสนอในการปฏิรูปของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ให้มีคณะกรรมการ 11 คน มาพิจารณาวางหลักเกณฑ์ คุณสมบัติในการคัดเลือก ตัวแทนประชาชนจำนวน 499 คน จากจำนวนทั้งหมด 2,000 คน

ซึ่งนายสุเทพก็บอกว่า ไม่รับ เพราะไม่ไว้ใจ เนื่องจากในคน 11 คนที่จะมากำหนดคุณสมบัติตัวแทน 499 คนนั้น เป็นคนที่รัฐบาลสั่งได้ถึง 8 คน จึงไม่ไว้ใจและไม่ยอมรับแนวทางข้อเสนอในการปฏิรูปของรัฐบาล
ยืนกรานให้นายกรัฐมนตรีลาออก เพื่อให้นายสุเทพได้ตั้งสภาประชาชน ตั้งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีขึ้นมารักษาการ เพื่อปฏิรูปประเทศเสียก่อน จึงจะให้มีการเลือกตั้งได้

แน่นอน ลึกๆแล้วนายสุเทพเองก็รู้ดีว่า เป็นเรื่องที่ไม่มีกฎหมายรองรับ ไม่มีอำนาจที่จะกระทำได้ตามต้องการ ไม่เช่นนั้นนายสุเทพ คงไม่ประกาศกลางเวทีว่า

ต่อไปนี้ไม่ต้องมาเถียงกันเรื่องกฎหมาย กฏเกณฑ์กติกาใดๆอีกแล้ว เพราะไม่สนใจ จะมีก็แต่ส้นตีนของมวลชนที่ออกมาโค่นล้มรัฐบาลเท่านั้น ที่จะสู้ให้ถึงที่สุด

แสดงว่าการที่มีบรรดาผู้รู้มีสารพัดบุคคลออกมาให้แง่มุมของกฎหมายที่บอกว่าสิ่งที่นายสุเทพต้องการนั้นทำไม่ได้ ไม่มีกฎหมายรองรับ ไม่มีอำนาจที่จะทำ ได้ทำให้นายสุเทพและแกนนำเริ่มเถียงด้วยเหตุผลที่ลำบากขึ้น จึงต้องออกมาในรูปของการสู้ไม่ถอย โดยไม่สนใจเรื่องของกฎหมายและความถูกต้องใดๆอีกต่อไป

ด้วยการใช้ข้ออ้างที่ว่า รัฐบาลหมดความชอบธรรม ไม่มีความน่าเชื่อถืออีกต่อไปแล้ว
แต่ในมุมกลับกัน ก็เกิดคำถามย้อนกลับมาทิ่มใส่นายสุเทพและแกนนำเช่นกันว่า แล้วนายสุเทพยังมีความชอบธรรม ยังมีความน่าเชื่อถืออยู่ต่อไปอีกหรือไม่???

การที่นายสุเทพไม่ไว้ใจคน 11 คนที่จะถูกตั้งเป็นคณะกรรมการเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์และคุณสมบัติในการเฟ้นหาคน 499 คน โดยที่ไม่ได้เป็นคนชี้หรือเป็นคนเลือกตัวบุคคลเองเลยด้วยซ้ำ นายสุเทพยังบอกไม่เชื่อถือ

แล้วการตั้งสภาประชาชน โดยนายสุเทพและอาจจะมีแกนนำอีกหลายคน ร่วมกันชี้ระบุเลือกคนเข้ามาจำนวน 100 คนเลยนั้น ไม่หนักยิ่งกว่าหรือ จะให้สังคมเชื่อถือได้อย่างไร ว่าจะไม่มีการเอียงข้างเหมือนการตั้ง คตส. เหมือนการตั้ง ส.ว.สรรหา หรือเหมือนการตั้งองค์กรอิสระที่ผ่านมา
สังคมย่อมมีสิทธิที่จะไม่เชื่อถือในตัวนายสุเทพและเหล่าแกนนำใช่หรือไม่

ซึ่งหากยันกันไม่จบเช่นนี้ แล้วจะหาทางออกให้กับประเทศชาติได้อย่างไร จะต้องให้ประเทศชาติยับเยินไปถึงขนาดไหนก่อนอย่างนั้นหรือ ถึงจะพอใจกัน

ยิ่งหากถึงที่สุดจะวัดกันด้วยจำนวนมวลชน ซึ่งทั้ง 2 ขั้วก็ล้วนรู้ดีแก่ใจว่า แต่ละฝ่ายใช่ว่าจะมีแต่มวลชนบริสุทธิ์เพียงเท่านั้นไม่ มวลชนจัดตั้ง มวลชนจัดหา ตลอดจนบรรดาแฟนคลับก็ล้วนมีด้วยกันทั้งนั้น
ซึ่งความหลากหลายตรงนี้แหละที่ควบคุมยาก ถึงเวลาปรอทแตกอุณหภูมิเดือดขึ้นมา มิปะทะกันจนบาดเจ็บล้มตายหรือ??? แกนนำจะรับผิดชอบไหวหรือ???

หรือพอใจที่จะสนุกกับตราบาปที่ทำให้คนไทยเข่นฆ่ากัน ทำให้ประเทศบอบช้ำเสียหาย
นี่ขนาดยังไม่ได้มีอำนาจในมือไม่มีกฎหมายรองรับ ยังเถลิงอำนาจกันขนาดนี้ แล้วถ้าหากว่ามีอำนาจในมือแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด กุมอำนาจกฎหมายไว้ในมือตามที่ต้องการ จะยิ่งกว่านี้สักกี่ร้อยพันเท่า
ถึงยืนยันว่า ถึงเวลาที่ทั้ง 2 ขั้วจะต้องถูกลดบทบาททางการเมืองลงได้แล้ว

จะต้องถูกโทษแบนทางการเมือง จากสังคมไทย จากประชาชนคนไทยทั้งแผ่นดินที่มี 1 สิทธิ 1 เสียง เท่ากับนายสุเทพ และบรรดาแกนนำทั้งหลาย

มี 1 สิทธิ 1 เสียงเท่ากับนักการเมืองทุกพรรค ไม่ว่าจะเป็นพรรคการเมืองใด หรือนักการเมืองหน้าไหนก็ตาม

วันนี้นักการเมืองที่สร้างความปั่นป่วนวุ่นวายให้กับประเทศชาติบ้านเมือง เพียงเพราะหวังแสวงหาอำนาจและผลประโยชน์ทางการเมือง จะต้องถูกแบน หรือต้องถูกกำจัดไปจากเวทีการเมืองของไทย เพื่อเปิดโอกาสให้กับนักการเมืองรุ่นใหม่ๆ เปิดโอกาสให้พรรคการเมืองที่ไม่ได้เป็นขั้วขัดแย้ง ได้มีโอกาสมาช่วยปลดล็อกความขัดแย้งทางการเมืองให้หมดไปเสียที

ขืนประเทศไทยยังจมปลักเพราะนักการเมืองชั่วๆที่แอบแฝงตัว คอยแต่จ้องหาประโยชน์และอำนาจอยู่ไม่รู้เช่นนี้ ในกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนที่มีทั้งสิ้น 10 ประเทศนั้น

ประเทศไทยจะอยู่อันดับที่ 12!!!

เพราะล้าหลังชาวบ้านจนแม้แต่จะเป็นอันดับ 10 หรืออันดับ 11 ยังไม่ได้เลย
ถึงตอนนั้น นักการเมืองชั่วๆทั้งหมดจะมองหน้าลูกหลานไทยได้อย่างไร เมื่อเด็กไทยที่เติบโตขึ้นมาภายใต้ความขัดแย้ง จนซึมซับการด่าเป็นไฟ การเอาแต่ได้โดยไม่เคารพกฎเกณฑ์กฎหมาย
แล้วตั้งคำถามโพล่งขึ้นมาด้วยภาษาของนักรบหน้าคอมพ์ว่า

เล่นการเมืองกันจัญไรขนาดไหนนะ ไอ้สัส ถึงทำให้พวกกูต้องกลายเป็นคนรุ่นต่อมาที่ต้องรับเคราะห์เช่นนี้”

งามหน้ากันหรือไม่ ที่ปลูกฝังผลไม้พิษเอาไว้ในจิตใจเด็ก จนทุกวันนี้ด่ากันเป็นไฟไปหมดแล้ว
เชื่อเถอะในวันนั้น “ตราบาป”ที่จารึกลงบน “ตระกูลการเมือง”ที่สร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติ คงไม่ได้มีเพียงแค่ตระกูลเดียวอย่างแน่นอน

ดังนั้นยังไม่สายที่จะหยุดม้าที่ริมเหว คืนความสงบสุขให้กับแผ่นดินเกิด เลิกดื้อรั้นดันทุรังด้วยกันทั้ง 2 ขั้ว เปิดโอกาสให้คนไทยทั้งแผ่นดินได้ตัดสินอนาคตประเทศด้วยตนเอง ไม่ใช่ให้ใครคนใดคนหนึ่ง หรือขั้วใดขั้วหนึ่งมาบงการชี้นิ้ว ว่าต้องเลือกอย่างนั้น ต้องทำอย่างนี้

นักการเมืองไม่ได้วิเศษวิโสไปกว่าคนไทยคนใดคนหนึ่งเลย
อย่าต้องให้เป็นเหมือนกับตลกล้อเลียนแสบๆที่ว่า ประเทศไทยมีทุกสิ่งทุกอย่างที่ดี สวยงาม และสมบูรณ์ มีแค่นักการเมืองเท่านั้นที่เลว และทำให้บ้านเมืองที่ควรเพอร์เฟ็กท์ กลายเป็นเมืองต้องสาป
จะหลุดพ้นคำสาปได้ ต้องส่งออกนักการเมืองไทยไปประเทศอื่นให้หมด แล้วนำเข้านักการเมืองของประเทศอื่นเข้ามาแทน

ซึ่งจริงๆไม่ต้องส่งออกไปทั้งหมดหรอก แค่เอารุ่นเจ้าปัญหา เอารุ่นแก่กระโหลกกะลาออกไปพรรคละ 20-30 คนเท่านั้น การเมืองไทยก็ดีขึ้นพะเรอเกวียนแล้ว

อย่างน้อยนัการเมืองรุ่นใหม่ๆจะได้มีโอกาสเกิดขึ้นมา โดยที่ไม่ต้องมีต้นแบบที่บิดๆเบี้ยวๆอีกต่อไป
บางกอก ทูเดย์ เชื่อมั่นในพลังบริสุทธิ์ของประชาชน ว่าจะสามารถล้างคราบไคลชั่วร้ายทางการเมืองลงได้

ดังนั้นหากยังดื้อเล่นเกมทำลายประเทศกันอยู่อย่างนี้ ประชาชนทั้งแผ่นดินต้องแสดงพลังกันได้แล้วกระมัง.

ที่มา.บางกอกทูเดย์
----------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น