เมื่อครั้งที่สหรัฐอเมริกา ส่งยานอพอลโล 11 ไปลงดวงจันทร์ พร้อมนักบินอวกาศ ได้มีวลีเด็ดประโยคหนึ่งเกิดขึ้นในการเหยีบพื้นดวงจันทร์ครั้งแรกของมนุษย์ นั่นคือ
แม้เป็นก้าวเล็กๆของมนุษย์ แต่เป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ
สำหรับประเทศไทยยามนี้ แม้อาจจะไม่ได้มีเหตุการณ์ถึงขั้นก้าวไปยืนบนดวงจันทร์ แต่เหตุการณ์ “ก้าวเดินไปข้างหน้า เพื่อที่จะใช้สิทธิในการเลือกตั้ง”ของผู้หญิงตัวเล็กๆ 2 คน เมื่อวันที่ 26 มกราคมที่ผ่านมา
ต้องถือว่า มิได้เป็นเพียงแค่ก้าวเล็กๆของสตรีใจกล้า แต่เป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่สำหรับอนาคตประชาธิปไตยของประเทศนี้
เป็นก้าวที่กล้าในภาวะที่ประเทศชาติต้องถูกต้อนเข้าสู่มุมอับ เจอทางตันจากการปิดล้อมทางการเมือง ด้วยการปลุกสร้างกระแสเกลียดชังของพลังบริสุทธิ์กลุ่มหนึ่งให้ออกมาขับไล่ระบอบทักษิณ แล้วบานปลายเป็นการแช่แข็งปิดประเทศไทย
แม้ว่านายสุเทพ เทือกสุบรรณ จะประกาศอ้างตลอดว่า ใช้แนวทางอารยะขัดขืนเพื่อคัดค้านการเลือกตั้ง ด้วยการชุมนุมอย่างสงบ สันติ ปราศจากความรุนแรง
สอดรับกับแนวทางของพรรคประชาธิปัตย์ ที่ระบุเช่นเดียวกันว่าบอยคอตการเลือกตั้ง แต่ไม่ขัดขวางการเลือกตั้ง
แต่ภาพจริงที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็คือการไปปิดล้อมการรับสมัครเลือกตั้ง เกิดความรุนแรงจากความพยายามที่จะปิดล้อมพยายามที่จะบุกรุกเข้าไปในสถานที่ กระทั่งนำไปสู่ความสูญเสียชีวิตของทั้งผู้ชุมนุม และเจ้าหน้าที่ตำรวจ
แม้ว่าบทเรียนจากความรุนแรงที่สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง จะทำให้นายสุเทพ ประกาศว่า แม้ไม่สนับสนุนการเลือกตั้ง แต่ก็จะไม่ขัดขวางการเลือกตั้ง
สุดท้ายก็ยังคงมีกรณีที่แตกต่างจากคำประกาศของนายสุเทพ และเกิดความสูญเสียชีวิต และบาดเจ็บกันขึ้นอีกครั้ง
ความจริงถูกฟ้องโดยคลิปเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ที่มีการแชร์กันสนั่นโลกออนไลน์ คลิปแรกคือกรณีที่หญิงสาวคนหนึ่งพยายามรักษาสิทธิของเธอด้วยการฝ่าดงม็อบต่อต้านประชาธิปไตยของกปปส.ราว 500 คน เข้าไปใช้สิทธิเลือกตั้งที่เขตสวนหลวง กรุงเทพฯ
ในคลิป สตรีผู้นี้ได้พูดกับม็อบกปปส.ที่หน้าประตูเขตสวนหลวงที่ถูกม็อบปิดล็อกไว้ และใช้ม็อบขวางไว้จำนวนมากว่า “เราต้องรักษาสิทธิของเรา ทำไมต้องขออนุญาตใคร คุณสุเทพพูดไว้แล้วว่าคัดค้านแต่ไม่ขัดขวาง แล้วนี่ไง(เธอชี้ไปที่ประตู จุดที่ม็อบนำผ้าคล้องประตูไว้)ว่า นี่ไงเป็นการขัดขวาง แต่ฉันไม่ยอม ยังไงก็จะเข้าไปใช้สิทธิของฉัน ฉันจะเลือกใครก็สิทธิของฉัน”
จากนั้นเธอก็ตัดสินใจที่จะปีนข้ามประตูรั้วที่ขวางไว้เข้าไปในพื้นที่เลือกตั้ง
วินาทีนั้นได้ปรากฏเสียงโห่ร้องดีใจของผู้มีสิทธิเลือกตั้งรายอื่นๆที่โดนม็อบขัดขวาง พร้อมกับส่งเสียงให้เธอว่า “สุดยอดๆเลย”
เป็นเสียงแสดงความยินดีร่วมให้กำลังใจ ที่ดังลั่นจนกลบเสียงนกหวีด
ต่อมาได้มีการสัมภาษณ์ หญิงสาวผู้นี้ ทำให้สังคมได้รับทราบชื่อของเธอว่า นางสาวสุวินันท์ ชัยปราโมทย์ โดยคำให้สัมภาษณ์ ของหญิงกล้าผู้นี้กับทาง Police News โดยสรุปก็คือ
“วันนี้เป็นวันเลือกตั้งล่วงหน้าที่ใฝ่ฝันมานาน ด้วยใจรักประชาธิปไตยและความยุติธรรม เวลา 08.05 น.โดยประมาณ เสียงม็อบ กปปส.ประกาศเราจะแสดงออกเพื่อคัดค้านการเลือกตั้งโดยสันติอหิงสา เดินเข้ามาอีก100เมตรจะถึงเขตและมีเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วยประมาณนึง ก็คิดว่าคงไม่มีอะไรมาก พอเดินมาใกล้ๆ อ้าว ม็อบนกหวีดทั้งนั้นที่มายืนขวางประตูแต่เช้าเลย ทั้งชายฉกรรจ์หน้าตาเหมือนคนใต้หลายคนถือธงชาติด้ามโตหลายอัน ปิดหน้าปิดตาดูน่ากลัวมาก และผู้หญิงเป่านกหวีดอีกหลายคน
ประตูรั้วของเขตปิด เป็นประตูรั้วแสตนเลสสีเงินแบบโปร่ง แต่มองเห็นชัดเจนว่าเจ้าหน้าที่นั่งทำตาปริบๆว่าผู้ใช้สิทธิ์จะเข้ามายังไง
พอจะเลื่อนเปิดประตู อ้าวเจอผ้าขาวม้าผืนใหญ่มัดประตูไว้แน่นหลายชั้น ยื่นมือเข้าไปแกะท่ามกลางเสียงผู้ชายหน้าโหดหลายคนตะโกนบอก “เข้าไม่ได้ เข้าไม่ได้” เมื่อถามว่าทำไม คำตอบคือ “มีคำสั่งห้ามเข้า” พอถามว่าใครสั่ง คำตอบที่ได้รับคือ “คุณสุเทพ”!!!
เมื่อแย้งว่านายสุเทพบอกคัดค้าน แต่ไม่ขัดขวาง ทางการ์ดก็ยังยืนกรานว่าเข้าไม่ได้ แถมยังดึงมือปัดมือไม่ให้แกะผ้าผูกปิดประตูออก ทำให้วินาทีนั้นรู้สึกถูกริดรอนสิทธิ์อย่างมาก รับไม่ได้เลย แต่ใจไม่มีความกลัวอันธพาลเลยแม้แต่น้อย ตอนนั้นคิดอย่างเดียวว่ายังไงก็ต้องไปใช้สิทธิ์ของเราให้ได้ ก็เราคนไทย ปกครองโดยระบอบประชาธิปไตย แล้วทำไมเราต้องยอมคนแบบนี่
วินาทีนั้นเลยโยนรองเท้าเข้าไปก่อน แล้วปีนรั้วขึ้นข้ามไปโดยไม่สนใจเสียงโห่ของม็อบคนเลวพวกนี้เลย เจ้าหน้าที่หญิงสองสามคนวิ่งเข้ามาหาด้วยความดีใจปรบมือดีใจต้อนรับ รีบพาเข้าไปคูหาเลือกตั้ง เขาบอก “พี่คือผู้ใช้สิทธิ์ในเขตคนแรกเลยน่ะค่ะที่เข้ามาได้ พี่กล้ามากเลยนะคะ”
เลยบอกไปว่า ดิฉันรับไม่ได้กับบ้านป่าเมืองเถื่อนแบบนี้ นี่หรือประเทศไทย
เป็นอันว่าเธอผู้กล้าก้าวข้ามการขัดขวาง สามารถที่จะเข้าไปใช้สิทธิเลือกตั้งเพื่อให้ประชาธิปไตยของไทยเดินหน้าต่อไปตามระบบที่ถูกต้องที่ควรจะเป็น
เมื่อใช้สิทธิเลือกตั้งเสร็จ ตอนจะกลับออกจากหน่วยเลือกตั้ง เธอก็ต้องปีนรั้วอีก แต่เจ้าหน้าที่แนะนำให้ปีนออกด้านหลังเพื่อความปลอดภัย แต่กลายเป็นว่าลำบากกว่าปีนเข้าซะอีก เพราะด้านหลังรั้วกับหลังคาห่างกันแค่หนึ่งฟุต รั้วก็สูงเกือบสองเมตรได้ แถมทางด้านหลังรั้วยังเป็นทางเดินปูนบนทางระบายน้ำอีก เลยต้องปีนพร้อมกับนอนคร่อมรั้วเพื่อออกมาทางด้านหลัง และเดินออกถนนใหญ่เพื่อกลับมาที่รถ
เสร็จสิ้นการใช้สิทธิทางประชาธิปไตย อันแสนทรหดในความรูสึกของเธอ พร้อมกับระบุว่า
หากมีบุคคลกล้าอย่างดิฉันอีก ก็เชื่อว่า จะสามารถเดินหน้าพาประเทศเข้าสู่กระบวนการประชาธิปไตยได้อย่างแน่นอน!!”
และแน่นอนเช่นกันในโลกโซเชี่ยล ในสื่อต่างๆพูดกันแชร์กันสนั่นไปหมด
เช่นเดียวกับอีกคลิปหนึ่งที่สุภาพสครีพยายามเดินเข้าคูหาเลือกตั้ง บริเวณเขตจตุจักร ท่ามกลางกลุ่มผู้ชุมนุมกปปส. ที่พยายามขัดขวางไม่ให้เข้าไปเลือกตั้ง ด้วยวิธีการสารพัดทั้งจากผู้หญิงด้วยกัน และจากผู้ชายร่างใหญ่กว่าแข็งแรงกว่า ที่ทั้งฉุดกระชาก ทั้งเอาธงชาติคลุมหัวเพื่อลากตัวเธอให้เข้าไปเลือกตั้ง ทั้งๆที่เธอเป็นเพียงผู้หญิงวัย 50 ปี ที่มีเพียงไฟฉายในมือเท่านั้น
แต่เธอก็กล้าที่จะเดินฝ่าม็อบเข้าไป และกล้าที่จะบอกเหตุผลของการถือไฟฉายเข้าไปว่า ประเทศไทยมันมืดนัก ไฟฉายจะส่องทางไปแสวงหาประชาธิปไตยได้ ด้วยการใช้สิทธิเลือกตั้ง ประเทศชาติจะได้พ้นความมืดมิดเสียที ซึ่งทราบชื่อในภายหลังว่า นางสาวพิจาริณี รัตนชำนอง
สตรีทั้ง 2 คนใช้ความสงบ สันติ และปราศจากความรุนแรงอย่างแท้จริง เป็นธงนำหน้าในการเดินฝ่าคนในกลุ่ม กปปส. ที่ปิดล้อมหน่วยเลือกตั้งเข้าไปเพื่อที่จะใช้สิ?ตามกฎหมายของเธอ
สำหรับผู้ชายก็ไม่น้อยหน้ากัน ที่จุดเลือกตั้งวัดธาตุทอง ก็เป็นอีกแห่งที่ถูกม็อบ กปปส.ปิดล้อม เพื่อขัดขวางไม่ให้คนเข้าไปใช้สิทธิเลือกตั้ง เมื่อเข้าไม่ได้ชายผู้หนึ่งซึ่งมาตั้งแต่เช้าเพราะต้องการใช้สิทธิ จึงเลือกที่จะนั่งประท้วงกลางแดด ต่อหน้ากลุ่ม กปปส จนถึงเวลา 10.30 น.
เป็นอีกกรณีของก้าวที่กล้า เพื่อประชาธิปไตยที่น่ายกย่อง เพราะนี่คือสงบ สันติ อย่างแท้จริง
แต่ที่จุดเลือกตั้งจตุจักรอีกเช่นกัน ที่นอกจากจะมีการใช้ควารุนแรงกับนางสาวพิจาริณีแล้ว ยังมีเหตุการณ์ทำร้ายชายคนหนึ่งที่จะเข้าไปเลือกตั้งเกิดขึ้นด้วยเช่นกัน แถมยังฉวยโอกาสขโมยโทรศัพท์ที่ชายคนนี้ถ่ายภาพเหตุการณ์เอาไว้ไปด้วย
นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 26 มกราคมที่ผ่านมา ในกรณีของการเลือกตั้งล่วงหน้า ที่ทำให้เกิดภาพลบกับประเทศไทย นั่นหมายความรวมถึงกรณีการยิงจนมีผู้เสียชีวิตที่แถวๆวัดศรีเอี่ยม หรือกรณีของเขตลาดกระบัง ที่ผู้ต้องการใช้สิทธิ ได้ใช้ไม้ตีกลุ่มม็อบ กปปส. ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าสลดใจ
เราไม่สนับสนุนความรุนแรงไม่ว่าจากฝ่ายใดทั้งสิ้น รวมทั้งต้องการเห็นการยุติปัญหาทางการเมืองในครั้งนี้โดยสันติ เพราประเทศชาติบอบช้ำมามากแล้ว และที่สำคัญหากยังดันทุรังทำตัวเป็นมะเร็งร้ายของแผ่นดิน ของประเทศกันต่อไป หากเกิดความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ ใครจะรับผิดชอบ
อยากให้แกนนำใหญ่อย่างนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ได้พิจารณาถึงความพยายามรักษาสิทธิ์ของสุภาพสตรีทั้ง 2 ท่าน ว่านี่คือสิ่งที่เป็นประโยชน์กับประชาธิปไตยและประเทศชาติอย่างแท้จริงมิใช่หรือ
การปาวๆแต่วาจาว่าไม่ได้รุนแรง ไม่ได้ขัดขวางการเลือกตั้งนั้น จนถึงขั้นนี้แล้ว ไม่คิดที่จะแสดงความ
เป็นลูกผู้ชายรับผิดชอบต่อสิ่งที่พูดแล้วทำไม่เคยได้บ้างหรือ???
ไม่อายสุภาพสตรีที่มีใจแกร่ง และรักประชาธิปไตยอย่างแท้จริงเลยหรืออย่างไร!!!
ที่มา.บางกอกทูเดย์
---------------------------------------------
แม้เป็นก้าวเล็กๆของมนุษย์ แต่เป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ
สำหรับประเทศไทยยามนี้ แม้อาจจะไม่ได้มีเหตุการณ์ถึงขั้นก้าวไปยืนบนดวงจันทร์ แต่เหตุการณ์ “ก้าวเดินไปข้างหน้า เพื่อที่จะใช้สิทธิในการเลือกตั้ง”ของผู้หญิงตัวเล็กๆ 2 คน เมื่อวันที่ 26 มกราคมที่ผ่านมา
ต้องถือว่า มิได้เป็นเพียงแค่ก้าวเล็กๆของสตรีใจกล้า แต่เป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่สำหรับอนาคตประชาธิปไตยของประเทศนี้
เป็นก้าวที่กล้าในภาวะที่ประเทศชาติต้องถูกต้อนเข้าสู่มุมอับ เจอทางตันจากการปิดล้อมทางการเมือง ด้วยการปลุกสร้างกระแสเกลียดชังของพลังบริสุทธิ์กลุ่มหนึ่งให้ออกมาขับไล่ระบอบทักษิณ แล้วบานปลายเป็นการแช่แข็งปิดประเทศไทย
แม้ว่านายสุเทพ เทือกสุบรรณ จะประกาศอ้างตลอดว่า ใช้แนวทางอารยะขัดขืนเพื่อคัดค้านการเลือกตั้ง ด้วยการชุมนุมอย่างสงบ สันติ ปราศจากความรุนแรง
สอดรับกับแนวทางของพรรคประชาธิปัตย์ ที่ระบุเช่นเดียวกันว่าบอยคอตการเลือกตั้ง แต่ไม่ขัดขวางการเลือกตั้ง
แต่ภาพจริงที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็คือการไปปิดล้อมการรับสมัครเลือกตั้ง เกิดความรุนแรงจากความพยายามที่จะปิดล้อมพยายามที่จะบุกรุกเข้าไปในสถานที่ กระทั่งนำไปสู่ความสูญเสียชีวิตของทั้งผู้ชุมนุม และเจ้าหน้าที่ตำรวจ
แม้ว่าบทเรียนจากความรุนแรงที่สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง จะทำให้นายสุเทพ ประกาศว่า แม้ไม่สนับสนุนการเลือกตั้ง แต่ก็จะไม่ขัดขวางการเลือกตั้ง
สุดท้ายก็ยังคงมีกรณีที่แตกต่างจากคำประกาศของนายสุเทพ และเกิดความสูญเสียชีวิต และบาดเจ็บกันขึ้นอีกครั้ง
ความจริงถูกฟ้องโดยคลิปเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ที่มีการแชร์กันสนั่นโลกออนไลน์ คลิปแรกคือกรณีที่หญิงสาวคนหนึ่งพยายามรักษาสิทธิของเธอด้วยการฝ่าดงม็อบต่อต้านประชาธิปไตยของกปปส.ราว 500 คน เข้าไปใช้สิทธิเลือกตั้งที่เขตสวนหลวง กรุงเทพฯ
ในคลิป สตรีผู้นี้ได้พูดกับม็อบกปปส.ที่หน้าประตูเขตสวนหลวงที่ถูกม็อบปิดล็อกไว้ และใช้ม็อบขวางไว้จำนวนมากว่า “เราต้องรักษาสิทธิของเรา ทำไมต้องขออนุญาตใคร คุณสุเทพพูดไว้แล้วว่าคัดค้านแต่ไม่ขัดขวาง แล้วนี่ไง(เธอชี้ไปที่ประตู จุดที่ม็อบนำผ้าคล้องประตูไว้)ว่า นี่ไงเป็นการขัดขวาง แต่ฉันไม่ยอม ยังไงก็จะเข้าไปใช้สิทธิของฉัน ฉันจะเลือกใครก็สิทธิของฉัน”
จากนั้นเธอก็ตัดสินใจที่จะปีนข้ามประตูรั้วที่ขวางไว้เข้าไปในพื้นที่เลือกตั้ง
วินาทีนั้นได้ปรากฏเสียงโห่ร้องดีใจของผู้มีสิทธิเลือกตั้งรายอื่นๆที่โดนม็อบขัดขวาง พร้อมกับส่งเสียงให้เธอว่า “สุดยอดๆเลย”
เป็นเสียงแสดงความยินดีร่วมให้กำลังใจ ที่ดังลั่นจนกลบเสียงนกหวีด
ต่อมาได้มีการสัมภาษณ์ หญิงสาวผู้นี้ ทำให้สังคมได้รับทราบชื่อของเธอว่า นางสาวสุวินันท์ ชัยปราโมทย์ โดยคำให้สัมภาษณ์ ของหญิงกล้าผู้นี้กับทาง Police News โดยสรุปก็คือ
“วันนี้เป็นวันเลือกตั้งล่วงหน้าที่ใฝ่ฝันมานาน ด้วยใจรักประชาธิปไตยและความยุติธรรม เวลา 08.05 น.โดยประมาณ เสียงม็อบ กปปส.ประกาศเราจะแสดงออกเพื่อคัดค้านการเลือกตั้งโดยสันติอหิงสา เดินเข้ามาอีก100เมตรจะถึงเขตและมีเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วยประมาณนึง ก็คิดว่าคงไม่มีอะไรมาก พอเดินมาใกล้ๆ อ้าว ม็อบนกหวีดทั้งนั้นที่มายืนขวางประตูแต่เช้าเลย ทั้งชายฉกรรจ์หน้าตาเหมือนคนใต้หลายคนถือธงชาติด้ามโตหลายอัน ปิดหน้าปิดตาดูน่ากลัวมาก และผู้หญิงเป่านกหวีดอีกหลายคน
ประตูรั้วของเขตปิด เป็นประตูรั้วแสตนเลสสีเงินแบบโปร่ง แต่มองเห็นชัดเจนว่าเจ้าหน้าที่นั่งทำตาปริบๆว่าผู้ใช้สิทธิ์จะเข้ามายังไง
พอจะเลื่อนเปิดประตู อ้าวเจอผ้าขาวม้าผืนใหญ่มัดประตูไว้แน่นหลายชั้น ยื่นมือเข้าไปแกะท่ามกลางเสียงผู้ชายหน้าโหดหลายคนตะโกนบอก “เข้าไม่ได้ เข้าไม่ได้” เมื่อถามว่าทำไม คำตอบคือ “มีคำสั่งห้ามเข้า” พอถามว่าใครสั่ง คำตอบที่ได้รับคือ “คุณสุเทพ”!!!
เมื่อแย้งว่านายสุเทพบอกคัดค้าน แต่ไม่ขัดขวาง ทางการ์ดก็ยังยืนกรานว่าเข้าไม่ได้ แถมยังดึงมือปัดมือไม่ให้แกะผ้าผูกปิดประตูออก ทำให้วินาทีนั้นรู้สึกถูกริดรอนสิทธิ์อย่างมาก รับไม่ได้เลย แต่ใจไม่มีความกลัวอันธพาลเลยแม้แต่น้อย ตอนนั้นคิดอย่างเดียวว่ายังไงก็ต้องไปใช้สิทธิ์ของเราให้ได้ ก็เราคนไทย ปกครองโดยระบอบประชาธิปไตย แล้วทำไมเราต้องยอมคนแบบนี่
วินาทีนั้นเลยโยนรองเท้าเข้าไปก่อน แล้วปีนรั้วขึ้นข้ามไปโดยไม่สนใจเสียงโห่ของม็อบคนเลวพวกนี้เลย เจ้าหน้าที่หญิงสองสามคนวิ่งเข้ามาหาด้วยความดีใจปรบมือดีใจต้อนรับ รีบพาเข้าไปคูหาเลือกตั้ง เขาบอก “พี่คือผู้ใช้สิทธิ์ในเขตคนแรกเลยน่ะค่ะที่เข้ามาได้ พี่กล้ามากเลยนะคะ”
เลยบอกไปว่า ดิฉันรับไม่ได้กับบ้านป่าเมืองเถื่อนแบบนี้ นี่หรือประเทศไทย
เป็นอันว่าเธอผู้กล้าก้าวข้ามการขัดขวาง สามารถที่จะเข้าไปใช้สิทธิเลือกตั้งเพื่อให้ประชาธิปไตยของไทยเดินหน้าต่อไปตามระบบที่ถูกต้องที่ควรจะเป็น
เมื่อใช้สิทธิเลือกตั้งเสร็จ ตอนจะกลับออกจากหน่วยเลือกตั้ง เธอก็ต้องปีนรั้วอีก แต่เจ้าหน้าที่แนะนำให้ปีนออกด้านหลังเพื่อความปลอดภัย แต่กลายเป็นว่าลำบากกว่าปีนเข้าซะอีก เพราะด้านหลังรั้วกับหลังคาห่างกันแค่หนึ่งฟุต รั้วก็สูงเกือบสองเมตรได้ แถมทางด้านหลังรั้วยังเป็นทางเดินปูนบนทางระบายน้ำอีก เลยต้องปีนพร้อมกับนอนคร่อมรั้วเพื่อออกมาทางด้านหลัง และเดินออกถนนใหญ่เพื่อกลับมาที่รถ
เสร็จสิ้นการใช้สิทธิทางประชาธิปไตย อันแสนทรหดในความรูสึกของเธอ พร้อมกับระบุว่า
หากมีบุคคลกล้าอย่างดิฉันอีก ก็เชื่อว่า จะสามารถเดินหน้าพาประเทศเข้าสู่กระบวนการประชาธิปไตยได้อย่างแน่นอน!!”
และแน่นอนเช่นกันในโลกโซเชี่ยล ในสื่อต่างๆพูดกันแชร์กันสนั่นไปหมด
เช่นเดียวกับอีกคลิปหนึ่งที่สุภาพสครีพยายามเดินเข้าคูหาเลือกตั้ง บริเวณเขตจตุจักร ท่ามกลางกลุ่มผู้ชุมนุมกปปส. ที่พยายามขัดขวางไม่ให้เข้าไปเลือกตั้ง ด้วยวิธีการสารพัดทั้งจากผู้หญิงด้วยกัน และจากผู้ชายร่างใหญ่กว่าแข็งแรงกว่า ที่ทั้งฉุดกระชาก ทั้งเอาธงชาติคลุมหัวเพื่อลากตัวเธอให้เข้าไปเลือกตั้ง ทั้งๆที่เธอเป็นเพียงผู้หญิงวัย 50 ปี ที่มีเพียงไฟฉายในมือเท่านั้น
แต่เธอก็กล้าที่จะเดินฝ่าม็อบเข้าไป และกล้าที่จะบอกเหตุผลของการถือไฟฉายเข้าไปว่า ประเทศไทยมันมืดนัก ไฟฉายจะส่องทางไปแสวงหาประชาธิปไตยได้ ด้วยการใช้สิทธิเลือกตั้ง ประเทศชาติจะได้พ้นความมืดมิดเสียที ซึ่งทราบชื่อในภายหลังว่า นางสาวพิจาริณี รัตนชำนอง
สตรีทั้ง 2 คนใช้ความสงบ สันติ และปราศจากความรุนแรงอย่างแท้จริง เป็นธงนำหน้าในการเดินฝ่าคนในกลุ่ม กปปส. ที่ปิดล้อมหน่วยเลือกตั้งเข้าไปเพื่อที่จะใช้สิ?ตามกฎหมายของเธอ
สำหรับผู้ชายก็ไม่น้อยหน้ากัน ที่จุดเลือกตั้งวัดธาตุทอง ก็เป็นอีกแห่งที่ถูกม็อบ กปปส.ปิดล้อม เพื่อขัดขวางไม่ให้คนเข้าไปใช้สิทธิเลือกตั้ง เมื่อเข้าไม่ได้ชายผู้หนึ่งซึ่งมาตั้งแต่เช้าเพราะต้องการใช้สิทธิ จึงเลือกที่จะนั่งประท้วงกลางแดด ต่อหน้ากลุ่ม กปปส จนถึงเวลา 10.30 น.
เป็นอีกกรณีของก้าวที่กล้า เพื่อประชาธิปไตยที่น่ายกย่อง เพราะนี่คือสงบ สันติ อย่างแท้จริง
แต่ที่จุดเลือกตั้งจตุจักรอีกเช่นกัน ที่นอกจากจะมีการใช้ควารุนแรงกับนางสาวพิจาริณีแล้ว ยังมีเหตุการณ์ทำร้ายชายคนหนึ่งที่จะเข้าไปเลือกตั้งเกิดขึ้นด้วยเช่นกัน แถมยังฉวยโอกาสขโมยโทรศัพท์ที่ชายคนนี้ถ่ายภาพเหตุการณ์เอาไว้ไปด้วย
นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 26 มกราคมที่ผ่านมา ในกรณีของการเลือกตั้งล่วงหน้า ที่ทำให้เกิดภาพลบกับประเทศไทย นั่นหมายความรวมถึงกรณีการยิงจนมีผู้เสียชีวิตที่แถวๆวัดศรีเอี่ยม หรือกรณีของเขตลาดกระบัง ที่ผู้ต้องการใช้สิทธิ ได้ใช้ไม้ตีกลุ่มม็อบ กปปส. ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าสลดใจ
เราไม่สนับสนุนความรุนแรงไม่ว่าจากฝ่ายใดทั้งสิ้น รวมทั้งต้องการเห็นการยุติปัญหาทางการเมืองในครั้งนี้โดยสันติ เพราประเทศชาติบอบช้ำมามากแล้ว และที่สำคัญหากยังดันทุรังทำตัวเป็นมะเร็งร้ายของแผ่นดิน ของประเทศกันต่อไป หากเกิดความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ ใครจะรับผิดชอบ
อยากให้แกนนำใหญ่อย่างนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ได้พิจารณาถึงความพยายามรักษาสิทธิ์ของสุภาพสตรีทั้ง 2 ท่าน ว่านี่คือสิ่งที่เป็นประโยชน์กับประชาธิปไตยและประเทศชาติอย่างแท้จริงมิใช่หรือ
การปาวๆแต่วาจาว่าไม่ได้รุนแรง ไม่ได้ขัดขวางการเลือกตั้งนั้น จนถึงขั้นนี้แล้ว ไม่คิดที่จะแสดงความ
เป็นลูกผู้ชายรับผิดชอบต่อสิ่งที่พูดแล้วทำไม่เคยได้บ้างหรือ???
ไม่อายสุภาพสตรีที่มีใจแกร่ง และรักประชาธิปไตยอย่างแท้จริงเลยหรืออย่างไร!!!
ที่มา.บางกอกทูเดย์
---------------------------------------------