หากเป็นไปตามคำแถลงของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์แล้วไซร้...ในเดือนสิงหาคม ระหว่างการประชุมรัฐสภาสมัยสามัญก็จะมีการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เกิดขึ้น
ก็ยังไม่รู้ว่า...ทางพรรคประชาธิปัตย์จะมีข้อกล่าวหาอะไรบ้าง
แต่แน่นอนว่า...จะต้องมีข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการโกงการคอรัปชั่น และการไม่มีความสามารถในการบริหารบ้านเมืองให้ดีขึ้นอย่างใดอย่างหนึ่ง
ในความรู้สึกของคอการเมืองแล้ว การเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจย่อมเป็นเกมส์การเมืองที่ตื่นเต้นเร้าใจ
แม้ว่าครั้งนี้มันควรจะลงเอยด้วยการที่รัฐบาลจะยังคงอยู่บริหารประเทศต่อไปได้อย่างสะดวกสบาย เพราะมีคะแนนเสียงในสภาเหนือกว่าฝ่ายค้านอยู่มากมาย จนถูกกล่าวหาว่าเป็นเผด็จการรัฐสภาก็ตามที
ไม่ว่าจะเป็นยุคใดสมัยใด หากมีการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจแล้ว มันก็เป็นเรื่องที่บอกให้รู้ว่า...การเมืองได้ก้าวมาถึงจุดที่ใกล้จะมีการเปลี่ยนแปลงไปทางใดทางหนึ่ง
และก็เป็นธรรมดาเหลือเกินว่า...ในระหว่างการอภิปราย ฝ่ายค้านก็จะต้องหาเรื่องราวและเหตุผลมาพูด
เพื่อให้ประชาชนผู้ได้ยินได้ฟัง เชื่ออย่างสนิทใจว่า...รัฐบาลโกงจริง เลวจริง ไม่สมควรจะไว้วางใจให้นั่งบริหารประเทศต่อไป เพราะไม่มีความรู้ความสามารถ
บางเรื่องอาจมีเหตุผลมาก บางเรื่องมีเหตุผลน้อย แม้กระทั่งเป็นเรื่องที่กล่าวหากันขึ้นมาลอยๆ
ที่กล่าวมาแล้วทั้งหมดเป็นกฎเกณฑ์ทั่วไป แต่สำหรับคราวนี้อาจจะมีข้อยกเว้นไม่เหมือนเดิมก็อาจจะเป็นได้
เพราะได้มีการคาดการณ์ว่า...หากคุณอภิสิทธิ์? และพรรคประชาธิปัตย์ เปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาลแล้ว
คุณอภิสิทธิ์และฝ่ายค้านเองนั่นแหละอาจจะต้องเป็นฝ่ายรับงานหนักในการทำความเข้าใจกับประชาชนว่า ไม่ได้เป็นพรรคขี้โกง ไม่ได้คอรัปชั่นเสียเอง
ไม่ใช่ฝ่ายรัฐบาลฝ่ายเดียวที่งานหนัก เนื่องจากจนถึงขณะนี้ พรรคประชาธิปัตย์กำลังเผชิญกับข้อกล่าวหาที่หนักหน่วงอย่างยิ่งเกี่ยวกับการทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวง
โดยเรื่องแรกทางอนุกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณี 3 จี ระหว่าง บมจ.กสท.โทรคมนาคม กับ กลุ่ม บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ลงมติเอกฉันท์ว่า...
สัญญาร่วมทุนดังกล่าวผิดโดยชัดเจน และเรื่องนี้ยึดโยงไปถึง คุณจุติ ไกรฤกษ์ อดีตรัฐมนตรี ไอซีที. กับคณะรัฐมนตรีที่มี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี
แค่เรื่องนี้เรื่องเดียวก็น่าจะเหนื่อยเต็มที แต่มันยังมีเรื่องที่อยู่ๆ ฝ่ายบริหารของกรุงเทพมหานคร ในความควบคุมดูแลของพรรคประชาธิปัตย์ ได้ดำเนินการอันเป็นผลเท่ากับการขยายอายุสัมปทานรถไฟฟ้า บีทีเอส. ออกไปอีก 30 ปี
ทั้งๆ ที่อายุสัมปทานเดิมยังเหลืออยู่อีกตั้ง 17 ปี
และทุกคนที่ไม่ใช่ประชาธิปัตย์ลงความเห็นว่า...มันเป็นเรื่องไม่ชอบมาพากลและทำให้ชาติบ้านเมืองเสียหายหลายแสนล้านบาท
เป็นเรื่องฉ้อราษฎร์บังหลวง
ต้องจับตาดูว่า...ใครจะเป็นฝ่ายตกม้าตาย
โดย. ศรี อินทปันตี ,บางกอกทูเดย์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น