--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

การเมือง เรื่องนม เด็ก !!?

ภายใต้ภาพอันสวยหรู! ที่รัฐบาลได้ จัดสรรเม็ดเงินนับหมื่นล้านบาท เข้าไป “อุดหนุน” โครงการนมโรงเรียน แต่จนแล้วจนรอด..อภิโปรเจกต์นี้ ก็ยังประสบปัญหามากมาย ทั้งปมงาบหัวคิว การปลอมปนนมเด็ก หรือแม้แต่การจัดสรรโควตาที่ไม่โปร่งใส เหล่านี้ได้ยึดโยงไปถึง “มหากาพย์ทุจริตนมโรงเรียน” ที่ฝังรากมายาวนานนับสิบปี กระนั้นรัฐบาลก็ทำการจัดสรรงบประมาณปี 2555 กว่า 1.4 หมื่นล้านบาท เพื่อ ให้เด็กนักเรียนราว 8 ล้านคนได้ดื่มนมฟรี แต่ปรากฏว่า ในจำนวนนี้มีการปลอมปน “นมเด็ก” ไปมากถึง 70% และมีเม็ดเงินถึงมือเกษตรกรเพียง 1.5 พันล้านบาทเท่านั้น ที่น่าแปลก เพราะมีการกำหนด “โควตานม” วันละประมาณ 8 ล้านกล่อง แต่มีเด็กนักเรียนอยู่ 60% ที่ได้ดื่มนมฟรี ส่วนที่เหลืออีก 40% กลับไม่ได้ดื่ม นั่นเพราะยังคงมีปัญหานมบูด-เน่าเสีย หรือ แม้แต่การจัดสรรโควตานมที่ไม่ทั่วถึง
ยิ่งที่ผ่านมา ได้ปรากฏรายการ “ฮั้วโควตานม” โดยมีนักการเมืองคอยชี้โพรงให้เอกชนสองรายใหญ่เข้าไป “ผูกขาด!” ซึ่งแม้รัฐบาลจะใช้ระบบ “นายหน้า” หรือให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เป็นผู้จัดซื้อเองโดยผ่าน “กลไก” ของทางกระทรวง เกษตรและสหกรณ์ แต่ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาเหล่านี้ได้

ขณะที่ผลพวงจากปัญหานมล้นตลาด ก็เป็นอีกเรื่องที่รัฐบาล “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ต้องรีบเข้ามาปัดกวาดขยะที่ซุกกันไว้ใต้พรม!! หลังจากเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมออกมาร้องแรกแหกกระเชอ! อ้างประสบปัญหาการขายน้ำนมดิบ เนื่องจาก 3 โรงงาน ประสบ ภาวะน้ำท่วมจึงไม่สามารถรับซื้อน้ำนมดิบได้ เกษตรกรจึงไม่มีแหล่งขาย ทาง ครม.จึงได้อนุมัติงบกลางปี 2555 วงเงิน 205.50 ล้าน บาท มาจัดซื้อนมพาสเจอไรส์ให้กับเด็กนักเรียนก่อนวัยเรียนจนถึง ป.6 นั่นก็เป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และชี้ให้เห็นว่า..รัฐบาลยังเกาไม่ถูกที่คัน!

เพราะไม่คิดจะเชือดไก่ให้ลิงดู หรือ ไม่กล้าฟัน “คนกันเอง” อันถือเป็นหมาย เหตุแห่งคอร์รัปชั่นทั้งปวง แถมคนกลุ่มนี้ ยังมีผลประโยชน์ต่างตอบแทนกับ “แก๊ง สวาปามนมเด็ก” มาทุกยุคทุกสมัย แต่ในทันทีที่รัฐบาลเปิดเกม “จับปู ใส่กระด้ง” ด้วยการเชิดหัว “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” เข้าไปค้ำยันในเก้าอี้ รมช.กระทรวงเกษตร ก็ได้เกิดแรงกระเพื่อมไหวอิงอยู่เป็นระลอก กระนั้นหลายฝ่ายก็ยังมองไปถึงการที่ “ณัฐวุฒิ” เข้าไปสานสัมพันธ์ใกล้ชิดกับกลุ่มสหกรณ์โคนมซึ่งเสียผลประโยชน์จากการนี้มหาศาล ทั้งที่ไม่มีการมอบหมายงานให้ดูแลในส่วนนี้ นั่นจึงเป็นอะไรที่ดูน่ากังขา และส่อเค้าลางว่า..อาจมีการกระทบกระทั่ง กันเมื่อใดก็ได้ ซึ่งที่สุดคงหนีไม่พ้น “ศึกใน” ระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะการ “รื้อระบบโควตานม” ซึ่งเดิมทีเป็นการผูกขาดของพรรคการเมือง พันธุ์ปลาไหล ที่ทำมาหากินมาในทุกยุคสมัยที่ เข้ามา “กุมอำนาจ” ในแดนสนธยาแห่งนี้ อีกทั้งได้มี “อินไซเดอร์” ออกมาแฉ กลวิธี!..การหักส่วนแบ่งค่าการตลาดของ ฝ่ายการเมืองที่เก็บอยู่ในอัตรากล่องละ 50 สตางค์ ในโควตานม 8 ล้านกล่องต่อวัน หรือ คิดเป็น 120 ล้านบาท/เดือน ซึ่งในปีหนึ่งๆ ก็มีส่วนแบ่งค่าการตลาดมากถึง 1,440 ล้านบาท เข้าไปอยู่ในบัญชีลับของ “ผู้มีอำนาจ” ในการจัดสรรโควตาฯ

นอกจากนี้ ยังมีการ “สวมสิทธิ์” รับซื้อ น้ำนมดิบ ขณะที่ตัวเลขการซื้อนมก็ไม่ตรงตามจริง เพราะผู้ประกอบการเหล่านี้แทนที่ จะรับซื้อนมจากเกษตรกร แต่กลับซื้อนมผง จากต่างประเทศมาคืนรูป เพราะจะทำให้ได้ ส่วนแบ่งถึง 13% มากกว่ากำไร 4% ที่ได้จากการผลิตด้วยนมโคสด ทำให้ปัญหานมล้นตลาดเกิดขึ้นซ้ำซากยิ่งไปกว่านั้น ระบบตรวจสอบก็ยังมีปัญหาเช่นกัน เจ้าหน้าที่รัฐไม่เรียกเก็บ “ใบ รับรองสิทธิ” มาตรวจสอบ และไม่แนบหนังสือ รับรองสิทธิ์การซื้อน้ำนมดิบ เพื่อใช้ประกอบ การยื่นฎีกาเบิกเงินงบประมาณ ส่วนการจัด จำหน่ายนมโรงเรียนก็มีปัญหานายหน้า หรือ “มาเฟียนม” มีทั้งการฮั้วประมูลและการเรียกเก็บค่าหัวคิว ที่สุดก็ไร้ซึ่งการตรวจสอบ คุณภาพนมก่อนส่งให้เด็กนักเรียนนำไปบริโภค สิ่งนี้ถือเป็น “หมากใต้กระดาน” ที่ รัฐนาวายิ่งลักษณ์ ต้องรีบเข้าไปสะสาง! หากไม่คิดให้ซีกฝ่ายค้านหยิบฉวยไปเป็นเครื่องมือ “ลากไส้รัฐบาล” ในการอภิปรายฯ เที่ยวล่าสุดนี้

เหนืออื่นใด การที่รัฐบาลจะหมายมั่น เข้าไป “ล้างโกง” ให้อยู่หมัดนั้น ก่อนอื่นคงต้องทำการ “ปฏิรูป” นโยบายนมโรงเรียนทั้งระบบ ด้วยการตัดวงจรนายหน้าออกไป เพราะพบว่า 12% ของกำไรจากอุตสาหกรรม นมโคสดแท้ ตกไปอยู่ที่คนกลุ่มนี้ ดังนั้นรัฐบาลอาจต้องหันไปสนับสนุนเกษตรกรโคนม พึ่งตนเองได้ด้วยการ “เพิ่มอำนาจต่อ รอง” ให้มากขึ้น เพราะถือได้ว่ารัฐผุดโครงการนี้ขึ้นมาก็เพื่อหาทางออกให้กับปัญหาน้ำนมดิบล้นตลาด! โดยเพิ่มความต้องการน้ำนมดิบเข้ามาในระบบไปพร้อมๆ กับการจัดสวัสดิการอาหารเสริมให้แก่เด็กและเยาวชนของประเทศ

แต่กระนั้น ทางออกอันสวยหรูที่ “รัฐนาวา” วาดภาพฝันไว้นั้น กลับเต็มไป ด้วยขวากหนามอันแหลมคม! เพราะนับจากเริ่มต้น “อภิโปรเจกต์นมโรงเรียน” ก็ เกิดปัญหาตามมามิได้หยุดหย่อน วนเวียน จากปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นที่กำลังเบ่งบาน ณ ตอนนี้ นำไปสู่ปมการเมืองเรื่องนมเด็ก.. ในอีกวาระหนึ่ง!?!

ที่มา:สยามธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น