--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

อานิสงส์ลดภาษีนิติบุคคล หนุนกำไร บจ.ปี55 ทะยานแตะ 6 แสนล้าน ...

โบรกฯคาดปีนี้รัฐลดภาษี รายได้หนุนกำไร บจ.พุ่ง 17% ลุ้นแตะ 6 แสนล้านบาท จับตาบริษัทฟื้นจากน้ำท่วมเร่งเดินหน้าแผนลงทุนครึ่งปีหลัง ส่วนปี"54 ยอดทะลุ 5 แสนล้าน โต 10% กลุ่ม"พลังงาน-ธนาคาร- ปิโตรฯ" กำไรโด่ง

รายงานข่าวจากบทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กรุงศรี ระบุว่า บริษัทได้จัดทำประมาณการกำไรปี 2554 ของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) โดยรวมอยู่ที่ประมาณ 496,540 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 46,943 ล้านบาท หรือ 10.44% จากปี 2553 ที่มีกำไรรวม 449,597 ล้านบาท กลุ่มที่มีกำไรสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ กลุ่มพลังงาน 182,196 ล้านบาท เติบโต 12.90% ตามด้วยกลุ่มธนาคาร 120,481 ล้านบาท โต 21.65% และกลุ่มปิโตรเคมี 51,750 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 90.29%

สำหรับกลุ่มหุ้นที่กำไรเติบโตลดลง 3 อันดับแรก ได้แก่ กลุ่มขนส่งและโลจิสติกส์ กำไรรวม 1,782 ล้านบาท ลดลงเกือบ 10,000 ล้านบาท หรือ-89.91% จากสิ้นปี 2553 ที่มีกำไรสูงถึง 17,670 ล้านบาท รองลงมากลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ 4,488 ล้านบาท ลดลง 2,414 ล้านบาท หรือ -34.97% และกลุ่มยานยนต์ 2,240 ล้านบาท ลดลง 922 ล้านบาท หรือ -29.15%

นอกจากนี้ บล.กรุงศรียังได้ประมาณการกำไรของหุ้นกลุ่มหลัก ๆ ในตลาด เช่น กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม กำไรรวม 25,857 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7,000 ล้านบาท หรือ 43.61% กลุ่มวัสดุก่อสร้าง 31,338 ล้านบาท ลดลง 10,000 ล้านบาท หรือ -23.94% กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ 17,660 ล้านบาท ลดลงประมาณ 2,000 ล้านบาท หรือ -10% กลุ่มสื่อสาร 29,433 ล้านบาท ลดลง 8.4%

นางสาวอาภาภรณ์ แสวงพรรคผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตัวเลขคาดการณ์กำไร บจ.ใน ปี 2554 อยู่ที่ 516,376 ล้านบาท เติบโต 10% ซึ่งเติบโตได้ดีเนื่องจากมีกำไรสะสม ในช่วง 9 เดือนแรกที่สูง เมื่อไตรมาส 4/54 เกิดภาวะน้ำท่วม บางบริษัทบางธุรกิจได้รับผลกระทบจนกำไรลดลง บางรายขาดทุน แต่เมื่อรวมกำไรทั้งปี ไม่ได้ส่งผลกระทบหนักมาก

โดยกลุ่มที่เห็นชัดว่าได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมคือ กลุ่มส่งออก กลุ่มขนส่ง กลุ่มประกัน ที่มีกำไรลดลงแต่ไม่ถึงกับขาดทุน ขณะที่กลุ่มยานยนต์ กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ส่วนกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม ได้รับผลกระทบทางตรง จะมีผลกำไรขาดทุนในช่วงไตรมาส 4/54 แต่มีแนวโน้มจะฟื้นตัวได้เร็วในไตรมาส 2/55 และจะกลับมามีผลประกอบการปกติก็ไตรมาส 3-4 ประกอบกับปีนี้รัฐลดภาษีนิติบุคคลเหลือ 23% ซึ่งจะส่งผลบวกต่อผลประกอบการ บจ. คาดว่าปีนี้กำไรรวมของ บจ.จะอยู่ที่ 583,876 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 14%

นายกวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการ ผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย กล่าวว่า แม้ผลประกอบการของ บจ.ใน ปี 2554 จะเติบโตน้อยกว่าปีก่อนหน้านี้ แต่เชื่อว่า บจ.ยังจะจ่ายเงินปันผลงวดสิ้นปี 2554 ตามปกติ แม้ได้รับผลกระทบ น้ำท่วม เพราะบริษัทที่มีประวัติจ่ายเงิน ปันผลสูงอย่าง ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) ที่ยังจ่ายเงินปันผลได้ในอัตราสูง

ขณะที่เม็ดเงินการลงทุนก็ยังมีมองว่าบริษัทที่มีแผนการลงทุนอยู่แล้วก็จะยังลงทุนต่อเนื่อง และมีหลายบริษัทที่มี แผนลงทุนแต่ก็ยังสามารถจ่ายปันผลในอัตราที่สูงได้ เช่น เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF), ไทยยูเนียน โฟรเซ่น โปรดักส์ (TUF) เหมราชพัฒนาที่ดิน (HEMRAJ) ซึ่งมีแผนลงทุนสร้างโรงงานและรุกธุรกิจไฟฟ้าเพิ่มเติม

"การลงทุนในช่วงต้นปีนี้ ตลาดหุ้นน่าจะปรับตัวขึ้นไปรับข่าวการฟื้นตัวของกำไร บจ.ปี 2555 บล.กสิกรฯแนะนำการลงทุนให้ทยอยซื้อ จากที่ปลายปีที่แล้วยังไม่แนะนำให้ลงทุน ปีนี้คาดดัชนีปรับตัวตั้งแต่ 1,110-1,150 จุด และหลังจากนั้นจะเห็นตลาดปรับฐาน ซึ่งต้องระมัดระวังแรงเทขายหากมีข่าวลบยุโรปเข้ามา" นายกวีกล่าว

ด้านนายวิกิจ ถิรวรรณรัตน์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทิสโก้ คาดว่า ตลาดยังจับตาดูการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนของภาครัฐ รวมทั้งแนวโน้ม บจ.ที่จะลงทุนเพิ่มในปีนี้ และปีนี้คาดการณ์ผลประกอบการจะเติบโต 17% กลุ่มหุ้นที่น่าสนใจและมี ผลประกอบการเติบโตคือ กลุ่มวัสดุก่อสร้าง ธนาคาร รับเหมาก่อสร้าง ขณะที่กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ต้องรอดูในครึ่งปีหลังว่าจะมีความต้องการซื้อโดยเฉพาะบ้านแนวราบ

"ส่วนตลาดหุ้นได้รับรู้ข่าวการฟื้นของกำไร บจ.บางกลุ่ม รวมทั้งการเติบโตของกำไรในปีนี้ไปหมดแล้ว หากจะให้ดัชนีปรับตัวขึ้นไปมากกว่า 1,100 จุด จะต้องอาศัยข่าวดีเซอร์ไพรส์ตลาด ซึ่งเป็นข่าวนอกเหนือการคาดการณ์ที่จะหนุนเงินไหลเข้ามาในตลาดหุ้น"

นายจักรกริช เจริญเมธาชัย รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า ภาพรวมผลประกอบการของ บจ. ปีนี้จะชะลอเมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งเป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจ ประกอบกับกลุ่มธนาคารที่มีน้ำหนักต่อตลาดหุ้นโดยรวมได้รับผลกระทบจากการปล่อยสินเชื่อที่ชะลอ และต้องจ่ายเงินค่านำส่งเพิ่มขึ้น ทำให้กำไรกลุ่มนี้ออกมาฉุดกำไรของ บจ.โดยรวม แม้จะมีปัจจัยบวกจากการลดภาษีนิติบุคคลของรัฐบาลก็ตาม

"เราประเมินว่า EPS (อัตราการเติบโตของกำไรสุทธิต่อหุ้น) ปีนี้ยังเติบโตอยู่ 10% กลุ่มที่น่าลงทุนยังคงเป็นกลุ่มยานยนต์ ปิโตรเคมี พลังงาน ที่มีทิศทางขาขึ้นเมื่อเทียบกับกลุ่มที่ต้นทุนสูงจากการปรับเงินเดือนหรือค่าแรงขั้นต่ำ เช่น กลุ่มก่อสร้าง อุตสาห กรรมการผลิต" นายจักรกริชกล่าว

ที่มา:มติชนออนไลน์
/////////////////////////////////////////////////////////////

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น