ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุม เพื่อพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2555 วาระ 2 และ3 โดยนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่ากระทรวงพาณิชย์ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2555 ได้เสนอรายงานการพิจารณาต่อที่ประชุมว่า สาระสำคัญในการพิจารณาของกมธ. มีดังนี้ กมธ.ได้พิจารณาปรับลดงบประมาณลงจำนวน 43,429,515,000 บาท
โดยในการปรับลดได้พิจารณาจากเป้าหมายการใช้งบประมาณ ผลการดำเนินงานจริง เวลาที่เหลือในการใช้งบฯอีกประมาณ 8 เดือน โดยให้ความสำคัญกับการใช้จ่ายจริงในปีงบประมาณที่ผ่านมามาพิจารณาอย่างเข้มงวด รวมถึงให้ความสำคัญกับโครงการที่ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน โครงการที่ดำเนินการไปแล้วโดยการโอนการใช้จ่ายงบประมาณพ.ศ. 2554โครงการที่กันเงินไว้เบิกเหลือมปี และโครงการที่ไม่จำเป็นมีการใช้จ่ายประหยัดได้มีการปรับเปลี่ยนโครงการให้เหมาะสมโดยคงเป้าหมายไว้ เช่น โครงการจัดอบรม โครงการวิจัยศึกษา การจ้างที่ปรึกษา และโครงการที่ล่าช้าไม่สามารถใช้จ่ายได้จริงในปีนี้ รวมถึงโครงการจัดซื้อจัดจ้างที่มีความล่าช้า การปรับราคาพัสดุครุภัณฑ์ตามแนวโน้มราคาที่ลดลง และโครงการที่สามารถใช้เงินส่วนอื่นแทนได้
นายกิตติรัตน์ กล่าวต่อว่า สำหรับการเพิ่มงบประมาณได้มีการเพิ่มงบประมาณรายการต่างๆ ตามที่ครม.มีความเห็นชอบและหน่วยงานของรัฐสภา หน่วยงานศาล หน่วยงานอิสระตามรัฐธรรมนูญ ขอแปรญัตติโดยตรงกับกมธ.ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 168 วรรค 9 ในวงเงินเท่ากับวงเงินที่ปรับลด ทำให้วงเงินการปรับเพิ่มมีจำนวน 43,429,515,000 บาท โดยจำแนกเป็นการเพิ่มส่วนราชการรัฐวิหากิจ กองทุน หมุนเวียน จำนวน 32,354 ล้านบาท เพื่อดำเนินนโยบายสำคัญ เช่น การพัฒนาแหล่งน้ำ และโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม การพัฒนาการท่องเที่ยว การพัฒนาการกีฬา ศักยภาพหมู่บ้านชุมชน จัดสรรให้องค์กรส่วนท้องถิ่น 10,227 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนการพัฒนาองค์กรส่วนท้องถิ่นที่จำเป็นเร่งด่วน จัดสรรเพิ่มให้หน่วยงานของรัฐสภา หน่วยงานของศาล หน่วยงานขององค์กรอิสระ และหน่วยงานตามรัฐธรรมนูญจำนวน 847 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนให้หน่วยงานดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ในการพิจารณา กมธ.ได้ให้ความสำคัญกับผลการดำเนินงาน เป้าหมายการดำเนินการที่ผ่านมา เพื่อให้ดำเนินการตามวงเงินงบประมาณที่กำหนดไว้ 2.38 ล้านล้านบาท
จากนั้นเป็นการพิจารณารายมาตราทั้ง 30 มาตราตั้งแต่มาตรา 3-32 โดยมี ส.ส.ขอแปรญัตติ และสงวนคำแปรญัตติ จำนวน 219 คน ดังนี้ พรรคเพื่อไทย 79 คน พรรคประชาธิปัตย์ 121 คน พรรคภูมิใจไทย 10 คน พรรคชาติไทยพัฒนา 7 คน พรรคพลังชล 1 คน และพรรคชาติพัฒนา 1 คน โดยมี กมธ.สงวนความเห็น 24 คน
โดย น.ส..ผ่องศรี ธาราภูมิ กมธ.เสียงข้างน้อยจากพรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายในมาตรา 3 ว่า งบประมาณที่นำเสนอต่อที่ประชุมขณะนี้ยังมีส่วนที่สามารถปรับลดลงได้ แบ่งป็น 1.งบประมาณที่ซ้ำซ้อน ไม่บรรลุเป้าหมาย เช่น โครงการปราบยาเสพติด นโยบายด้านความมั่นคงแห่งรัฐ,การพิทักษ์สถาบัน ที่พบว่าได้จัดสรรงบประมาณทุกกระทรวง แต่ไม่สามารถประเมินผล หรือประสิทธิภาพการดำเนินการได้ 2.งบประมาณที่ไม่ได้พิจารณาผลกระทบในวงกว้าง เช่น โครงการแจกแท็บเล็ตให้กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 แบบปูพรมทั่วประเทศ
ด้าน นพ.สุกิจ อัถโถปกรณ์ ส.ส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ กมธ.เสียงข้างน้อย ขอสงวนความเห็น โดยอภิปรายว่า งบปรองดองมีการตั้งกันทุกกรม จำนวนมากถึง 528.1 ล้านบาท แต่ตนดูแล้วปรองดองไม่ได้ เพราะสีแดงยังไม่หยุด มีการตั้งหมู่บ้านเสื้อแดงสร้างความแตกแยก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯ ไม่จริงใจเรื่องปรองดอง หากปล่อยให้เรื่องนี้เกิดขึ้นใช้งบประมาณ 1 หมื่นล้านบาทก็ปรองดองไม่ได้ ดังนั้นขอให้ตัดไป
ทำให้นายขจิต ชัยนิคม ส.ส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทย ลุกขึ้นประท้วง ว่า ผู้อภิปรายอภิปรายเลยเถิดไปถึงหมู่บ้านเสื้อแดงว่าทำให้เกิดความแตกแยกไม่เกิดความสามัคคี ซึ่งจริงๆ แล้วหมู่บ้านเสื้อแดง ตั้งขึ้นมาเพื่อปกป้องประชาธิปไตยต่อด้านเผด็จการ ไม่ได้ทำลายความปรองดอง จึงขอให้ถอนคำพูด
อย่างไรก็ตาม ประธานที่ประชุมตัดบท และวินิจฉัยว่าผู้อภิปรายๆ อยู่ในกรอบของงบปรองดอง แต่ขอร้องอย่าอภิปรายพาดพิงไปยังบุคคลอื่น
ที่มา: มติชนออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น