--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพุธที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2554

จรัล ดิษฐาอภิชัย เปิดใจจากต่างแดน การเมืองไทยยังไม่มีใครรู้ตอนจบ !!?

จรัล ดิษฐาอภิชัย แกนนำเสื้อแดง

เปิดใจจากต่างแดน"จรัล ดิษฐาอภิชัย"การเมืองไทยยังไม่มีใครรู้ตอนจบ! ลั่นการต่อสู้ประชาธิปไตยรอบนี้ยากเย็น แสนเข็ญ และยาวนาน

No one knows the end คือคำตอบของ จรัล ดิษฐาอภิชัย เมื่อถามเขาว่าตอนจบของการเมืองไทยจะเป็นเช่นไร ในฐานะที่ จรัล คือหนึ่งในแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. ซึ่งเขาขอไม่เปิดเผยชื่อเมืองที่พำนักอยู่

ชื่อของ จรัล ห่างหายไปจากหน้าหนังสือพิมพ์ตั้งแต่เขาเดินทางออกนอกประเทศอย่างเงียบๆ ภายหลังเหตุรุนแรงทางการเมืองจากการชุมนุมของ “กลุ่มคนเสื้อแดง” เมื่อวันที่ 19 พ.ค.2553 โดยมีคดีพ่วงท้ายพร้อมหมายจับ 2 คดี คือคดีนำมวลชนบุกบ้านสี่เสาเทเวศร์สมัยที่ยังเป็นแกนนำ นปก.หรือแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ และคดีชุมนุมมั่วสุมฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เมื่อครั้งที่เป็นแกนนำ นปช.เมื่อปีที่แล้ว

แต่เขายืนยันว่านั่นไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้เขาไม่ยอมกลับเมืองไทย และไม่ได้เปลี่ยนแปลงความคิดของเขาในฐานะ “แกนนำคนเสื้อแดง” รวมถึงความเชื่อที่ว่าการเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้นกลางปีนี้จะไม่ทำให้บรรยากาศความสับสนอลหม่านในบ้านเมืองหมดไป และที่สำคัญยังไม่มีใครรู้ว่าความขัดแย้งในสังคมการเมืองไทยเที่ยวนี้จะจบลงเช่นไร!

“ผมไม่กลับเพราะผมไม่อยากมอบตัว การมอบตัวเหมือนกับเรายอมจำนน” จรัล บอก และว่า “ผมคงต้องรอดูก่อนว่าเลือกตั้งเสร็จแล้วสถานการณ์เป็นอย่างไร ถ้าประชาธิปัตย์กลับมาเป็นรัฐบาลอีก ผมก็คงอยู่ต่างประเทศต่อ แต่ถ้าพรรคเพื่อไทยได้เสียงข้างมากจัดตั้งรัฐบาล ผมก็อาจจะกลับไป”

ในฐานะอดีตคนเดือนตุลาฯ และแกนนำคนเสื้อแดงที่ต่อสู้กับอำนาจรัฐมาเกือบทั้งชีวิต จรัลประเมินสวนทางกับหลายคนในประเทศไทยและคนไทยในต่างประเทศที่เชื่อกันว่าการเลือกตั้งจะไม่เกิดขึ้น แต่จะมีทหารขับรถถังออกมาแทน

“ผมเชื่อว่าจะมีการยุบสภาและเลือกตั้งใหม่ค่อนข้างแน่นอน เพราะเป็นยุทธศาสตร์ของฝ่ายปกครองที่จะครองอำนาจต่ออย่างนุ่มนวลที่สุด ถามว่าคุณจะรัฐประหารอีกหรือ จะซ้ำอีกหรือ ปีที่แล้วคุณก็เพิ่งปราบปรามคนเสื้อแดงไป ปีนี้คุณจะยึดอำนาจอีก ผมยังไม่ค่อยเชื่อว่าจะกล้าทำกันขนาดนั้น”

อย่างไรก็ดี แม้จะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นในความเห็นของจรัล แต่เขาก็มองข้ามช็อตไปว่า กระบวนการเลือกตั้งจะมีปัญหาใหญ่ตามมา 3 ประการ คือ

1.ถูกตั้งคำถามว่าการเลือกตั้งมีความเสรีและยุติธรรมหรือไม่ ซึ่งสามารถคาดการณ์ได้ล่วงหน้าเลยว่าไม่น่าจะมี

2.ถ้าผลของการเลือกตั้งออกมาว่าพรรคเพื่อไทยได้เสียงมากที่สุดจะตั้งรัฐบาลได้หรือไม่ ซึ่งคาดการณ์ได้ว่าหากไม่ได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎร ก็ยากที่จะจัดตั้งรัฐบาลได้ แต่หากได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งอย่างเด็ดขาดก็มีโอกาสตั้งได้

3.แม้พรรคเพื่อไทยจะจัดตั้งรัฐบาลได้ จะอยู่ได้นานหรือไม่ ซึ่งก็คาดการณ์ได้เช่นกันว่าคงอยู่ได้ไม่นาน เพราะจะมีแรงต่อต้านทุกรูปแบบตามมา

เขายังตั้งข้อสังเกตยิ้มๆ ว่า น่าแปลกที่มีแต่คนเสื้อแดงเท่านั้นที่คิดว่าจะมีการรัฐประหารในเร็ววันนี้ ขณะที่กลุ่มเสื้อเหลืองพยายามให้มีการรัฐประหาร เพราะมีข้อเรียกร้องให้ปิดเทอมทางการเมือง 2 ปี และล่าสุดคือให้ปิดประเทศ 5 ปี

“แต่ถึงวันนี้ผมก็ยังไม่ค่อยเชื่อว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นนั้นได้” เขาสรุป พร้อมขยายความต่อ “จริงๆ แล้วในกองทัพก็ไม่มีความเป็นเอกภาพ ผมเพิ่งสไกป์คุยกับทหารที่เป็นพรรคพวกกัน เขาบอกว่าตอนนี้ข่าวรัฐประหารซาลงแล้ว ที่สำคัญเขาจะทำรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาลคุณอภิสิทธิ์ ทำไม เนื่องจากตอนนี้ทหารมีอำนาจเหนือรัฐบาลชุดนี้อยู่แล้ว”

ส่วนความเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงในต่างประเทศนั้น จรัลในฐานะที่เดินทางไปพบปะคนไทยในต่างแดนทั้งยุโรปและอเมริกา บอกว่า กระแสเสื้อแดงมีสูงมาก ขณะที่ฝ่ายเสื้อเหลือง ลองดูที่สะพานมัฆวานก็จะรู้ว่ากระแสเป็นอย่างไร แต่กระนั้นก็ไม่ได้ประมาทพลังของกลุ่มเสื้อเหลือง เนื่องจากถ้าไม่มีพลังคงถูกคุณสุเทพ กับ คุณเนวินจัดการไปนานแล้ว

อย่างไรก็ดี แม้ว่าในสายตาของจรัล กระแสของคนเสื้อแดงในระยะหลังมาแรงกว่าเสื้อเหลืองมากทั้งในและต่างประเทศ ทว่าการขยายแนวร่วมภายใต้ยุทธศาสตร์ “โลกล้อมไทย” ด้วยการดึงนานาชาติให้ร่วมกันกดดันรัฐบาลอภิสิทธิ์และกองทัพ ที่เขาใช้คอนเนคชั่นสมัยเป็นกรรมการสิทธิมนุษยชนอยู่ กลับเป็นเรื่องยากและเป็นประเด็นที่เขากังวล เพราะที่ผ่านมามีปัญหาในระดับโลกหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นความรุนแรงในลิเบีย หรือแผ่นดินไหวในญี่ปุ่น ทำให้ประเด็นการเมืองไทยหลุดจากข่าวต่างประเทศไป

“คำถามที่คนสนใจมากที่สุดคือปัญหาการเมืองไทยจะจบลงอย่างไร ซึ่งผมก็ตอบตรงๆ ว่าไม่มีใครรู้... No one knows the end”

จรัล อธิบายเพิ่มเติมว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤติอันหนักหนาสาหัสถึง 3 วิกฤติใหญ่พร้อมๆ กัน คือ 1.วิกฤติการเมืองว่าด้วยการสร้างประชาธิปไตย ซึ่งมีกลุ่มคนชั้นสูงและคนชั้นกลางจำนวนหนึ่งไม่เชื่อว่าประชาชนสามารถปกครองตนเองได้จริง 2.วิกฤติทางสังคมที่ผู้คนขัดแย้งแตกแยกกันลงลึกถึงระดับครอบครัว และ 3.วิกฤติความยุติธรรม ซึ่งคนเสื้อแดงใช้คำว่า “สองมาตรฐาน”

“ที่สำคัญเราไม่มีผู้ใหญ่ที่จะเป็นคนกลางเพื่อแก้ไขปัญหานี้ได้ เพราะผู้หลักผู้ใหญ่ที่เป็นกลางและได้รับการยอมรับจริงๆ ไม่มีอีกแล้วในประเทศไทย ฉะนั้นวิกฤติครั้งนี้จึงไม่มีทางออก”

แต่ถึงที่สุดแล้วทุกวิกฤติย่อมมีจุดจบเสมอ และจรัลก็เชื่อเช่นนั้น โดยเขาเห็นว่ามีเพียง 2 แนวทางที่จะนำพาประเทศออกจากวิกฤติเที่ยวนี้ คือ ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งชนะเด็ดขาด หรือไม่ก็เปิดการเจรจาปรองดองแห่งชาติ

“ผมเสนอ 3 ข้อเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า คือ 1.ต้องตั้งคณะกรรมการที่เป็นอิสระขึ้นมาสอบสวนข้อเท็จจริงจากความรุนแรงทางการเมืองที่เกิดขึ้น ซึ่งคณะกรรมการชุดของ ดร.คณิต ณ นคร ยังไม่เป็นกลางเพียงพอ2.ต้องนิรโทษกรรมให้กับทุกสี ทุกฝ่าย รวมทั้งทหาร แล้วเริ่มต้นนับหนึ่งกันใหม่ ไม่อย่างนั้นไม่มีทางจบ และ 3.ต้องเขียนรัฐธรรมนูญใหม่เพื่อสร้างประชาธิปไตยให้เกิดขึ้นจริงๆ”

อย่างไรก็ตาม จรัลออกตัวว่า ข้อเสนอทั้ง 3 ข้อสำเร็จยาก เพราะแม้แต่คนเสื้อแดงด้วยกันก็ยังไม่เห็นด้วยกับเขาในบางข้อ โดยเฉพาะการนิรโทษกรรมทุกฝ่าย ฉะนั้นการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยรอบนี้จึงยากเย็น แสนเข็ญ และยาวนาน

ส่วนข้อกล่าวหาที่สาดใส่คนเสื้อแดง ทั้งล้มเจ้าและต่อสู้เพื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีนั้น จรัล ปฏิเสธที่จะอธิบายในรายละเอียด โดยเขาบอกเพียงว่า...ไม่ว่าใครจะมองอย่างไรก็ไม่มีผล เพราะขบวนการเสื้อแดงโตขึ้นทุกวัน ฉะนั้นด่าได้ด่าไป!

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น