--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันศุกร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2554

นอมินี รุ่นสุดท้าย!

สังคมอุดมศรีธนญชัยทางการเมืองแบบไทยๆ ยังคงดำเนินไปในรูปแบบ “ลับ ลวง พราง”

แม้พรรคอันดับหนึ่งในการเป็นแกนนำ จัดตั้งรัฐบาลอย่างประชาธิปัตย์ จะป่าวประกาศว่าจะมีการยุบสภาในเร็ววันนี้ แต่กลิ่นแปร่งๆ ก็ยังโชยมาเตะจมูกอยู่เนืองๆ และอย่างต่อเนื่อง ในส่วนพรรคร่วมรัฐบาลเอง ก็ยังคงตั้งหน้าตั้งตาเล่นผสมสิบ สร้างคอนเน็ก ทางการเมืองไว้รอผสมพันธุ์ร่วมรัฐบาล

ไม่ว่าประชาธิปัตย์หรือเพื่อไทย จะได้รับ ฉันทานุมัติจากประชาชนให้เป็นพรรคอันดับหนึ่งในการจัดตั้งรัฐบาล???

แต่ที่ค่อนข้างเห็นชัดและถนัดถนี่แต่ไม่ แบไต๋หมดหน้าตัก นั่นคือการเตรียมความพร้อมของซีกฝ่ายค้าน ที่จัดการเยียวยาแผลผีหัวขาด บนหมากกล “หัวหน้าพรรคไม่ใช่นายกฯ นายกฯไม่ใช่หัวหน้าพรรค” ไว้อย่าง แนบเนียน

เป็นอันเข้าใจเกือบจะ 100 เปอร์เซ็นต์แล้วที่ “ผู้เฒ่าวังน้ำเย็น-เสนาะ เทียนทอง” จะยอม “คายเลือด” พร้อมทั้ง “กลืนน้ำลาย” เข้าไปแทน ด้วยการผันตัวเองมาเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และดำรงตนบนบทบาท “ปฏิมากรผู้ปลุกปั้นนายกรัฐมนตรี” อีกคำรบ หลังจาก เคยทำแฮตทริก สานฝันให้ “บรรหาร ศิลปอาชา-พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ-พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” ก้าวขึ้นสูงจุดสูงสุดบนเส้นทางการเมืองมาแล้ว

และด้วยเหตุแห่งเหตุว่าทำไมต้องเป็น “ป๋าเหนาะ” มันก็สืบเนื่องมาจากเหตุผลเรื่อง พรรษาบารมี และสเปกประสานสิบทิศสุดคอมโพรไมซ์ ที่ “อดีตนายกฯ ทักษิณ” มองว่าเป็นปรางห้ามญาติอย่างดี ที่จะใช้หย่าศึกภายในพรรคเพื่อไทยที่ผิดพลาดมาอย่างยาว นานจากนโยบาย “แบ่งแยกและปกครอง” ที่ “นายใหญ่” ดำเนินมาตั้งแต่ต้น

สรุปคือตัวเก็งอย่าง “เจ๊ปู-ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” รวมไปถึง “มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์” หรือแม้กระทั่ง “ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง” ที่คั่วเก้าอี้นี้มาตั้งแต่ต้น ต้องมีอันตกสำรวจหลังจากการมาของผู้เฒ่าใจนักเลงอย่าง “ป๋าเหนาะ”

“ผมจะกลับมาทวงคืนสิ่งที่ถูกปล้นไป” นั่นคือสำเนียงอันมีนัยที่ “ป๋าเหนาะ” ประกาศเปิดตัวที่สนามกอล์ฟต้องคำสาปอัลไพน์ ต่อหน้าสื่อมวลชนโขลงใหญ่ที่แห่แหนกันมาทำข่าวอย่างคับคั่ง

สิ่งที่ถูกปล้นไปในความหมายของ “ป๋าเหนาะ” คืออะไรนั้น มันคงไม่ล้ำลึกถึงสุด ก้นบึ้งหัวใจ เพราะหากแปลความไทยเป็นไทย คงไม่เกินเลยตำแหน่ง “ผู้จัดการรัฐบาล” ที่ “รองนายกฯ สุเทพ เทือกสุบรรณ” กำลังเสวยสุขอยู่เท่าทุกวันนี้ ส่วนใครที่มองว่า จะขึ้นชั้นเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีคนต่อไป เจ้าตัวเองก็ยอมรับเต็มปากเต็มคำว่า..

งานนี้มาเพื่อปั้นนายกฯ โดยเฉพาะ!!!

มีทั้งกระสุน อุดมไปด้วยกระแสแห่งแดง แถมยังมากมายด้วยพรรษาบารมี ถ้ากติกาไม่บิดเบี้ยวจนบิดเบือน มันก็มีแนวโน้มเป็นไปได้สูงว่า “ป๋าเหนาะ” จะก่อการปั้น “ท่านผู้นำ” สำเร็จเป็นคำรบที่สี่

กระนั้น ใครจะเป็นแคนดิเดตนายกฯ ในใจ “อดีตนายกฯ ทักษิณ” มันยังคงเป็น “ไพ่ใบสุดท้าย” ที่ถูกเก็บงำไว้อย่างลึกลับ ซับซ้อนและลุ่มลึกเพื่อรอวันหงายออกมาเป็น “บิ๊กเซอร์ไพรส์ทางการเมือง”

ว่ากันถึงวาระแห่ง “เซอร์ไพรส์” คงจะหลีกเลี่ยงที่จะพาดพิงถึงอาการเซอร์ไพรส์ซ้ำซ้อนที่ออกมาจาก “ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์” ไปไม่พ้น เนื่องด้วยในเบื้องแรก “บิ๊กปุ” ไปตกปากรับคำกับ “เสรี สุวรรณภานนท์” อดีต ส.ว.กทม. ว่าจะเข้ามารับตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาสันติเสียดิบดี

แต่ในเบื้องสุดท้าย กลับเกี่ยวก้อย “พันเลิศ ใบหยก” ไปนั่งแท่นหัวหน้าพรรครักษ์สันติ ไปด้วยอาการงงงวยและหน้าตาเฉย นั่นมันจะเป็นด้วยเหตุผลอันใด หรือเกรงจะไม่เป็นกลางอันสืบเนื่องมาจากภาพลักษณ์ของ “เสรี” หรือแม้กระทั่ง เหตุผลเรื่องนายทุนใหญ่ไม่โอเคกับชื่อ อดีต ส.ว.ท่านนี้ มันก็คงไม่สลักสำคัญ เมื่อเทียบเคียงกับปมคาใจที่ว่า..

ใครคนไหนเล่าเป็นนายทุนพรรครักษ์สันติกันแน่???

แต่หากวัดจากความสนิทสนมกันระหว่าง “พันเลิศ” กับ “บิ๊กจิ๋ว” และภาพการยินประกบเคียงข้าง “ป๋าเหนาะ” ของ “บิ๊กจิ๋ว” บวกกับสายสัมพันธ์เก่าๆ ระหว่าง “บิ๊กปุ” กับ “นายใหญ่” สาธารณชนก็มีสิทธิ์ เข้าใจได้ว่า “ทุนพรรครักสันติ” มันก็มีแนวโน้มเป็นไปได้สูงว่า อาจจะเป็นเงินก้อนเดียว กันกับ “ทุนพรรคเพื่อไทย”

หากคิดต่อยอดไปข้างหน้า ด้วยข้อจำกัดทางบุคลากรทางการเมือง มันก็มีสิทธิ์เป็นไปได้เช่นกันว่า หากถึงทางตันไร้ทางเลือก “ป๋าเหนาะ” อาจจะต้องจำยอมปลุกปั้น นัก การเมืองผู้มีสเปก “คนเกลียดทั้งพรรค คนรักทั้งเมือง” อย่าง “บิ๊กปุ” ขึ้นเป็นนายกฯ นั่นมันก็อาจเป็นไปได้อีกเช่นกัน???

และนั่นมันก็เป็นเหตุผลเดียวกันอีกเช่นกันที่ “พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์” ยังเฝ้าคอย อย่างอดทนเพื่อรอวันโผล่ขึ้นเหนือน้ำในหัวโขน “ท่านผู้นำสเปกปรองดอง”..การเมืองไทย ไหลไปไหลมาเร็วยิ่งกว่าน้ำ และไม่ว่า “นายใหญ่” จะกดรีโมตเคาะไปที่ใคร แต่เนื่องด้วยรัฐบาล สมัยหน้ามีข้อจำกัดเรื่องอายุงานสั้น

ไม่ว่าใครจะมาเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยหรือแคนดิเดตนายกฯ ในใจ “ทักษิณ” มันก็จะเป็นเพียงได้แค่ชั่วครู่ชั่วยาม ไม่ต่างจาก “นอมินีรุ่นสุดท้าย” ที่จะทำ หน้าที่ขัดตาทัพเพื่อรอวันป่าช้า 111 แตก.. มันก็เท่านั้นเอง!!!

ที่มา.สยามธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น