ปฏิเสธไม่ได้ว่า...ความรุนแรงกลางกรุงเทพฯในเหตุการณ์ 10 เมษาฯวิปโยค เกิดขึ้นหลังจากรัฐบาลประกาศยกระดับการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงให้เป็น "สถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง" ภายใต้บังคับของพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นก็บังคับใช้มาตรการตามพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 หรือ "พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ" อยู่แล้ว ทั้งในเขตกรุงเทพฯ และจังหวัดปริมณฑลเป็นการประกาศท่ามกลางคำถามว่า สถานการณ์ ณ วันที่ 7 เม.ย.2553 ฉุกเฉินกว่าการชุมนุมในห้วงเกือบ 1 เดือนที่ผ่านมาอย่างไร แต่สิ่งหนึ่งที่มิอาจปฏิเสธได้เช่นกันก็คือ การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินย่อมเป็นการส่งสัญญาณจากรัฐว่า ความรุนแรงที่ทุกฝ่ายหวั่นกลัวกำลังใกล้เป็นจริงมากขึ้น
ทุกขณะเพราะในมาตรา 15 แห่ง พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ระบุขอบเขตอำนาจของกฎหมายเอาไว้อย่างชัดเจนว่าจะใช้กฎหมายความมั่นคงได้ก็ต่อเมื่อ"...ในกรณีที่ปรากฏเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร แต่ยังไม่มีความจำเป็นต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน..."นั่นหมายถึง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ มีความเข้มข้นกว่า พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ และการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินของรัฐบาล ก็คือ การประกาศ
เพิ่มดีกรีความรุนแรงโดยฝ่ายรัฐเองที่จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีคำตอบว่าทำไปเพื่ออะไรยิ่งไปกว่านั้น...หลังการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ก็ไม่มีกรณีใดเลยที่ส่อแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลสามารถควบคุมสถานการณ์การชุมนุมได้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการออกหมายจับแกนนำผู้ชุมนุมรวม 24 คนในอีก 2 วันถัดมา เพราะถึงวันนี้ก็ยังจับใครไม่ได้เลย หรือการพยายามสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 10 เม.ย. ทว่าสุดท้ายก็เกิดการสูญเสียชีวิตขึ้น แม้แต่ฝ่ายทหารเองหรือกระทั่งการออกหมาย
เรียกให้บุคคล 51 คนที่สงสัยว่าเกี่ยวข้องสนับสนุนกลุ่มคนเสื้อแดงทั้งทางตรงและทางอ้อมเข้ารายงานตัว ซึ่งก็มีบางส่วนเพิกเฉย ไม่นำพา และไม่กลัวแต่รัฐบาลก็ดูจะไม่สนใจ และเดินหน้าบังคับใช้กฎหมายต่อไป ภายใต้วาทกรรม "ก่อการร้าย" ที่ยิ่งหนุนเสริมให้สถานการณ์ยิ่งตึงเครียดวันนี้จึงเกิดคำถามขึ้นมากมายว่า รัฐบาลกำลังเลือกปฏิบัติหรือไม่ในกรณีที่ปล่อยกลุ่มคนเสื้อหลากสีออกมาชุมนุม ในช่วงที่มีการประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ที่ห้ามมีการชุมนุมเกิน 5 คน
แต่กับอีกกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่ชุมนุมบริเวณแยกราชประสงค์กลับบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้น พร้อมกับยกระดับให้กำลังทหารติดอาวุธ เต็มอัตราศึก เพื่อรักษาพื้นที่ถนนสีลม ขณะเดียวกัน บนเวทีคนเสื้อแดงได้หยิบยกประเด็น พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ขึ้นมาปลุกระดมมวลชน คนเสื้อแดง ทั้งในกทม.และต่างจังหวัด ลุกขึ้นสู้อีกครั้ง งานนี้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิก จึงเหมือน “ดาบสองคม”ที่หวนกลับมาทิ่มแทงรัฐบาลผู้บังคับใช้กฎหมายฉบับนี้!
ที่มา.บางกอกทูเดย์
************************************************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น