กูรู วิพากษ์วิกฤตการเมืองไทย อย่างตรงไปตรงมา ตอกหน้าทั้งฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายเสื้อแดง รวมถึงพวก Smarties ใครกันทำให้ประเทศไทยตาย !!! แต่ไม่ใช่แค่วิพากษ์ นักกฎหมายมหาชนผู้นี้ ยังได้นำเสนอทางออกที่เป็นรูปธรรม และเปลี่ยนแปลงได้ทันที ถ้าผู้เกี่ยวข้อง กล้าหาญและเสียสละเพียงพอ
ก่อน ศ.ดร. นันทวัฒน์ บรมานันท์ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ จะเดินทางไปสอนหนังสือที่มหาวิทยาลัย Bretagne Occidentale ประเทศฝรั่งเศส
เขาได้แสดงทัศนะทางวิชาการ ที่ทั้ง ผู้นำ และ เสื้อแดง และพวกหลากสี ควรอ่าน !!!
" มีผู้" นำเสนอทัศนะของนักกฎหมายที่ไม่เลือกข้าง และเลือกสี เพื่อหาทางออกให้กับประเทศชาติ ดังนี้
@ ความสุขวันสงกรานต์ที่หายไป
ช่วงวันหยุดยาวเทศกาลสงกรานต์ปีนี้ไม่แตกต่างอะไรไปจากเทศกาลสงกรานต์ปีที่ผ่านมา เพราะมีเหตุการณ์ทางการเมืองที่ “รุนแรง” สร้างความทุกข์ให้กับประชาชนส่วนหนึ่ง จนทำให้ผู้คนจำนวนมาก “ลืม” ที่จะออกไปหาความสุขใส่ตัวกันครับ
จริง ๆ แล้ว ความสุขในเทศกาลสงกรานต์เป็น “ลักษณะเด่น” ของสังคมไทยและประเทศเพื่อนบ้านบางประเทศ ที่พอ “ร้อนนัก” ก็ “รดน้ำ” หรือ “สาดน้ำ” ดับร้อนกัน แต่ในวันนี้ รดน้ำหรือสาดน้ำยังไงก็ไม่หายร้อนไปได้แล้ว เพราะสำหรับคนส่วนหนึ่งแล้ว “ยุบสภา” น่าจะคลายร้อนได้ดีที่สุด ใช่ไหมครับ!!!
1 เดือนก่อนที่จะเข้าสู่ช่วงวันหยุดยาวของเทศกาลสงกรานต์ การชุมนุมของคนเสื้อแดงได้เริ่มขึ้นโดยมีข้อเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรียุบสภา แต่นอกจากนายกรัฐมนตรีจะไม่ยุบสภาแล้ว ในวันที่ 12 มีนาคม ก็ยังประกาศใช้กฎหมายว่าด้วยความมั่นคงในเขตกรุงเทพมหานครและอีก 6 จังหวัดปริมณฑล “ดักหน้า” การชุมนุมของคนเสื้อแดง และต่อมา เมื่อวันที่ 7 เมษายน รัฐบาลก็ได้ประกาศ “สถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรง” ตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินก่อนที่จะมีเหตุร้ายแรงเกิดขึ้นหลายวันครับ
9 เมษายน หลังจากที่การชุมนุมของคนเสื้อแดงทวีความเข้มข้นขึ้น นายกรัฐมนตรีออกโทรทัศน์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด น้ำเสียงดุดันแสดงความไม่พอใจกับผลที่เกิดขึ้นจากการชุมนุมของคนเสื้อแดง โดยเฉพาะการที่คนเสื้อแดงเข้าไปบุกยึดสถานีดาวเทียมไทยคมคืนจากทหารและเชื่อมต่อสถานีโทรทัศน์พีทีวีที่รัฐบาลได้ตัดสัญญาณการออกอากาศไป โดยนายกรัฐมนตรีได้แจ้งให้ทราบว่าจะดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างเด็ดขาด วันรุ่งขึ้นจึงเกิดการสลายการชุมนุมภายใต้ถ้อยคำที่สวยงามว่า ขอพื้นที่คืน ครับ
@ ไม่แตกต่างจากประเทศตะวันออกกลางที่กำลังมีสงคราม
จากที่ผมได้ฟังและได้อ่านพบ การสลายการชุมนุมเริ่มต้นในช่วงตอนบ่ายแก่ ๆ ของวันที่ 10 เมษายน โดยฝ่ายรัฐใช้รถน้ำฉีดใส่ผู้ชุมนุม ใช้กระสุนยางระดมยิง ใช้ระเบิดแก๊สน้ำตา ระเบิดพริกไทย ใช้กระบองตี ใช้เฮลิคอปเตอร์บรรทุกระเบิดแก๊สน้ำตาทิ้งลงมาใส่ผู้ชุมนุมที่มีทั้งชายฉกรรจ์ คนแก่ เด็กและผู้หญิง นอกจากนี้ก็ยังเห็นจากในข่าว ปรากฏภาพของทหารถือปืนกระบอกโต เห็นรถสายพานลำเลียงพลหุ้มเกราะ ส่วนบนท้องถนนทั่ว ๆ ไปตามสถานที่สำคัญ ๆ ก็มีรถสีเขียวหน้าตาแปลก ๆ จอดอยู่ บางจุดก็มีทหารถือปืนยืนเรียงราย ดู ๆ แล้วไม่แตกต่างไปจากประเทศแถบตะวันออกกลางที่กำลังมีสงครามภายในประเทศครับ
ในสายตาของประชาชนคนหนึ่ง ผมมองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเย็นวันที่ 10 เมษายนที่ผ่านมา เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องในหลาย ๆ ด้าน โดยเฉพาะการสลายการชุมนุมที่มีความรุนแรงจนเป็นเหตุให้มีคนตายจำนวนหนึ่งและมีคนได้รับบาดเจ็บอีกจำนวนมาก และนอกจากนี้ ในช่วงเวลาดังกล่าวก็ยังเกิดการ “ปิดกั้นข่าวสาร” จากภาครัฐอย่างเต็มที่และทุก ๆ ด้าน ทำให้ประชาชนได้รับทราบข้อมูลจากสื่อของรัฐแต่เพียงด้านเดียว เพราะฉะนั้น ความเป็นจริงและสิ่งที่เกิดขึ้นจริงเป็นอย่างไรจึงไม่มีใครทราบได้แน่ชัดครับ
@ รัฐบาลมองเห็นผู้ชุมนุมเป็น “ศัตรู”
ในวันนี้ เหตุการณ์หนักขึ้นทุกวัน จากการชุมนุมธรรมดาได้กลายมาเป็นการชุมนุมที่สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้คนจำนวนมากและสร้างความเสียหายให้กับระบบเศรษฐกิจของประเทศเป็นอย่างมากด้วย เราจะทำอย่างไรกันดีครับ!!!
ความรู้สึกส่วนตัวที่ผมมีนั้น รัฐบาลมองเห็นผู้ชุมนุมเป็น “ศัตรู” มาตั้งแต่แรก ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เราได้ข่าวในด้านที่ไม่ดีของคนเสื้อแดงมาตลอด ทำอะไรก็ถูกกล่าวหาว่าทำเพื่อทักษิณฯ ชาวบ้านมาร่วมชุมนุมก็มีข่าวออกมาว่าถูกจ้างมา จะชุมนุมเมื่อใดก็มีการออกข่าวก่อนล่วงหน้าว่าจะต้องเกิดเรื่องร้ายแรง รัฐบาลและสื่อของรัฐวาดภาพทักษิณฯ และคนเสื้อแดงไว้อย่างน่ากลัว และเป็นภาพที่มีลักษณะเชิงลบมาตลอด จนทำให้ประชาชนส่วนหนึ่ง “เกลียด” ทักษิณฯ และคนเสื้อแดงไปตาม ๆ กัน
เช่นเดียวกับที่เมื่อเกิดเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 10 เมษายนที่ผ่านมา เราก็ได้ข้อมูลจากทั้งนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีและทหารที่เกี่ยวข้องว่า “มีบุคคลจำนวนหนึ่งถือได้ว่าเป็นผู้ก่อการร้าย อาศัยการที่ประชาชนชุมนุมเรียกร้องใช้เป็นเครื่องมือก่อความไม่สงบ หวังให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่”
@ ไม่เคยมีการพิสูจน์ใด ๆ ทั้งสิ้นว่า เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงหรือไม่
ข่าวลักษณะเช่นนี้เกิดขึ้นมาตลอดก่อนที่จะมีการรัฐประหารในปี พ.ศ.2549 และหนักขึ้นเรื่อย ๆ แต่ก็อย่างที่ทุกคนทราบ ข่าวลักษณะเช่นนี้เกิดขึ้นแล้วก็เงียบไป ไม่เคยมีการพิสูจน์ใด ๆ ทั้งสิ้นว่า เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงหรือไม่ โดยใคร มีกระบวนการหรือวิธีการดำเนินการอย่างไร เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจอะไรเลยที่ภายหลังจากการที่รัฐส่งกำลังทหารตำรวจเข้าสลายการชุมนุมจนทำให้มีทั้งคนเจ็บและคนตาย ข่าวลักษณะดังกล่าวก็เกิดขึ้นมาอีก
ผมก็ไม่ทราบว่าจริงหรือไม่จริงอย่างไร แต่เท่าที่เห็นปรากฏอยู่ในวันนี้ก็คือ คนเจ็บและคนตายไม่ได้เกิดจากการกระทำของรัฐ แต่มาจากฝีมือของผู้ก่อการร้ายครับ!!!
แล้วก็เป็นที่น่าแปลกใจเป็นอย่างมากด้วยว่ามีคนจำนวนหนึ่งต่างก็ “ปักใจเชื่อ” ข้อมูลดังกล่าวว่าเป็นความจริงทั้ง ๆ ที่ยังไม่มีการพิสูจน์ใด ๆ ทั้งสิ้น ความเชื่อดังกล่าวส่งผลให้มีผู้เห็นใจทหารตำรวจที่บาดเจ็บและตาย ในขณะที่ประชาชนผู้บาดเจ็บและตายกลับไม่ได้รับการเหลียวแลเท่าที่ควร และก็ไม่ได้รับแม้กระทั่ง “คำขอโทษ” จากรัฐบาลที่เป็นผู้เข้าไปสลายการชุมนุม จนเป็นที่มาของความสูญเสียที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 10 เมษายนที่ผ่านมาครับ
@ ทำไมต้องสลายการชุมนุมในวันที่ 10 เมษายน ?
มีคำถามหนึ่งที่คงต้องมีคำตอบที่ชัดเจนที่สุดก็คือ ทำไมรัฐจึงต้องสลายการชุมนุมในวันที่ 10 เมษายนที่ผ่านมาครับ?
เอาในเรื่องของสถานที่ก่อน ข้อเท็จจริงที่ปรากฏอยู่ในขณะนั้น กลุ่มคนเสื้อแดงปักหลักชุมนุมอยู่ 2 ที่ คือ ที่ผ่านฟ้าและราชประสงค์ ผ่านฟ้าเป็นเส้นทางสัญจรไปมาตามปกติ ในขณะที่ราชประสงค์ก็เป็นเส้นทางสัญจรไปมาตามปกติเช่นกัน แต่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจเพราะมีทั้งศูนย์การค้าและโรงแรมจำนวนหลายแห่ง ถือเป็น “เส้นเลือด” ที่สำคัญเส้นหนึ่งของกรุงเทพมหานครก็ว่าได้ครับ ส่วนวันที่มีการสลายการชุมนุมก็ใกล้กับวันหยุดยาวในช่วงเทศกาลสงกรานต์และมีบางกิจการก็เป็นวันหยุดยาวไปแล้วด้วย
ความคิดของผม หากจะต้องมีการขอพื้นที่คืนในวันดังกล่าว การขอพื้นที่บริเวณแยกราชประสงค์คืนดูจะมีเหตุผลและมีน้ำหนักมากกว่า เพราะในช่วงวันหยุดยาว ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศที่เข้ามาร่วมฉลองวันสงกรานต์จะได้สามารถเข้าไปใช้บริการจับจ่ายในศูนย์การค้าและโรงแรมในบริเวณดังกล่าวได้ ซึ่งก็จะเป็นการกระตุ้นสภาวะทางเศรษฐกิจของประเทศได้ดียิ่ง ในขณะที่บริเวณแยกผ่านฟ้าคงไม่มีอะไรทั้งนั้นในช่วงวันหยุดยาวเพราะบริเวณดังกล่าวเป็นที่ตั้งของส่วนราชการเสียเป็นส่วนใหญ่ครับ
@การควบคุมฝูงชน เขาทำกันตอนเช้าหรือตอนกลางวัน (ครับ)
ต่อมาก็เป็นเรื่องเวลาที่ใช้ในการสลายการชุมนุม มีคำถามตามมามากมายว่าทำไมต้องทำตอน 4 โมงเย็น เท่าที่ผมได้ยินมา การสลายการชุมนุมหรือที่เรียกกันว่า การควบคุมฝูงชนนั้น เขาทำกันตอนเช้าหรือตอนกลางวัน มีแสงสว่างที่ชัดเจน มองเห็นความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ของมวลชน และนอกจากนี้ก็ต้องเคลียร์พื้นที่โดยรอบก่อนเพื่อให้เกิดความสะดวกในการดำเนินการและไม่ก่อให้เกิดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน แต่ที่เกิดขึ้น เล่นทำกันตอน 4 โมงเย็นลากยาวไปจนพระอาทิตย์ตกดิน ไม่รู้ว่าใครเป็นใครจึงทำให้เกิดความสูญเสียตามมาเช่นที่เกิดขึ้นครับ
ส่วนเรื่องจำนวนคนก็เป็นอีกเรื่องที่สำคัญ ลองคิดดูว่าการควบคุมฝูงชนจำนวนมากแล้วไม่ให้เกิดความสูญเสียใด ๆ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้หรือไม่ก่อน แค่ทหารยิงแก๊สน้ำตาเข้าใส่แล้วคนวิ่งหนีอย่างสับสนอลหม่าน โอกาสที่จะเหยียบกันตายก็มีอยู่มากแล้วครับ
ดังนั้น การสลายการชุมนุมจึงไม่ควรทำในที่ ๆ มีประชาชนจำนวนมากเช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นที่ผ่านฟ้าเพราะยากแก่การควบคุมครับ
ทั้ง 3 กรณี คือ สถานที่ เวลา และจำนวนคน จึงทำให้ผมมองว่ารัฐบาลไม่ควรดำเนินการ “ขอคืนพื้นที่” เมื่อวันที่ 10 เมษายนที่ผ่านมา แต่เมื่อรัฐบาลทำไปแล้ว คำถามประการต่อมาที่ต้องมีคำตอบที่ชัดเจนที่สุดเช่นกันก็คือ ใครจะรับผิดชอบครับ?
@รัฐไทยใหม่-เปลี่ยนแปลงประเทศ ต่อให้คนเสื้อแดงอีกเป็นแสนก็ทำไม่ได้เช่นกันครับ !!!
ผมคิดว่า ไม่ใช่เรื่องที่รัฐจะ “โยนความผิด” ให้กับผู้ชุมนุมหรือผู้ก่อการร้ายที่เป็นใครก็ไม่รู้ พิสูจน์ก็ไม่ได้เหมือนกับข้อกล่าวหาส่วนใหญ่ที่ผ่านมาทั้งหมดเกี่ยวกับทั้งเสื้อแดงและทักษิณฯ ที่มีขึ้นโดยไม่เคยมีการพิสูจน์ว่าจริง เป็นข้อกล่าวหาที่มีขึ้นเพียงเพื่อสร้างความเกลียดชังให้กับฝ่ายตรงข้ามเท่านั้นเองครับ!!!
ส่วนข้ออ้างที่ว่า “เปลี่ยนแปลงประเทศ” นั้นยิ่งแล้วใหญ่ อยากจะถามผู้พูดนักว่า “เปลี่ยนแปลงประเทศ” ที่ว่านี้คืออะไร เห็นอ้างกันบ่อย พูดกันบ่อยเหลือเกิน
ล่าสุดก็เมื่อวันที่ 22 เมษายน ที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้ให้สัมภาษณ์ว่าคนเสื้อแดงมีเป้าหมายเพื่อสถาปนารัฐไทยใหม่ ผมว่าถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลจะต้องมีคำตอบที่ชัดเจนในเรื่องดังกล่าว หากมีข้อมูลหรือพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องก็นำออกมาแสดงกันเสียเลย จะได้รู้ ๆ กันไปเสียทีว่า จะเปลี่ยนแปลงกันอย่างไรและโดยใคร ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วผมเห็นว่า การเปลี่ยนแปลงประเทศหรือการสถาปนารัฐไทยใหม่ไม่ใช่สิ่งที่ทำกันได้ง่าย ๆ
เพียงมีผู้ก่อการร้ายอยู่แถวผ่านฟ้าไม่กี่คนคงเปลี่ยนแปลงประเทศไม่ได้หรอกครับ ต่อให้คนเสื้อแดงอีกเป็นแสนก็ทำไม่ได้เช่นกันครับ
@ ประชาชนผู้เสียภาษีอากรต้องเสียชีวิตและบาดเจ็บ ...คุณต้องรับผิดชอบ
ย้อนกลับมาดูจุดเริ่มของเรื่องดังกล่าวตั้งแต่ต้นประกอบเพื่อหาตัวผู้รับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้น การที่รัฐประกาศใช้กฎหมายพิเศษ 2 ฉบับ ในช่วงเวลา 1 เดือน ก็เพราะรัฐ “มอง” หรือ “เข้าใจ” ว่าจะต้องมีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้น ดังนั้น การตัดสินใจใด ๆ ก็คงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษเช่นกัน ยิ่งมีการให้ข้อมูลคนเสื้อแดงแก่ประชาชนมาตลอดว่า “ร้าย” มาก ๆ ด้วยแล้ว การสลายการชุมนุมจึงต้องทำอย่างเป็นระบบโดยต้องให้ความสำคัญกับสถานที่ เวลา และจำนวนคน เมื่อข่าวที่รัฐให้กับประชาชนเป็นไปในทางร้ายแรง และต่อมาก็เกิดการสลายการชุมนุมขึ้น นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลจึงต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดครับ!
ความรับผิดชอบคงมีอยู่สองส่วนด้วยกัน ในส่วนแรก ก็อย่างที่ทราบกันอยู่ว่า เราเสียภาษีอากรให้พวกคุณเข้ามาบริหารประเทศ มาดูแลทุกข์สุขของเรา มาดูแลความปลอดภัยของเรา มาดูแลความสงบเรียบร้อยของสังคม มาดูแลการประกอบอาชีพของเรา มาดูแลชีวิต มาดูแลทรัพย์สิน และอื่น ๆ อีกมากมาย
คุณทำหน้าที่ของคุณไม่ได้ คุณต้องรับผิดชอบ จะปฏิเสธไม่ได้เพราะคุณอาสาเข้ามาทำหน้าที่ดังกล่าวเองโดยที่เราไม่ได้บังคับขืนใจคุณ
กับส่วนที่สอง คุณเป็นผู้สั่งสลายการชุมนุม ผู้ใต้บังคับบัญชาของคุณเข้าไปใช้อาวุธและกำลังสลายการชุมนุม ทำให้ประชาชนผู้เสียภาษีอากรต้องเสียชีวิตและบาดเจ็บ ยังไง ๆ คุณก็ต้องรับผิดชอบอยู่ดี ไม่ว่าฝ่ายเสื้อแดงจะเป็นฝ่ายเริ่มต้น หรือจะเป็นผู้ก่อการร้ายที่เป็นผู้ทำ คุณก็ไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบได้ เพราะคุณเป็นผู้สั่งให้สลายการชุมนุมซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการสูญเสีย ผมพูดถูกไหมครับ!!!
@ ต่างประเทศใคร อยากมาเที่ยวในเมืองที่มีผู้ก่อการร้ายเดินเพ่นพ่าน
เพราะฉะนั้น ความสูญเสียที่เกิดขึ้นมาจึงเป็นเรื่องที่อยู่ในความรับผิดชอบของรัฐบาล ส่วนจะรับผิดชอบอย่างไรและมากน้อยแค่ไหนก็เป็นสิ่งที่จะต้องพิจารณากันต่อไป ซึ่งผมเองก็ได้นำเสนอไว้ส่วนหนึ่งแล้วในตอนท้ายของบทบรรณาธิการนี้ นอกจากนี้แล้ว สิ่งที่รัฐบาลต้องรับผิดชอบอีกสิ่งหนึ่งก็คือ การอ้างผู้ก่อการร้าย ผมมองว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศเป็นอย่างมาก ไม่ใช่เรื่องที่เราจะมากล่าวอ้างกันลอย ๆ ได้ว่ามีผู้ก่อการร้ายเดินลอยชายอยู่ในเมืองหลวงและใช้อาวุธสงครามเข่นฆ่าประชาชนและทหาร
ถามจริง ๆ เถอะครับว่า มีคนต่างประเทศคนใดอยากจะมาเดินเที่ยวในเมืองที่มีผู้ก่อการร้ายเดินเพ่นพ่านอยู่แบบนี้ เพราะฉะนั้น รัฐบาลต้องเข้ามารับผิดชอบในคำพูดของตัวเองด้วย ต้องจับให้ได้ ลงโทษ และออกข่าวใหม่ว่า เราจับผู้ก่อการร้ายได้หมดแล้ว ประเทศไทยเราไม่มีผู้ก่อการร้ายแล้ว นักท่องเที่ยวเชิญมาเดินเล่นกันให้สบายใจโดยไม่ต้องกลัวอะไรเลย!
@จาก สีขาว สีชมพู และหลากสี ( Smarties )
แต่ผมก็ไม่เชื่อหรอกนะครับว่า นักท่องเที่ยวจะยังสมัครใจมาบ้านเราอีกหรือเปล่า เพราะภายหลังการรัฐประหารในปี พ.ศ.2549 เป็นต้นมา ประเทศไทยเราเหมือน “คนป่วย” ที่นับวันก็ป่วยหนักขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งในวันนี้ ผมไม่แน่ใจแล้วว่า “ประเทศไทยตายแล้ว” หรือยัง ครับ!
“ประเทศไทยตายแล้ว” คงไม่ใช่ถ้อยคำที่รุนแรงเกินไปหาก “คนไทย” เช่นเรามองดูสถานการณ์รอบด้านประกอบ ภายหลังการรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 สังคมไทยแบ่งออกเป็น 2 ฝ่ายอย่างชัดเจน แม้ต่อมาในบางช่วงเวลา เราจะมี “สีอื่น” เข้ามาสร้างความ “หวือหวา” ให้กับสังคมไม่ว่าจะเป็น สีขาว สีชมพู หรือล่าสุด พวกหลากสี ...น่าจะเรียกพวก Smarties มากกว่า!!!
แต่ถ้าหากเรามาดู “เจตนา” ของทุกสีประกอบ สังคมของเราคงประกอบด้วยกลุ่มคน 2 ฝ่ายคือ ฝ่ายเสื้อแดงและฝ่ายไม่เอาเสื้อแดง เพราะฉะนั้นในวันนี้ หากฝ่ายหนึ่งเสนอสิ่งใดขึ้นมา อีกฝ่ายหนึ่งก็จะไม่ยอมรับในทันทีโดยไม่ดูเนื้อหาสาระหรือองค์ประกอบอื่นใดทั้งสิ้นครับ!
ข้อขัดแย้งจึงเกิดขึ้นได้ทุกเรื่อง สังคมไทยแต่เดิมที่เคยเป็นมา การให้อภัย การอะลุ่มอล่วย การหันหน้าเข้าหากันค่อย ๆ หายไปจากคนไทยในช่วงเวลา 4 ปีที่ผ่านมา ในวันนี้เราจึงได้เห็นภาพที่ไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นในประเทศไทย ภาพของการประจันหน้าท้าทาย ไม่ยอมรับซึ่งกันและกัน และพร้อมที่จะทำลายและพิฆาตเข่นฆ่าให้สิ้นซาก การที่แต่ละฝ่ายต่างมีจุดยืนดังกล่าว ทำให้ความสงบสุขในสังคมหายไปจนเกือบหมด
และยิ่งกฎหมายไม่สามารถใช้บังคับได้มาตั้งแต่ครั้งที่ “เสื้อเหลือง” ปิดถนนราชดำเนิน ยึดทำเนียบ ยึดสนามบิน ไม่ปฏิบัติตามหมายศาล ซึ่ง “เสื้อแดง” ก็ “เลียนแบบ” ทุกอย่างโดยอ้างเรื่องสองมาตรฐานว่า เขาทำได้เราก็ต้องทำได้ด้วย!!!
สภาพสังคมที่เป็นอยู่ในวันนี้จึงเป็นสังคมที่ล่มสลาย รัฐไม่มี “อำนาจ” ที่จะบังคับใช้กฎหมายได้ กลุ่มผู้ชุมนุมกลายเป็นกลุ่มที่มีอำนาจในสังคม สามารถปิดถนนก็ได้ กีดขวางการจราจรก็ได้ ใช้อำนาจของตำรวจก็ได้ ทำทุกอย่างที่ผิดกฎหมายได้อย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลาหลายสัปดาห์โดยไม่มีใคร “กล้า” ทำอะไร ประเทศไทย “แบบเดิม ๆ” ที่เคยสงบสุข เป็นเมืองพุทธ เป็นสยามเมืองยิ้ม จึง “ตายแล้ว” ในความเห็นของผมครับ!!
@ เรา “ผ่าน” จุดของการเจรจาไปแล้ว
ในช่วงเวลาที่ผ่านมา มีผู้พยายามนำเสนอ “ทางออก” สำหรับการแก้ปัญหาของประเทศไทยกันมาก ซึ่งผมก็ไม่คิดว่าจะแก้ปัญหาได้ ข้อเสนอดังกล่าวได้แก่ การเจรจาอย่างสันติ ข้อเสนอนี้ไม่มีทางเป็นไปได้ในวันนี้เพราะผมเข้าใจว่าเรา “ผ่าน” จุดของการเจรจาไปแล้ว เนื่องจากเกิดการต่อสู้และใช้กำลังเกิดขึ้น
เพราะฉะนั้น การเจรจาอย่างสันติจึงไม่ใช่ทางออกของการแก้ปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในสังคมได้ ตราบใดก็ตามที่ทั้ง 2 ฝ่ายยัง “คุมเชิง” กันในลักษณะนี้ และตราบใดก็ตามที่รัฐบาลยังไม่สามารถแก้ปัญหา “มือที่ 3” ซึ่งมีอยู่จริงหรือไม่ก็ไม่ทราบได้ เจรจาไปก็ไม่เกิดประโยชน์ครับ
ส่วนการแก้ปัญหาด้วยการเมืองคือการยุบสภานั้น ผมมองว่ามีอยู่ 2 ขั้นตอนคือ การยุบสภาโดยไม่แก้รัฐธรรมนูญกับการยุบสภาหลังแก้รัฐธรรมนูญ การยุบสภาโดยไม่แก้รัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะเป็นยุบสภาภายใน 1 วัน 15 วัน 3 เดือน หรือ 9 เดือน ก็ไม่ใช่ทางแก้ปัญหาความขัดแย้งที่เป็นอยู่เพราะตราบใดก็ตามที่เรายังแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นไม่ได้ ยุบสภาแล้วเลือกตั้งเข้ามาใหม่ภายใต้กติกาเดิม ปัญหาเดิมก็จะกลับมา
ข้อกล่าวอ้างเดิม ๆ เช่น เรื่องซื้อเสียงหรือการยุบพรรคการเมือง ก็ยังคงต้องมีอยู่ต่อไป และที่แย่ไปกว่านั้น หลังยุบสภา รัฐบาลชุดปัจจุบันยังต้องรักษาการอยู่ หากมีแนวโน้มว่า “เสื้อแดงมาแน่” รัฐบาลก็คงบริหารประเทศไทยช่วงเวลานั้นลำบาก สุญญากาศ เกียร์ว่าง คงเกิดขึ้นในระบบราชการปกติที่ “รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี” ครับ!!!
เราคงไม่ได้อะไรจากการยุบสภาโดยไม่แก้รัฐธรรมนูญเป็นแน่ครับ แต่ถ้าหากยุบสภาหลังแก้รัฐธรรมนูญ ดู ๆ แล้วก็ “อาจจะ” แก้ปัญหาของประเทศไทยได้ แต่กว่าจะไปถึงจุดนั้นคงต้องมาดู “ข้อเท็จจริง” กันก่อนว่า ใครจะแก้รัฐธรรมนูญและแก้เรื่องอะไร แค่โจทย์ 2 ข้อนี้ก็ทะเลาะกันไม่เลิกแล้ว เป็นไปไม่ได้หรอกครับที่ฝ่ายการเมืองจะเข้ามาแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยมองข้ามสิ่งที่เกี่ยวข้องกับตนไป เมื่อผลประโยชน์ไม่ลงตัว การแก้รัฐธรรมนูญก็เป็นไปไม่ได้ ถึงเป็นไปได้ก็ไม่เกิดผลดีและไม่สามารถแก้ไขปัญหาสำคัญของประเทศได้
@ นายกรัฐมนตรีลาออก น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด !!!
ผมอยากจะถามผู้ที่ “ยุ” ให้แก้รัฐธรรมนูญก่อนแล้วจึงค่อยยุบสภาว่า ได้มีการศึกษาวิเคราะห์อย่างเป็นระบบแล้วหรือยังว่า ถ้าจะแก้รัฐธรรมนูญเพื่อแก้ปัญหาของประเทศจะต้องแก้รัฐธรรมนูญในเรื่องใดบ้างครับ!!!
ถ้ายังไม่มีข้อมูลทั้งหมดแล้วต้องมานั่ง “คลำ” หาทางออกกันใหม่ ก็คงต้องใช้เวลาพอสมควรซึ่งก็คงไม่ทันกับเหตุการณ์ที่กำลังเป็นอยู่ในปัจจุบัน
ในส่วนตัวผม ทางออกที่จะทำให้วิกฤติครั้งนี้ยุติลงก็พอมีอยู่บ้าง แต่ก็เป็นทางออก “เฉพาะกิจ” ที่ไม่สามารถนำมาเป็นบรรทัดฐานได้
ทางออกประการแรกที่ผมมองก็คือ นายกรัฐมนตรีลาออก ซึ่งก็น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด เหตุผลที่นายกรัฐมนตรีควรลาออกเพื่อแก้ปัญหาวิกฤติครั้งนี้ ก็เพื่อแสดงความรับผิดชอบในสองส่วนสำคัญ ส่วนแรกในฐานะที่รับอาสาเข้ามาทำงานบริหาร มีหน้าที่ต้องดูแลทุกข์สุขของประชาชน รักษาความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน รักษาความสงบเรียบร้อยของสังคม แต่ไม่สามารถทำได้
ส่วนที่สอง ในฐานะของผู้บังคับบัญชาเจ้าหน้าที่ของรัฐ ที่ไม่สามารถดูแลให้เจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายกำหนดได้ และเมื่อมีการใช้กำลังของเจ้าหน้าที่ของรัฐสลายการชุมนุมจนเป็นเหตุให้มีคนบาดเจ็บและตาย ผู้บังคับบัญชาย่อมต้องแสดงความรับผิดชอบครับ
สองเหตุผลนี้เองที่ผมคิดว่านายกรัฐมนตรีควรลาออก แต่ถ้าหากจะประเมินดูแล้ว การที่นายกรัฐมนตรีจะขอลาออกด้วยตัวเองคงเป็นเรื่องยากด้วยเหตุผลหลายประการ เพราะฉะนั้นผมจึงมองว่าพรรคร่วมรัฐบาลน่าจะถอนตัวออกจากการร่วมรัฐบาลมากกว่า ซึ่งก็จะเป็นทางออกที่ดีที่สุดและไม่ทำให้นายกรัฐมนตรี “เสียหน้า” ด้วยครับ!!!
นับตั้งแต่เกิดความไม่สงบ พรรคร่วมรัฐบาลบางพรรคก็ออกมามีปากมีเสียงบ้าง แต่ก็ไม่ไปไกลถึงขนาดจะถอนตัวออกจากรัฐบาล แต่ผมสังเกตว่ามีพรรคการเมืองร่วมรัฐบาลพรรคหนึ่งที่ “เงียบ” ผิดปกติ ทั้ง ๆ ที่ตัวเองควรจะต้อง “มีปากมีเสียง” มากกว่านี้ พรรคการเมืองดังกล่าวคือพรรคภูมิใจไทยครับ
คงไม่ต้องพูดถึงประวัติและความเป็นมาของพรรคภูมิใจไทยว่า เป็นพรรคการเมืองแบบไหน ของใคร ตั้งขึ้นมาเพื่ออะไร แต่ทุกคนคงทราบว่า ในวันนั้นถ้าพรรคภูมิใจไทยไม่ตกลงเข้าร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์ ในวันนี้ก็ไม่มีทางที่พรรคประชาธิปัตย์จะเป็นรัฐบาลได้ ภาพคุณเนวินฯ สวมกอดคุณอภิสิทธิ์ฯ ยังคงตราตรึงอยู่ในใจของผู้คนจำนวนมาก...คงจำกันได้นะครับ
@ ภูมิใจไทยถอนตัว... รัฐบาลก็คงอยู่ไม่ได้
แต่ก็เป็นที่น่าแปลกใจมากว่า ทำไมในวันนี้ยามที่ประเทศของเราประสบปัญหา พรรคภูมิใจไทยจึงยังเงียบอยู่และเงียบเหลือเกินด้วย หรือมัวแต่ทำงานหนักเพื่อประเทศชาติและประชาชนอยู่จนลืมมองความวิบัติของประเทศที่กำลังก้าวเข้ามาใกล้เข้าไปทุกขณะ ในวันนี้ หากพรรคภูมิใจไทยถอนตัวออกจากการร่วมรัฐบาล รัฐบาลก็คงอยู่ไม่ได้ เหตุการณ์ทางการเมืองก็ “น่าจะ” คลี่คลายลงไปได้ระดับหนึ่ง
จากนั้นก็ค่อยหานักการเมืองที่นิ่ง ๆ ใจเย็น ๆ พอมีบารมีอยู่บ้างสักคนขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีและหาทางแก้ปัญหาของประเทศร่วมกันจะแก้รัฐธรรมนูญหรือจะทำอะไรก็ว่ากันไป น่าจะเป็นหนทางหนึ่งที่พอมองเห็นครับ ก็ขอฝากไปยังพรรคภูมิใจไทยให้ลองพิจารณาดูด้วยว่าจะเป็นไปได้ไหมและถ้าทำแล้วจะแก้ปัญหาของประเทศชาติได้หรือไม่ครับ
หากไม่ใช่ทางออกทางการเมืองที่ผมเสนอไปแล้ว เรายังมีทางออกอีกทางหนึ่ง เป็นทางออกที่คนไทยส่วนใหญ่ค่อนข้างคุ้นเคย บางคนก็ยอมรับ บางคนก็ไม่ยอมรับ เป็นทางออกที่อาจแก้ปัญหาได้อย่างเฉียบพลันและเด็ดขาด แต่ก็อย่างว่านะครับ คงต้องคิดหนักว่าใครจะเป็นผู้หยิบยื่นทางออกดังกล่าวให้กับเรา และผลกระทบที่ตามมาจะมีมากน้อยแค่ไหน ข้อสำคัญที่ผ่านมาก็พิสูจน์ให้เห็นได้ชัดแล้วว่า ในบางครั้ง ทางออกดังกล่าวก็ไม่อาจแก้ปัญหาให้กับประเทศชาติได้หากผู้พาเราไปสู่ทางออกนั้นเป็นผู้ “ไม่ได้เรื่อง” ผมไม่ได้ยุให้เกิดรัฐประหารนะครับ อย่าเข้าใจผิดเด็ดขาด!!!
@ คนเสื้อแดงต้องรับผิดชอบและชดใช้เช่นเดียวกัน
ฝากไปถึงคนเสื้อแดงด้วยว่า ต่อไปนี้คุณคงจะไม่สามารถกล่าวอ้างได้อีกต่อไปแล้วว่า การชุมนุมของคุณทำโดยสงบ การยึดถนนสาธารณะทำให้การเดินทางเป็นไปได้อย่างยากลำบาก สร้างความเดือดร้อนไปทั่ว ส่งผลทำลายระบบเศรษฐกิจของประเทศ ทำให้ทั้ง “นายทุน” และ “ลูกจ้าง” ต้องได้รับความเดือดร้อน บางรายก็อาจถึงขึ้น “หายนะ” ไปเลยก็ได้ ทำลายชื่อเสียงของประเทศ เพียงเพื่อต้องการ “เอาชนะ” แค่นั้นเอง
วันนี้คุณเสีย “เสียงสนับสนุน” และ “แนวร่วม” ไปมากพอสมควรเพราะการกระทำของพวกคุณเอง พลังเงียบที่เคยอยู่ตรงกลางจำนวนหนึ่งก็เริ่มออกมาเป็นฝ่ายตรงข้ามกับคุณแล้วนะครับ ถามจริงๆเถิดครับว่าถ้ารัฐบาลยอมยุบสภาภายใน 15 วัน หรือ 30 วัน แล้วจะทำให้มีอะไรดีขึ้น
คิดว่าคุณจะชนะการเลือกตั้งเข้ามาเป็นรัฐบาลหรือครับ ถามจริง ๆ นะครับว่า มั่นใจได้ไหมว่าถ้าพวกคุณเป็นรัฐบาลแล้วจะสามารถบริหารประเทศได้ เสื้อเหลืองยังอยู่ เสื้อขาวยังอยู่ เสื้อชมพูยังอยู่ พวก Smarties ก็ยังอยู่ อย่าหวังว่าจะได้บริหารประเทศอย่างสะดวกเลยครับ ลองตรึกตรองดูสักหน่อย
ส่วนความสูญเสียที่เกิดขึ้นจากการชุมนุมทั้งหมด รวมไปถึงกรณีต้องมีคนบาดเจ็บหรือตายด้วยนั้น พวกคุณ คนเสื้อแดงต้องรับผิดชอบและชดใช้เช่นเดียวกันครับ เพราะถ้าคุณไม่ “ดื้อ” ชุมนุมปิดถนนสาธารณะสร้างความเดือดร้อนไปทั่ว ก็คงไม่เป็นเหตุให้มีการสลายการชุมนุมครับ !
@ 19 กันยายนทำให้ประเทศไทยตาย
ผมขอกล่าวไว้ชัด ๆ อีกครั้งหนึ่งว่า ต้นเหตุของความวุ่นวายทั้งหมดที่เกิดขึ้นในประเทศไทย จนทำให้ประเทศไทยที่เรารู้จัก “ตายแล้ว” ในวันนี้ก็คือ การรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 เพราะการไม่ยอมปล่อยให้ “การเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง” เหมือนที่นายทหารใหญ่คนหนึ่งพูดเอาไว้ในวันนี้ ไปทำรัฐประหารเพื่ออะไรก็ไม่รู้ ทำแล้วก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่มีมาแต่เดิมได้ แถมยังสร้างปัญหาใหม่ให้เกิดขึ้นมาอีกมากจนประเทศไทยของเราต้องตกอยู่ในสภาพแบบนี้ คนที่ทำรัฐประหาร คนที่อยู่เบื้องหลัง คนที่สนับสนุนและคนที่เข้าไปร่วมกระบวนการด้วยทุกคน พวกคุณทั้งหมดเป็นส่วนสำคัญที่ร่วมกันทำให้ “ประเทศไทยตายแล้ว” ครับ !!!
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
*************************************************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น