ปัดไม่ใช่หัวหน้ากลุ่มก่อการร้าย
เมื่อวันที่ 22 เม.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันเดียวกันพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย ได้ออกแถลงการณ์ผ่านเจ้าหน้าที่ของพรรคประชาธิปัตย์ เรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์กับการเมือง ใจความว่ากระผมขอย้ำว่ามีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ยิ่งชีวิต และไม่เห็นประชาธิปไตยในระบอบไหนที่จะดีสำหรับเมืองไทยเกินกว่าระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งพระมหากษัตริย์ไม่ได้ทรงอยู่นอกการเมือง แต่ทรงอยู่เพื่อปกเกล้าประชาธิปไตย ทรงมีคุณูปการต่อประชาชนเป็นอย่างยิ่ง ประเทศไทยรักษาเอกราชบ้านเมืองอยู่จนถึงทุกวันนี้ก็เพราะมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และยามใดที่ประเทศไทยมีการปกครองในระบอบเผด็จการ มีฝ่ายใดที่ได้อำนาจ และใช้อำนาจจนก่อความเดือดร้อนเสียหายต่อประเทศชาติและประชาชน ท่านก็ทรงคานการใช้อำนาจเช่นนั้น ดังเช่นในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม และเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ที่พระมหากษัตริย์ทรงทำให้การเมืองถูกต้องมิใช่หรือ
นอกจากนั้นพระมหากษัตริย์ทรงเป็นสถาบันแห่งความยุติธรรมทางการเมือง ทรงยุติความขัดแย้ง นำประเทศออกจากวิกฤตมาได้โดยตลอด ดังที่เคยรับสั่งให้พล.อ.สุจินดา คราประยูร และพล.ต จำลอง ศรีเมือง เข้าเฝ้าฯพร้อมกัน และทรงตรัสให้ทังสองฝ่ายร่วมกันยุติวิกฤตการณ์ ถ้าไม่มีบทบาทของพระมหากษัตริย์เช่นนั้นแล้ว บ้านเมืองคงได้พินาศย่อยยับไปแล้ว เช่นนี้จะไม่ให้สถาบันพระมหากษัตริย์ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองในยามวิกฤตได้อย่างไร ในอดีตพรรคประชาธิปัตย์เคยเรียกร้องรัฐบาลพระราชทาน ตามมาตรา 7 และพระเจ้าอยู่หัวทรงตรัสว่า รัฐธรรมนูญมาตรา 7 ไม่ได้บัญญัติไว้ให้อำนาจพระมหากษัตริย์ในการพระราชทานรัฐบาล แต่การที่กระผมได้ขอพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณฯพระบารมีปกเกล้าฯให้กับประชาชนทั้งประเทศ โดยที่ยังไม่ได้มีพระราชวินิจฉัยใดๆทั้งสิ้นว่าเป็นเช่นไร แล้วทำไมจึงมีการออกมาวิพากษ์วิจารณ์กระผมก่อน ซึ่งมิถือเป็นการละเมิดพระบรมราชวินิจฉัย และพระราชอำนาจหรือ
พล.อ.ชวลิต ระบุอีกว่า นายอภิสิทธ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง ได้เคยเสนอจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติ เมื่อครั้งซาวเสียงผู้ควรดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีพร้อมกับนายสมัคร สุนทรเวช แต่ต่อมาก็ไม่ได้จัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติ ตามพระราชดำรัส ”รู้รักสามัคคี” และต่อมายังได้ปฏิเสธอย่างสิ้นเชิงว่าไม่ได้เคยเสนอรัฐบาลแห่งชาติ ทำให้เห็นว่าท่านไม่มีจุดยืน เพื่อประโยชน์ชาติบ้านเมืองอย่างแท้จริง ถือเป็นสองมาตรฐานหรือไม่ครับ ท่านสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ทั้งนี้การทรงรับฎีกาจากราษฎร ถือเป็นธรรมเนียมอันมีมายาวนานของพระมหากษัตริย์ไทย และการถวายฎีกาเป็นเสรีภาพของประชาราษฎรตลอดมา ตั้งแต่สมัยพ่อขุนรามคำแหงจนถึงปัจจุบัน เป็นสัมพันธภาพระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์ และพสกนิกรของพระองค์ที่ดีงามสูงส่งตลอดมาสะท้อนภาพถึงทศพิธราชธรรมของสถาบันพระมหากษัตริย์ และสะท้อนภาพความจงรักภักดีอย่างยิ่งของประชาราษฎร
การขอพระบรมราชานุญาต กราบบังคมทูลขอพระบารมีปกเกล้าฯต่อปวงชนชาวไทย มิให้ถูกเข่นฆ่าโดยทหารบางคนในกองทัพ โดยคำสั่งที่ไม่ถูกต้องชอบธรรมของรัฐบาลนั้น มิได้ตีตนไปก่อนไข้แต่อย่างใดทั้งสิ้น แต่ทหารบางคนโดยคำสั่งของรัฐบาล ได้เกิดการเข่นฆ่าประชาชนแล้วนับสิบๆศพ และด้วยคำสั่งรัฐบาลที่ผิดนี้ จึงเป็นเหตุให้ทหารเสียชีวิตประมาณ 5-6 ศพ และบาดเจ็บทั้งสิ้นกว่า 800 คน ซึ่งขัดต่อพระปฐมบรมราชโองการ “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” ในฐานะพระองค์ทรงเป็นประมุขแห่งรัฐ และองค์รัฏฐาธิปัตย์ และจอมทัพไทย ที่ทั้งรัฐบาลและทหารจะต้องขึ้นต่อพระองค์ และเมื่อมีการบาดเจ็บล้มตายเสียเลือดเนื้อแล้ว รัฐบาลยังไม่หยุด ยังจะมีการเดินหน้าเข่นฆ่าปราบปรามประชาชนต่อไปอีก กระผมจึงไม่มีทางเลือก เพราะเห็นว่าไม่มีสถาบันใดอีกแล้ว ที่จะสามารถหยุดยั้งได้
นอกจากสถาบันพระมหากษัตริย์ อันเป็นสถาบันที่ทรงความยุติธรรมทางการเมืองเพียงสถาบันเดียวเท่านั้น และจะต้องยุติยับยั้งให้ทันต่อสถานการณ์ก่อนจะสายเกินการณ์ กระผมจึงตัดสินใจของพระบารมีปกเกล้าฯให้แก่ประชาชนดังกล่าว อย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง และไม่มีทางเลือกใดทั้งสิ้น ใครคือผู้รับผิดชอบและใครกันแน่ที่ไม่รับผิดชอบ ใครผิดใครถูก ลองคิดดูด้วยจิตใจที่เที่ยงธรรมและมีคุณธรรม อย่ายึดแต่หลักนิติรัฐ แต่ไม่มีหลักนิติธรรม หรือจงถือหลักธรรมเป็นอำนาจ อย่าถืออำนาจเป็นธรรม และขอยืนยันว่ากระผมเป็นหัวหน้าขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐ เพื่อต่อสู้เอาชนะขบวนการการเผด็จการรัฐสภา เผด็จการรัฐประหาร และเผด็จการทุกชนิด มิใช่หัวหน้าผู้ก่อการร้ายตามที่มีผู้ป้ายสีไว้แต่ประการใดทั้งสิ้น
ที่มา.ข่าวสดออนไลน์
************************************************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น