--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพุธที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2553

หยุด!! เลิกปิดประตูตีแมว!!

การกระทำของรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะ ศอ.ฉ.กองทัพบก กรมประชาสัมพันธ์ สถานีโทรทัศน์ช่อง 11 (NBT) ช่อง 3,5,7,9 และ Thai PBS จึงเป็นการทำลายล้างและละเมิดสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชนชาวไทยตามหลักนิติธรรม ขัดต่อปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ และอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) และเป็นการละเมิดต่อสิทธิตามรัฐธรรมนูญของประชาชนในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง เป็นกลาง และเที่ยงธรรม อันเป็นเสาหลักสำคัญของการปกครองระบอบประชาธิปไตย

ประเด็นสำคัญประเด็นหนึ่งที่รัฐบาล และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี พึงกระทำเป็นอย่างยิ่ง ก็คือ การรับฟังความคิดเห็น และความรู้สึกเกี่ยวกับเรื่อง การกระทำของคนในรัฐบาล หรือคนใน ศอ.ฉ.นั่นคือ เรื่องของการปิดกั้นสื่อแน่นอนว่าหากอ้างในเรื่องของการประกาศใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินที่ร้ายแรง ย่อมมีอำนาจตามกฎหมายที่จะทำได้แต่เสียงสะท้อนว่า เป็นเรื่องที่เหมาะสมเพียงใดนั้น ถือว่าเป็นเรื่องที่พึงรับฟังและไตร่ตรองให้จงหนักเป็นอย่างยิ่งสำนักข่าวเอเอฟพีรายงาน เมื่อวันที่ 9 เมษายน ว่า องค์กรผู้สื่อข่าวไร้พรมแดน ออกแถลงการณ์ประณามการปิดกั้นสถานีโทรทัศน์ดาวเทียมพีเพิลแชนแนลและเว็บไซต์ 36 เว็บไซต์ของกลุ่มคนเสื้อแดง โดยระบุว่า “เป็นเรื่องน่าตำหนิที่ทางการใช้การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีจุดประสงค์เพื่อปิดกั้นสื่อมวลชนที่ทั้งเป็นกลางและสื่อที่มีความเห็นไปในทางเดียวกับฝ่ายค้าน” ผู้สื่อข่าวไร้พรมแดนระบุว่า “ทำไมคนไทยถึงต้องถูกปิดกั้นการฟังข้อมูลจากฝ่ายค้าน เนื่องจากการปิดกั้นสื่อแบบนี้มีความเสี่ยงที่จะทำให้ฝ่ายเสื้อแดงแสดงออกอย่างรุนแรงมากขึ้นอีก เป็นการเดิมพันที่เสี่ยงมาก”ด้านเครือข่ายสิทธิเสรีภาพ

สื่อมวลชนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ออกมาแสดงความกังวลว่า การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินอาจจะเป็นการจำกัดเสรีภาพสื่อและเสรีภาพในการแสดงออกในเรื่องที่ละเอียดอ่อนอย่างเช่นประเด็นทางการเมืองหรือความมั่นคง เช่นเดียวกันกับแถลงการณ์เครือข่ายพลเมืองเน็ต กรณีการปิดกั้นสื่อบางส่วนที่วิพากษ์วิจารณ์แนวทางการทำงานของรัฐบาล รวมถึงสื่อที่เป็นกระบอกเสียงของผู้ชุมนุม หรือ นปช. เช่นสื่อโทรทัศน์ดาวเทียมพีทีวีและเว็บไซต์ทางการเมือง อย่าง

1. http://gurakdang.com2. http://norporchorusa2.com3. http://www.uddthailand.com4. http://www.peoplechannel.net5. http://www.newskythailand.us6. http://www.thaipeoplevoice.org7. http://www.thaipeoplevoice.net8. http://www.prachatai.com9. http://www.thaipeoplevoice.info10. http://www.redthai.org11. http://www.redthai.net12. http://rednon.org
เครือข่ายพลเมืองเน็ตซึ่งเป็นองค์กรที่รณรงค์สิทธิเสรีภาพเพื่อการสื่อสารทางอินเทอร์เน็ตคัดค้านแนวทางดังกล่าวด้วยเหตุผล คือ

1. การปิดกั้นเว็บไซต์เป็นการปิดกั้นสื่อ ข้อมูลข่าวสารและลิดรอนสิทธิเสรีภาพในการสื่อสารของประชาชน ขัดต่อหลักประชาธิปไตยรัฐบาลต้องเปิดให้มีการวิพากษ์วิจารณ์

2. การปิดกั้นข้อมูลข่าวสารเป็นการยั่วยุและทำให้เกิดแรงต้านมากขึ้นรัฐบาลต้องเชื่อในวิจารณญาณของประชาชนและผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต

3. การปิดกั้นเว็บไซต์ทำให้ประเทศไทยถดถอยในเรื่องสิทธิเสรีภาพการสื่อสารมากยิ่งขึ้น เครือข่ายพลเมืองเน็ต ยืนยันว่า เสรีภาพอินเทอร์เน็ต คือเสรีภาพของพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย ถ้ารัฐเชื่อมั่นในการแก้ปัญหาโดยสันติวิธี รัฐต้องยอมรับให้มีพื้นที่ให้ประชาชนสื่อสารกัน ไม่เช่นนั้นจะยิ่งสร้างความขัดแย้งแตกแยก“เราขอเรียกร้องรัฐยกเลิกการปิดกั้นการสื่อสารโดยทันที” เครือข่ายพลเมืองเน็ตระบุขณะเดียวกันแถลงการณ์คณะกรรมการรณรงค์เพื่อการปฏิรูปสื่อ (คปส.) ก็คัดค้านการปิดกั้นสื่อและลิดรอนสิทธิเสรีภาพประชาชนเช่นกันคปส. เห็นว่ามาตรการของรัฐบาลเป็นการปิดกั้นสิทธิเสรีภาพการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชน และละเมิดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญที่ให้ความคุ้มครองเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของบุคคลและสื่อมวลชน อีกทั้งการที่รัฐบาลปิดกั้นสื่อในทุกระดับและทุกช่องทางเพียงหวังจะลดทอนเสียงของกลุ่มผู้ชุมนุมและผู้ที่มีความคิดเห็นแตกต่างจากรัฐบาล อาจเป็นชนวนเหตุทำให้สถานการณ์ยิ่งลุกลามและขยายตัวไปสู่ความรุนแรงได้ รัฐบาลจึงควรเปิดให้ทุกฝ่ายมีสิทธิในการสื่อสารอย่างเท่าเทียมกันเพื่อสร้างสมดุลของข่าวสาร อย่างไรก็ตามการใช้สื่อเป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อยั่วยุให้เกิดการใช้ความรุนแรง หรือสร้างการดูหมิ่นเหยียดหยาม เกลียดชังกัน ทั้งจากรัฐบาล กลุ่มผู้ชุมนุม และทุกกลุ่มที่เกี่ยวข้อง ย่อมเป็นสิ่งที่ทุกฝ่ายไม่พึงกระทำ ไม่ว่าจะเป็นสื่อของฝ่ายใดก็ตาม คปส. จึงขอเสนอความเห็นต่อรัฐบาลและกลุ่มผู้ชุมนุม ดังนี้

1. ขอให้รัฐบาลยุติการดำเนินการปิดกั้นสื่อ และยกเลิกคำสั่งสั่งปิดเว็บไซต์ สถานีโทรทัศน์ดาวเทียม และวิทยุชุมชนที่เกิดขึ้น และเปิดให้ทุกฝ่ายได้สื่อสารและแสดงความคิดเห็นได้อย่างอิสระ โดยคำนึงถึงสิทธิเสรีภาพของประชาชนเป็นที่ตั้ง

2. ขอให้ทุกฝ่ายระงับยับยั้งการใช้สื่อเป็นเครื่องมือยั่วยุให้เกิดการใช้ความรุนแรง สร้างการดูหมิ่นเหยียดหยาม เกลียดชังกัน และร่วมกันแสวงหาหลักเกณฑ์กติกาการใช้สื่อที่ทุกฝ่ายยอมรับ เพื่อรักษาพื้นที่ความคิดเห็นที่แตกต่าง ลดทอนความขัดแย้งและความเกลียดชังและแม้แต่กลุ่มสมาชิกวุฒิสภาเลือกตั้งปี 43 ก็ออกแถลงการณ์ เรียกร้องให้รัฐบาลยุติการปิดกั้นสื่อและการใช้สื่อของรัฐเสนอข้อมูลข่าวสารเพียงด้านเดียว โดยระบุว่า นับแต่วันที่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน นอกจากรัฐบาลจะมิได้แถลงชี้แจงข้อเท็จจริง ที่ทำให้เกิดเหตุการณ์เศร้าสลดต่อประชาชนชาวไทยเป็นอย่างยิ่งในครั้งนี้อย่างเปิดเผย ตรงไปตรงมาแล้ว รัฐบาลยังคงปิดกั้นมิให้มีการนำเสนอข้อมูลและข่าวสารเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าวจากทางฝ่ายผู้ชุมนุม โดยตัดสัญญาณการออกอากาศของสถานีวิทยุชุมชนและสถานีโทรทัศน์ รวมทั้งยังได้ปิดกั้นสื่อทางอินเทอร์เนต การส่งข่าวสั้นทางโทรศัพท์ (SMS) ที่เห็นว่าเป็นสื่อของฝ่าย “เสื้อแดง” เช่น สถานี People Channel, SMS Thairednews จนหมดสิ้น และยังได้ใช้สื่อวิทยุโทรทัศน์ทุกสถานีทั้งที่เป็นสื่อของรัฐและเอกชน เช่น สถานี TNN ในการนำเสนอข้อมูลเพียงด้านเดียว เพื่อปฏิเสธความรับผิดชอบที่ได้ก่อให้เกิดเหตุการณ์เศร้าสลด เมื่อวันที่ 10 เมษายน

การกระทำของรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะ ศอฉ. กองทัพบก กรมประชาสัมพันธ์ สถานีโทรทัศน์ช่อง 11 (NBT) ช่อง 3, 5, 7, 9 และ Thai PBS จึงเป็นการทำลายล้างและละเมิดสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชนชาวไทยตามหลักนิติธรรม ขัดต่อปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ และอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) และเป็นการละเมิดต่อสิทธิตามรัฐธรรมนูญของประชาชนในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง เป็นกลาง และเที่ยงธรรม อันเป็นเสาหลักสำคัญของการปกครองระบอบประชาธิปไตย ในนามของกลุ่มสมาชิกวุฒิสภา 2543-2549 จึงขอเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในฐานะนายกรัฐมนตรี พรรคประชาธิปัตย์ พรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรค และผู้ประกอบวิชาชีพสื่อสารมวลชน ซึ่งยินยอมและรู้เห็นเป็นใจกับรัฐบาลในการเสนอข้อมูลและข่าวสารอย่างไม่เป็นกลางเกี่ยวกับเหตุการณ์10 เมษายน แสดงความรับผิดชอบต่อการกระทำที่ก่อให้เกิดความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงต่อพี่น้องประชาชนชาวไทยในครั้งนี้ โดย

1. ประกาศยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉินและการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับความมั่นคงของรัฐโดยทันที เพราะการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินและการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับความมั่นคงของรัฐดังกล่าว เป็นการกระทำที่มิชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมาย

2. มีคำสั่งยกเลิกการปิดกั้นและตรวจสอบการเสนอข้อมูลข่าวสารโดยเสรีของสื่อทุกชนิดโดยทันที ไม่ว่าจะเป็นสื่อสิ่งพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ โทรศัพท์ อินเทอร์เนต และสื่อสารมวลชนรูปแบบอื่นๆ ทุกประเภท ทุกชนิด เพื่อคืนสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญอันสมบูรณ์ในการบริโภคสื่อและการแสดงความคิดเห็นโดยเสรีให้แก่ประชาชน

3. ขอเรียกร้องให้สถาบันและองค์การสื่อสารมวลชนทุกชนิดและผู้ประกอบวิชาชีพสื่อทุกคนรักษาจริยธรรมและจรรยาบรรณวิชาชีพของตนด้วยการนำเสนอข้อมูลและข่าวสารตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น โดยเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 10 เมษายน เสนอข้อมูลและพยานหลักฐานของตนโดยเสมอหน้ากัน มิใช่เพียงแต่นำเสนอข้อมูลข่าวสารและพยานหลักฐานของรัฐบาลแต่เพียงฝ่ายเดียวถือเป็นความคิดเห็นที่รัฐบาลและผู้เกี่ยวข้องน่าจะรับฟัง เพราะล่าสุด แม้แต่ 16 องค์กรภาคประชาชน ยังเข้าพบผู้บริหารสถานีโทรทัศน์หลายสถานี ได้แก่ ผู้บริหารบริษัท อสมท. จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารสถานีโทรทัศน์ฯ สีช่อง 7 ผู้บริหาร ทบบ.5 และผู้บริหารสถานีโทรทัศน์สีช่อง 3 เพื่อขอร้องให้สถานีโทรทัศน์ ต่างๆมีรายการพิเศษในช่วงเวลาสำคัญวันละไม่น้อยกว่า 1 ชั่วโมง เพื่อเปิดโอกาสให้กลุ่มต่าง ๆ ได้นำเสนอและหาแนวทางในการออกจากความขัดแย้งร่วมกันและมีส่วนร่วมในการแก้วิกฤตในครั้งนี้ และขอให้ผู้บริหารสถานีโทรทัศน์ ยึดมั่นนโยบายยุติความรุนแรง ใช้ “สันติวิธี” และ “การเจรจา” ในการแก้ปัญหา และที่สำคัญขอให้หลีกเลี่ยงการนำเสนอข่าว ข้อมูล หรือประเด็นที่จะเพิ่มความเกลียดชังและความขัดแย้งระหว่างกลุ่มมาถึงวันนี้ แม้รัฐบาล ศอ.ฉ. จะได้รับความร่วมมือจากสื่อภายในประเทศไทย โดยเฉพาะโทรทัศน์ที่เป็นเครื่องมือของฝ่ายรัฐ อย่างมากมายสักเพียงใดก็ตามแต่ก็ไม่สามารถที่หยุดภาพ-ข่าวของสื่อต่างประเทศ หรือหยุดการสื่อสารในโลกได้ฉะนั้นหากการปิดกั้นสื่อ โดยใช้อำนาจ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ก่อให้เกิดเสียงสะท้อนในเชิงลบรัฐบาลน่าจะกลับลำสร้างความสง่างาม หยุดกลไกปิดกั้นสื่อ รวมทั้งยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ไปด้วยเลย ก็ยังไม่สาย

ที่มา.บางกอกทูเดย์
*********************************************

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น