--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพฤหัสบดีที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2553

มาตรา 7 กับ ขอเข้าเฝ้าฯ ต่างกันตรงไหนหรือ?

คนดีชอบแก้ไข...คนอะไรที่ชอบแก้ตัววันนี้ด้วยสถานการณ์ที่ตึงเครียด และสามารถเกิดอุบัติเหตุที่สังคมไทยไม่ต้องการขึ้นได้ตลอดเวลา10 เมษายนที่ผ่านมา ยังสูญเสียไม่พออีกหรือ???ด้วยเหตุนี้เอง หลายคนๆ ที่ทนดูไม่ได้ รวมทั้งไม่สามารถที่จะทนเห็นความสูญเสียให้เกิดขึ้นมาเป็นรอบที่สองได้อีก จึงพยายามที่จะเสนอหาหนทางแก้ไขในสารพัดแนวคิดจะเห็นว่าบรรดาองค์กรต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นองค์กรของไทย หรือของสากลในต่างประเทศ ต่างเรียกร้องให้มีการ

เจรจา โดยที่ขอให้รัฐบาลแสดงความจริงใจด้วยการยกเลิกกฎหมาย พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ยกเลิกการปิดกั้นสื่อ และหยุดการใช้สื่อของรัฐมาเป็นเครื่องมือในการแก้ต่างแทนรัฐ ด้วยสไตล์ “เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น”เพราะนั่นทำให้ปัญหาไม่จบ แถมยังกลับเป็นการซ้ำเติมเชื้อของความเกลียดชังมากขึ้นไปอีก... ดังนั้น ท่ามกลางข้อเรียกร้องให้มีการเจรจาอย่างจริงใจ โดยเลิกขึงพืดการเจรจาด้วยการยึดทิฐิ และอัตตาของทั้ง 2 ฝ่าย จนทำให้ไม่สามารถได้ข้อยุติเพื่อประเทศ

ชาติวันนี้รัฐบาลไม่ควรยืนกรานว่ายุบสภาใน 9 เดือน เพราะควรจะรู้แล้วว่าไม่มีใครยอมได้แน่ๆ ในขณะที่กลุ่มคนเสื้อแดงก็ควรจะรู้เช่นกันว่า การให้ยุบสภาในทันที ก็เป็นไปไม่ได้เช่นกันเพราะไม่เพียงแต่รัฐบาลไม่ยอม แต่ก็ได้มีกลุ่มคนบางส่วนที่ออกมาแสดงท่าทีว่าไม่ยอมให้รัฐาลยุบสภาฉะนั้น หากจะให้การเจรจายุติทั้ง 2 ฝ่ายต้องยอมถอย ต้องยอมรับว่าไม่มีการเจรจาใดที่ฝ่ายใดจะได้ 100% อย่างที่ต้องการ วันนี้ถ้ารัฐบาลยอมถอย ลดระยะเวลายุบสภาลงมา ในขณะที่

กลุ่มคนเสื้อแดงก็ยอมเพิ่มระยะให้ เช่นมาจบลงที่ตัวเลขกลางๆ เป็นว่ายุบสภาภายใน 3 เดือน เชื่อว่าเป็นทางออกของประเทศชาติที่จะทำให้ทั้ง 2 ฝ่ายได้รับเสียงปรบมือจากทั่วประเทศแน่นั่นคือ ความหวังที่หลายฝ่ายต้องการจะให้เกิดแต่ทิฐิที่บดบัง พร้อมกับความเชื่อมั่นในอำนาจ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เชื่อมั่นในการกุมอำนาจกองกำลังทหาร รวมทั้งเชื่อมั่นในแนวทางที่นายเนวิน ชิดชอบ บุคคลที่ถูกเว้นวรรคทางการเมือง 5 ปี แต่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองได้ทุกรูป

แบบทั้งบนดิน และใต้ดินจึงมีการเสนอบริการ “จัดตั้งมวลชน” บ้าง เสนอบริการ “สลายการชุมนุมแบบพิสดาร” ซึ่งแม้บางคนที่อยู่รอบข้างนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี อาจจะชอบใจ แต่ก็ยิ่งกลายเป็นการที่ทำให้ปัญหายิ่งหนักหนามากขึ้น และจบยากมากขึ้นไปอีกตรงนี้เป็นความจริงที่รัฐบาล และโดยเฉพาะนายอภิสิทธิ์ จะต้องยอมรับเพราะถึงวันนี้กระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ได้แก้ไขคำเตือนด้านการท่องเที่ยวล่าสุด ด้วยการแจ้งเตือนให้พลเมืองชาวอเมริกัน

ระมัดระวังตัวเมื่อเดินทางเข้ามาไทยหลังเหตุประท้วงรุนแรง และว่าการประท้วงทางการเมืองในกรุงเทพฯ ยังถือว่ามีความไม่แน่นอน อันอาจขยายวงสู่ความรุนแรงขึ้นได้อีก ยังดีที่สหรัฐฯ ระบุชัดว่า เหตุการณ์ในไทย เกิดจากเรื่องการเมืองภายใน และไม่ปรากฏว่าเป็นการกระทำของพวกก่อการร้ายระหว่างประเทศแต่อย่างใดขณะเดียวกันก็มีประมาณ 40 ประเทศหลักๆ ที่ได้ให้คำแนะนำในการเดินทางแก่คนชาติของตน โดยที่ประมาณ 13 ประเทศ ได้แนะนำคนชาติตนให้

หลีกเลี่ยงเดินทางมาเฉพาะกรุงเทพฯ ซึ่งส่วนใหญ่จะแนะนำให้หลีกเลี่ยงการเดินทางเข้าไปในพื้นที่ที่มีการชุมนุมประท้วงนี่คือ ความเป็นจริงที่เกิดขึ้น จากความกังวลว่าสถานการณ์อาจจะบานปลายและก็เพราะความกังวลเหล่านี้นี่เองที่ทำให้ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ และ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ 2 อดีตนายกรัฐมนตรี เกิดความเป็นวิตก และพยายามที่จะเสนอแนะแนวทางสันติวิธี รวมแม้กระทั่งการมีมุมมองที่จะกราบบังคมทูลขอพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณจาก

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อนำไปสู่การคลี่คลายปัญหาวิกฤติของบ้านเมืองโดยหลักการของจิตสำนึกของคนไทย ตั้งแต่สมัยอดีตนับร้อยนับพันปีมาจนถึงปัจจุบันนั่นคือ องค์พระมหากษัตริย์ ทรงเป็นที่พึ่งสูงสุดของคนไทย ที่จะแก้ไขวิกฤติให้กับพสกนิกรได้หลัการนี้มีมานานตั้งแต่สมัยสุโขทัย ซึ่งประวัติศาสตร์ชาติไทยได้จารึกเอาไว้ให้เป็นความภาคภูมิใจของคนไทยมานับร้อยนับพันปี ซึ่งศิลาจารึกระบุชัดเจนว่า พ่อขุนรามคำแหงมหาราช ทรงปกครองพสกนิกร เยี่ยง

พ่อปกครองลูกดังนั้น จึงทรงจัดให้มีกระดิ่งเอาไว้ สำหรับให้พสกนิกรหรือลูกๆ ของพระองค์ท่าน มาสั่นกระดิ่งเพื่อขอโปรดเกล้าพระราชทานความช่วยเหลือดับทุกข์ร้อนหรือแก้ไขปัญหานานาซึ่งเป็นเรื่องที่คนไทยจดจารึกฝังในความทรงจำและในจิตใจกันมาโดยตลอด คู่ไปกับความจงรักภักดีสูงสุดที่มีต่อสถาบันด้วยเหตุนี้เอง พล.อ.ชวลิต ซึ่งเป็นห่วงและวิตกกังวลอย่างสูงว่า วิกฤติชาติครั้งนี้จะก่อให้เกิดการสูญเสียอย่างหนัก จึงต้องการทูลขอพระราชทานพระมหา

กรุณาธิคุณเพื่อดับวิกฤติเป็นแนวคิดพื้นฐานของคนไทยทุกคนในยามที่เดือดร้อนทุกข์เข็ญ ก็ย่อมจะต้องนึกถึงพระองค์ท่านแต่ไม่น่าเชื่อว่า ผลประโยชน์ทางการเมือง และอำนาจทางการเมือง จะทำให้มีคนหลายคนที่ออกมากล่าวอ้างแสดงความคิดเห็นกันอย่างสนุกปากในการโจมตี พล.อ.ชวลิต และนายสมชายทำราวกับว่ามีเฉพาะตนเฉพาะกลุ่มเท่านั้น ที่ผูกขาดความจงรักภักดี ทั้งๆ ที่ หากถามว่า คนระดับพล.อ.ชวลิต ซึ่งรับใช้ใต้ละอองธุลีพระบาทมาชั่วชีวิตราชการ จะ

จงรักภักดีต่อสถาบันน้อยกว่าใครในประเทศไทยบ้าง... เชื่อว่าเป็นไม่มีแล้วคิดว่าเป็นการสมควรแล้วจริงๆ เช่นนั้นหรือ ที่นายอภิสิทธิ์ กลับสรุปง่ายๆ สรุปเอาเองดื้อๆ ว่า นี่คือ การพิสูจน์ชัดว่า ใครคือหัวหน้าขบวนการ???เป็นการสรุปที่หลายคนบอกว่า หากเป็นการสรุปของคนที่ไม่ได้มีการศึกษาในระดับอ็อกซฟอร์ด แต่เป็นคนที่มีการศึกษาพื้นๆ ก็จะไม่รู้สึกแปลกใจเลยเพราะจริงๆ แล้วในยามเดือดร้อนเมื่อครั้งที่ผ่านมา บรรดาปัญญาชน นักวิชาการ ที่เห็นวิกฤติจะเกิดกับ

บ้านเมือง ก็ได้ระลึกถึงพระองค์ท่าน และหวังในพระมหากรุณาธิคุณด้วยเช่นกัน ว่าจะแก้ไขปัญหาวิกฤติได้ จึงออกมาเคลื่อนไหวในเรื่องการขอให้ทรงใช้ มาตรา 7 ของรัฐธรรมนูญ 2540 เพื่อแก้วิกฤติบ้านเมืองในวันนั้น นายอภิสิทธิ์ ก็สนับสนุนการทูลขอนายกรัฐมนตรีพระราชทาน ตาม มาตรา 7 ด้วยเช่นกันบรรดาคนที่กล่าวหาโจมตี พล.อ.ชวลิต ว่าไม่บังควร เป็นการดึงฟ้าต่ำนั้น เคยคิดย้อนกลับไปหรือไม่ว่า แล้วการกระทำของนายอภิสิทธิ์ จนได้รับฉายา “มาร์ค

ม7” ที่รู้กันทั่วประเทศนั้น จะหมายถึงอะไรอย่างนั้นหรือในสังคมไทยที่ถูกปลูกฝังในเรื่องการให้ความเคารพผู้หลักผู้ใหญ่ คงต้องถามบรรดานายกองร้องด่าท้าทายของพรรคประชาธิปัตย์ทั้งหลาย รวมทั้งนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง และเฉพาะอย่างยิ่งนายอภิสิทธิ์ ว่าเห็นว่าเป็นการเหมาะสมอย่างนั้นจริงๆ หรือ กับการสรุปโจมตีตำหนิผู้หลักผู้ใหญ่ ผู้อาวุโส อย่างที่เกิดขึ้น??จริงๆ แล้ว ตลอดมา บางกอก ทูเดย์ เรียกร้องให้มีการเจรจา ให้มี

การแก้ไขวิกฤติของชาติ โดยมองว่า บุคคลอาวุโสสูงและมากบารมี มากการยอมรับ คือ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตนายกรัฐมนตรี และที่สำคัญคือ เป็นประธานองคมนตรี คือผู้ที่เหมาะสมที่สุดที่จะทำหน้าที่ยุติปัญหาวิกฤติในครั้งนี้แต่ พล.อ.เปรม ก็ไม่ได้กระทำ ดังนั้น หากดูตามประวัติศาสตร์ ในการแก้ไขปัญหาวิกฤติบ้านเมือง ไม่ว่าจะเป็นเมื่อครั้ง 14 ตุลาคม 2516 และ 6 ตุลาคม 2519 เรื่อยมาจน พฤษภาทมิฬ 2535 ก็ไม่ใช่พระมหากรุณาธิคุณของพระองค์

ท่านหรือ ที่ปัดเป่าให้วิกฤติชาติคลี่คลายลง??เช่นนี้แล้วจะให้ พล.อ.ชวลิต ซึ่งกลัวว่าจะเกิดการสูญเสียในวิกฤติรอบนี้ จะหันไปพึ่งใคร หากไม่พึ่งพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน??ในประวัติศาสตร์ชาติไทย... ไม่พึ่ง “พ่อ” แล้ว “ลูก”จะพึ่งใครนี่คือ ความจริงของประเทศ ซึ่งสื่อที่เป็นกลาง ไม่ว่าจะเป็นบางกอก ทูเดย์เอง หรือแม้แต่ไทยรัฐ ข่าวสด ต่างก็ล้วนท้วงติงในเรื่องนี้แล้วไม่ใช่หรือว่า กรณีการขอเข้าเฝ้าฯ เพื่อหวังในพระมหากรุณาธิคุณของ พล.อ.

ชวลิต กับกรณีขอพระราชทานนายกฯ ตามมาตรา 7 ของนายอภิสิทธิ์นั้น ไม่ได้แตกต่างกันเลยในสาระสำคัญวันนี้ บางกอก ทูเดย์ ยังคงเรียกร้องว่า การปะทะกันไม่ว่าจะเป็นการสลายการชุมนุม หรือการปะทะกันของคนต่างสีเสื้อ ล้วนแล้วแต่เป็นความสูญเสียของประเทศชาติดังนั้น วันนี้ ในฐานะนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ ต้องละทิฐิ และถอดหัวโขน ออกมาตั้งสติว่า จะหาทางออกในการแก้วิกฤติบ้านเมืองครั้งนี้อย่างไร เพื่อไม่ให้เกิดความสูญเสียเลยสังคมไทยในวันนี้

ต้องการ “สติ” และ “ปัญญา” อย่างสูงยิ่ง ประเภทอย่างที่ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำม็อบพันธมิตรฯ ที่ออกมาเสนอแนะว่า ให้แม่ทัพภาค 1 ประกาศกฎอัยการศึกเองเลย แล้วก็ลุยสลายม็อบให้จบภายใน 2 วัน... อย่างนี้ต่างหากที่สังคมทุกภาคส่วนควรตั้งคำถามว่าสมควรแล้วหรือ ใช้สติปัญญาแล้วจริงๆ หรือ กับข้อเสนอเช่นนั้นเพราะนั่นคือ การพาประเทศชาติลงเหวชัดๆ

ที่มา.บางกอกทูเดย์
***********************************************

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น