ว่ากันว่า “จุดไคลแม็กซ์” มักมาให้เห็นในตอนหลัง!โดยเฉพาะการขึ้นเวทีปราศรัยคนเสื้อแดงของ “ไข่มุกดำ” วีระ มุสิกพงศ์ ในช่วงเวลาประมาณ 1.30 น. ของวันที่ 21 เมษายนที่ผ่านมาซึ่งประเด็นที่เขานำมาพูด...มันคือ “แสงสว่างรำไร” ในการเดินหน้าไปหาทางออกแห่งปัญหา...ไม่ให้รัฐและประชาชนเกิดการปะทะ
เพียงแต่ยังมิอาจ “เปิดเผย” ได้ว่าช่วงเวลาที่แกนนำคนสำคัญหายไป...เขา ได้ไปพูดและพบปะกับใคร แต่การปรากฏตัวบนเวทีในค่ำคืนดังกล่าว...ก็ทำให้พี่
น้องประชาชนซึ่งเป็น “มวลชน” รู้สึกสบายอกสบายใจว่าแกนนำของพวกเขา “ไม่ได้หนีหายไป” หรือ “ตัดช่องน้อยแต่พอตัว”แต่ด้วย “ภารกิจสำคัญ” ในการเจรจา “เป็นการลับ” กับทูตเจรจาอีกฝ่ายหนึ่ง...“วีระ” จึงได้ออกมาบอกกับพ่อแม่พี่น้องประชาชนอย่างเต็มปากเต็มคำว่า...มีแนวโน้มไปในทางที่ดีขึ้นมากซึ่งฝ่ายนั้นยืนยันว่าจะไม่มีการเข้า “สลายการชุมนุม” โดยเฉพาะในช่วงนี้ที่มีข่าวลือรายวันในการที่รัฐบาลจะขอพื้นที่คืนอย่างหนาหูนอกจากนี้ “ฝ่ายคนเสื้อแดง”
ก็รับปากยืนยันจะไม่มีการเคลื่อนย้ายไปชุมนุมที่บริเวณถนนสีลมเช่นเดียวกันเรียกว่า...ต่างฝ่ายต่างเจรจากันด้วยเหตุและผลทั้งสองฝ่ายยอมรับที่จะปฏิบัติไปในแนวทางเดียวกันเพื่อไม่ให้เกิดปัญหา และประสานงานกันต่อไปเพื่อ “ยุติปัญหา” ทั้งหมดทั้งมวลที่เกิดขึ้นหากมองในเรื่องนี้คงต้องย้อนกลับไปตั้งแต่ที่มีการ “เปิดโต๊ะเจรจา” ระหว่างรัฐบาลกับแกนนำคนเสื้อแดง ซึ่งได้มีการเจรจาไปแล้ว 2 รอบเพียงแต่ประเด็นที่ 2 ฝ่ายนำมาคุยยังไม่ได้นำมาวิเคราะห์ให้ “ตก
ผลึก” เป็นข้อยุติในระยะเวลาอันสั้นซึ่งหลังจากจบการเจรจารอบ 2 จะเห็นได้ชัดว่า...ฝ่ายรัฐบาลก็มีความตั้งใจในการเปิดโต๊ะเจรจาครั้งต่อไปในรอบ 3แต่สูญญากาศทางการเมืองในช่วงที่ทุกคนกำลังนั่งคิดเพื่อหาทางออกให่แก่บ้านเมืองอย่างไร...ดันมีคน “ประเภทเลือดร้อน” ซึ่งต้องการใช้วิธี “เก่าแก่คร่ำครึ” ในการแก้ไขปัญหาเป็นเหตุให้ความคิดสวนทาง...นำไปสู่การปฏิบัติที่แยกแยก...กลายเป็นเหตุการณ์เศร้าสลดเมื่อวันที่ 10 เม.ย. ที่ผ่านมาแต่สิ่งเหล่านี้จะไม่เกิด
ขึ้น “ซ้ำรอย” เป็นประวัติศาสตร์ที่ไม่น่าจดจำ “ซ้ำสอง”ดังนั้น...การถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูดของ “วีระ มุสิกพงศ์” จึงทำให้ประชาชนหลายคนเชื่อมั่นได้ว่า...อีกไม่นานประเทศชาติของเราจะกลับมาสงบดังเดิม เป็นการต่อสู้ทางการเมืองที่จบแบบไม่ต้องสูญเสียเลือดเนื้ออีกต่อไป มิเช่นนั้นเราจะได้เห็นหรือ? กับบุคคลที่คิดร้ายทำลายชาติ...โดยค่อยๆ เปิดเผยตัวออกมาแตกกลุ่มแตกหน่อเพราะหัวใจพวกเขากำลัง “เต้นรัวเป็นกลองยาว” อีกไม่นานหาก “ฟ้าเปลี่ยนสี”
กลุ่มคนเหล่านี้คงแปลงสภาพเปลี่ยนไปไม่ต่างจาก “ข้อกล่าวหา” ที่ยัดเยียดให้ฝ่ายตรงข้ามในวันนี้นี่คือ “บทพิสูจน์” บนโต๊ะเจรจาลับของทั้ง 2 ฝ่ายคำพูด หรือ สัจจะ มันมีค่าเท่าเทียมกับการกระทำ...เมื่อทุกคนทำตามที่พูด...จุดจบแบบ “แฮปปี้ เอนดิ้ง” มันก็คงไม่ใกล้เกินเอื้อมโดยเฉพาะดวงวิญญาณวีรชนผู้เสียสละคงนอนตายตาหลับที่เห็นประเทศชาติกลับมาสงบสุขดังเดิม!
ที่มา.บางกอกทูเดย์
*************************************************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น