
ศาลอาญา 14 ก.ย.- ศาลนัดสืบพยานคดีนักรบศริวิชัยบุกยึดสถานีโทรทัศน์ NBT นัดแรก ต้นปีหน้า โจทก์นำสืบพยาน 200 ปาก 36 นัด ส่วนทนายจำเลยนำสืบพยาน 115 ปาก 15 นัด ขณะเดียวกันมีคำสั่งให้ออกหมายจับจำเลย 3 คน ที่ไม่มาศาล
ที่ห้องพิจารณาคดี 704 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก วันนี้ (14 ก.ย.) ศาลนัดตรวจพยานหลักฐานและกำหนดวันสืบพยานคดีหมายเลขดำ อ.4486/2551 ที่พนักงานอัยการพิเศษ ฝ่ายคดีอาญา 4 เป็นโจทก์ฟ้องนายธเนศร์ คำชุม กับพวก ที่เป็นนักรบศรีวิชัยและการ์ดพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-82 ในความผิดฐานสมคบกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานเป็นซ่องโจร มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใด ให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง ร่วมกันไม่มีเหตุอันสมควรเข้าไป หรือซ่อนตัวในเคหสถาน หรือสำนักงานในความครอบครองของผู้อื่น
โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือโดยมีอาวุธในเวลากลางคืน ร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ หรือทรัพย์สิน โดยใช้กำลังประทุษร้ายโดยมีอาวุธ ร่วมกันพาอาวุธไปในเมืองหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันสมควร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 83, 91, 92, 210, 215, 309, 358, 364, 365 และ 371 พ.ร.บ.อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนฯ พ.ศ.2490 พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2545 และ พ.ร.บ.วิทยุคมนาคม พ.ศ.2535 กรณีระหว่างวันที่ 22-25 ส.ค.51 จำเลยทั้งหมดได้ร่วมกันประชุมวางแผนระดมคนบุกรุกอาคารสำนักงานสถานีวิทยุโทรทัศน์ NBT และร่วมกันมีอาวุธปืนพกออโตเมติก ขนาด 7.62 มม. จำนวน 1 กระบอก และซองกระสุนปืนจำนวน 1 ซอง กระสุนปืนไม่ทราบขนาด จำนวน 5 นัด และอาวุธปืนพกสั้นรีวอลเวอร์ ขนาด .38 และกระสุนปืนขนาด .38 จำนวน 45 นัด โดยไม่รับอนุญาต
จำเลยทั้งหมดเดินทางมาศาล ยกเว้นนายธนพัฒน์ วิไลภรณ์ จำเลยที่ 12 นายศุภชัย สมทอง จำเลยที่ 28 และนายมานิตย์ อรรถรัฐ จำเลยที่ 42 ซึ่งทนายจำเลยแถลงว่า จำเลยที่ 12 ถูกคุมขังในคดีอื่นยู่ที่เรือนจำพิเศษธนบุรี จำเลยที่ 28 ได้รับหมายเกณฑ์เป็นทหาร และถูกส่งตัวไปช่วยราชการที่ จ.นราธิวาส ไม่สามารถติดต่อได้ ส่วนจำเลยที่ 42 ประสบอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลจังหวัดตรัง ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ในส่วนของจำเลยที่ 12 ศาลได้หมายเรียกไปยังเรือนจำพิเศษธนบุรี แต่ไม่สามารถติดต่อได้ จึงไม่ทราบว่าจำเลยได้รับการปล่อยตัวแล้วหรือไม่ ส่วนข้ออ้างของจำเลยที่ 28 และ 42 เป็นเพียงแค่คำบอกเล่าของเพื่อนจำเลย ไม่มีเอกสารหลักฐาน หรือใบรับรองแพทย์ยืนยัน กรณีจึงมีเหตุให้สงสัยว่า จำเลยที่ 12, 28 และ42 อาจหลบหนี จึงมีคำสั่งให้ออกหมายจับและปรับนายประกัน
ฝ่ายพนักงานอัยการโจทก์แถลงขอนำสืบพยาน รวม 200 ปาก ประกอบด้วยผู้สื่อข่าว และพนักงาน สถานีโทรทัศน์ NBT กับเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม โดยใช้เวลาพิจารณารวม 36 นัด ส่วนทนายจำเลยขอสืบพยาน 115 ปาก ใช้เวลา 15 นัด ทั้งนี้ จำเลยทั้งหมดยังขอให้ศาลสืบพยานลับหลัง เนื่องจากจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ต่างจังหวัด มีภารกิจต้องประกอบอาชีพเลี้ยงตัวเองและครอบครัว ศาลสอบถามฝ่ายโจทก์แล้วขอค้านว่า ในการสืบพยานโจทก์ช่วงแรก พยานส่วนใหญ่เป็นประจักษ์พยานที่จะต้องชี้ตัวจำเลย ศาลพิจารณาแล้วจึงยังไม่อนุญาตให้สืบพยานลับหลังจำเลย
ในช่วงการสืบพยานโจทก์ 18 นัดแรก แต่หลังสืบพยานโจทก์ดังกล่าวเสร็จสิ้น ให้ทนายจำเลยยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีลับหลังเข้ามาอีกครั้ง ส่วนวันนัดสืบพยานให้โจทก์และจำเลย กำหนดนัดกันอีกครั้ง โดยให้เริ่มต้นสืบพยานโจทก์นัดแรกในช่วงต้นปี 53.
-สำนักข่าวไทย
ที่ห้องพิจารณาคดี 704 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก วันนี้ (14 ก.ย.) ศาลนัดตรวจพยานหลักฐานและกำหนดวันสืบพยานคดีหมายเลขดำ อ.4486/2551 ที่พนักงานอัยการพิเศษ ฝ่ายคดีอาญา 4 เป็นโจทก์ฟ้องนายธเนศร์ คำชุม กับพวก ที่เป็นนักรบศรีวิชัยและการ์ดพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-82 ในความผิดฐานสมคบกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานเป็นซ่องโจร มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใด ให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง ร่วมกันไม่มีเหตุอันสมควรเข้าไป หรือซ่อนตัวในเคหสถาน หรือสำนักงานในความครอบครองของผู้อื่น
โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือโดยมีอาวุธในเวลากลางคืน ร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ หรือทรัพย์สิน โดยใช้กำลังประทุษร้ายโดยมีอาวุธ ร่วมกันพาอาวุธไปในเมืองหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันสมควร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 83, 91, 92, 210, 215, 309, 358, 364, 365 และ 371 พ.ร.บ.อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนฯ พ.ศ.2490 พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2545 และ พ.ร.บ.วิทยุคมนาคม พ.ศ.2535 กรณีระหว่างวันที่ 22-25 ส.ค.51 จำเลยทั้งหมดได้ร่วมกันประชุมวางแผนระดมคนบุกรุกอาคารสำนักงานสถานีวิทยุโทรทัศน์ NBT และร่วมกันมีอาวุธปืนพกออโตเมติก ขนาด 7.62 มม. จำนวน 1 กระบอก และซองกระสุนปืนจำนวน 1 ซอง กระสุนปืนไม่ทราบขนาด จำนวน 5 นัด และอาวุธปืนพกสั้นรีวอลเวอร์ ขนาด .38 และกระสุนปืนขนาด .38 จำนวน 45 นัด โดยไม่รับอนุญาต
จำเลยทั้งหมดเดินทางมาศาล ยกเว้นนายธนพัฒน์ วิไลภรณ์ จำเลยที่ 12 นายศุภชัย สมทอง จำเลยที่ 28 และนายมานิตย์ อรรถรัฐ จำเลยที่ 42 ซึ่งทนายจำเลยแถลงว่า จำเลยที่ 12 ถูกคุมขังในคดีอื่นยู่ที่เรือนจำพิเศษธนบุรี จำเลยที่ 28 ได้รับหมายเกณฑ์เป็นทหาร และถูกส่งตัวไปช่วยราชการที่ จ.นราธิวาส ไม่สามารถติดต่อได้ ส่วนจำเลยที่ 42 ประสบอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลจังหวัดตรัง ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ในส่วนของจำเลยที่ 12 ศาลได้หมายเรียกไปยังเรือนจำพิเศษธนบุรี แต่ไม่สามารถติดต่อได้ จึงไม่ทราบว่าจำเลยได้รับการปล่อยตัวแล้วหรือไม่ ส่วนข้ออ้างของจำเลยที่ 28 และ 42 เป็นเพียงแค่คำบอกเล่าของเพื่อนจำเลย ไม่มีเอกสารหลักฐาน หรือใบรับรองแพทย์ยืนยัน กรณีจึงมีเหตุให้สงสัยว่า จำเลยที่ 12, 28 และ42 อาจหลบหนี จึงมีคำสั่งให้ออกหมายจับและปรับนายประกัน
ฝ่ายพนักงานอัยการโจทก์แถลงขอนำสืบพยาน รวม 200 ปาก ประกอบด้วยผู้สื่อข่าว และพนักงาน สถานีโทรทัศน์ NBT กับเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม โดยใช้เวลาพิจารณารวม 36 นัด ส่วนทนายจำเลยขอสืบพยาน 115 ปาก ใช้เวลา 15 นัด ทั้งนี้ จำเลยทั้งหมดยังขอให้ศาลสืบพยานลับหลัง เนื่องจากจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ต่างจังหวัด มีภารกิจต้องประกอบอาชีพเลี้ยงตัวเองและครอบครัว ศาลสอบถามฝ่ายโจทก์แล้วขอค้านว่า ในการสืบพยานโจทก์ช่วงแรก พยานส่วนใหญ่เป็นประจักษ์พยานที่จะต้องชี้ตัวจำเลย ศาลพิจารณาแล้วจึงยังไม่อนุญาตให้สืบพยานลับหลังจำเลย
ในช่วงการสืบพยานโจทก์ 18 นัดแรก แต่หลังสืบพยานโจทก์ดังกล่าวเสร็จสิ้น ให้ทนายจำเลยยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีลับหลังเข้ามาอีกครั้ง ส่วนวันนัดสืบพยานให้โจทก์และจำเลย กำหนดนัดกันอีกครั้ง โดยให้เริ่มต้นสืบพยานโจทก์นัดแรกในช่วงต้นปี 53.
-สำนักข่าวไทย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น