--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอังคารที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2552

คตส.งานเข้า!!ชัยชนะของคู่กรรม


หากย้อนมองมาถึงการบริหารประเทศภายใต้รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ บรรดานายทหารบรรดา คตส. บรรดา ป.ป.ช. กล้าที่จะพูดได้เต็มปากเต็มคำหรือไม่ว่า...รัฐบาลนายกฯอภิสิทธิ์ไม่มีเรื่องปนเปื้อนเกี่ยวกับทุจริตเลยแม้แต่น้อยโครงการชุมชนพอเพียง สะดุดปัญหาอะไร ไม่ใช่เรื่องทุจริตหรอกหรือ???โครงการต้นกล้าอาชีพก็เช่นเดียวกันแม้แต่โครงการไทยเข้มแข็ง ใครบ้างที่กล้าการันตีว่าไม่มีเรื่องทุจริต

คดีทุจริตกล้ายาง มูลค่า 1,440 ล้านบาท ที่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) มั่นใจว่าเป็นคดีเด็ดและจะสามารถพิสูจน์ทุจริตได้ตามที่กลุ่มพันธมิตรฯ พรรคประชาธิปัตย์ซึ่ง

ขณะนั้นเป็นพรรคฝ่ายค้าน และที่สำคัญคณะปฏิรูปการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นองค์พระประมุข (คปค.) กล่าวหา และได้ใช้เป็นเหตุในการกระทำรัฐประหาร19 กันยายน 2549ว่าในช่วงเวลาของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น ได้ปล่อยปละละเลยให้มีการทุจริตเกิดขึ้นมากมายอย่างเช่นกรณีทุจริตกล้ายางคตส.หมายมั่นปั้นมือว่า เอาอยู่แน่โดยเฉพาะเป้าเด็ดหัวสำคัญก็คือนายเนวิน ชิดชอบ ซึ่งในขณะนั้นยังเป็นอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯและอยู่ในขั้วการเมืองร่วมกับ พ.ต.ท.ทักษิณหลังรัฐประหารนายเนวิน ต้องหนีหัวซุกหัวซุน เพราะเล่าเองจากปากสดๆให้ผู้สื่อข่าวฟังว่า ถูกทหารจับไปบังคับให้แก้ผ้าล่อนจ้อนเพื่อสอบสวนอย่างน่าเอน็จอนาถ

แต่วันนี้เมื่อหันมาสนับสนุน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีได้สำเร็จนายเนวินก็ไม่ต้องหนีหัวซุกหัวซุนอีกต่อไปแถมยังกลับกลายมาเป็นที่ปรึกษาพิเศษใหญ่เบ้อเริ่มเทิ่มให้กับนายอภิสิทธิ์ แม้ว่าจะไม่มีตำแหน่งในทางการเมืองใดๆ ก็ตามเพราะยังติดกรณีคำตัดสินให้เว้นวรรคทางการเมือง 5 ปีอยู่ซ้ำยังตั้งพรรคภูมิใจไทย และผลักดันกลุ่มก๊วนเพื่อนเนวิน และคนใกล้ชิดให้ได้ดีทางการเมือง ราวกับไม่ได้ถูกเว้นวรรคทางการเมืองอย่างนั้นแหละแม้กระทั่งคดีกล้ายาง ที่ คตส. มั่นใจแล้วมั่นใจอีก และมั่นใจมาก แต่เมื่อนายเนวินหันมาหนุนนายกฯอภิสิทธิ์ หันมาศิโรราบให้กับระบอบอำมาตยาธิปไตย นายเนวินกลับเชื่อมั่นกว่า คตส. เสียอีกไม่เช่นนั้นคงไม่มีข่าว “หลุดแน่”ออกมาตั้งแต่ยังไม่มีคำพิพากษา!!!และก็พ้องกันโดยบังเอิญกับคำพิพากษาที่ออกมาว่า “ยกฟ้อง”ทั้งหมดซึ่งจริงๆ แล้วก็เป็นไปได้ว่า การที่นายเนวินเชื่อมั่นในการมาฟังคดีกล้ายางโดยที่ไม่ได้มีการหลบหนีคดีอย่างที่หลายฝ่ายเป็นห่วงนั้นก็เพราะมั่นใจว่าสิ่งที่ได้ดำเนินการในช่วงสมัยที่อยู่ร่วมในคณะรัฐมนตรีของพ.ต.ท.ทักษิณ นั้น การดำเนินการในเรื่องกล้ายาง มูลค่า 1,440 ล้านบาท

นั้นเป็นการทำอย่างถูกต้องไม่ได้มีการทุจริตใดๆ อย่างที่ คตส.ระบุ หรือเล่นงานซึ่งวันนี้ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า มลทินที่บอกว่า ภายใต้รัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่ง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลินหัวหน้าคณะ คปค. อ้างว่ามีการทุจริตอย่างมากมาย จนต้องกระทำรัฐประหารนั้นเอาเข้าจริงๆ แล้วก็ไม่ใช่ทั้ง 44 คน ที่มีทั้งรัฐมนตรี มีทั้งข้าราชการพลเรือน และมีทั้งนักธุรกิจ บริษัทเอกชน ได้รับการยกฟ้องครบกันหมดทั้งพวงสิ่งที่ คตส. ซึ่งถูกแต่งตั้งขึ้นมาโดยคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.)ซึ่งเปลี่ยนชื่อมาจาก คปค. และเป็นการแต่งตั้งขึ้นมาเพื่อตรวจสอบเล่นงานคดีทุจริตโดยเฉพาะ และแสดงความมั่นอกมั่นใจมาตลอดนั้นสุดท้ายก็เป็นเพียงการเข้าใจไปเองเพราะไม่เข้าใจกระบวนการทางธุรกิจเอกชน

ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ระบุชัดเจนว่าบริษัทเอกชนที่เข้าประมูลงานนั้นไม่ได้ฮั้วประมูล แต่มีการแข่งขัน และมีฐานะทางธุรกิจที่เพียงพอกับการที่จะรับงานมูลค่ากว่า 1,400 ล้านบาทของกระทรวงเกษตรฯคำถามจึงต้องวกกลับมาที่ คตส.แล้วว่าหากตลอดมา คตส.ทำหน้าที่โดยปราศจากอคติ ไม่มีธงที่จะมาเล่นงานรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณจริง อย่างที่ได้มีการกล่าวอ้างอยู่เป็นระยะๆก็ต้องแสดงว่า เป็นการดำเนินการโดยที่ไม่ได้มีความไม่เข้าใจ ไม่มีความรู้ในเชิงธุรกิจที่มากเพียงพอ จึงเข้าใจเอาเองว่ามีเรื่องทุจริตเกิดขึ้นซึ่งวันนี้ก็คงได้บทเรียนที่น่าจะช่วยเปิดมุมมองเกี่ยวกับการบริหารจัดการและการดำเนินการสไตล์ธุรกิจให้กับคตส.มากขึ้นแล้วจะได้ไม่บุ่มบ่ามตั้งข้อสงสัยเหมือนกับที่ผ่านๆ มาคตส.จะได้ไม่ถูกมองว่า เป็นเครื่องมือในการจ้องเล่นงานทางการเมืองเหมือนที่หลายฝ่ายสงสัย ทั้งๆ ที่ความจริงเป็นการดำเนินการ

ตั้งสมมุติฐานภายใต้ความไม่รู้จริงเสียมากกว่ากรณีคำตัดสินคดีกล้ายางจึงน่าจะเป็นการเปิดโลกทัศน์ให้กับ คตส.ได้มากขึ้นเพราะคดีที่ยังจะต้องดำเนินการพิสูจน์ถูกผิด พิสูจน์ว่าทุจริตในยุครัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณมีมากมายจริงๆ หรือไม่นั้นยังมีค้างอยู่อีกถึง 11 คดีซึ่งเรื่องข้อสงสัยและการดำเนินการของคตส. ที่ผ่านมา จนมาพิสูจน์ชัดในคดีกล้ายางในครั้งนี้ แม้แต่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรอดีตนายกรัฐมนตรี ยังได้มีการทวิตเตอร์ทักทายแฟนคลับ หลังจากศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษายกฟ้องแล้วว่าคำตัดสินคดีกล้ายางคงอธิบายให้สังคมไทยกระจ่างขึ้นมากเท่ากับ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) กล่าวหาว่ารัฐบาลของตนทุจริตโดยใช้ คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) เป็นเครื่องมือเพราะคดีที่ว่าเจ๋งยังหลุดได้

นี่คือบทเรียนทางการเมืองของไทยที่บรรดานายทหารที่เอะอะก็ใช้การปฏิวัติรัฐประหาร โดยอ้างเช่นเดียวกับ บิ๊กบังเช่นเดียวกับ คปค.หรือคมช. ว่าไม่รัฐประหารไม่ได้แล้ว เพราะทุจริตกันเหลือเกินพึงที่จะต้องสังวรณ์เอาไว้เป็นบทเรียนสำคัญด้วยเช่นกันที่สำคัญกรณีคดีกล้ายางเป็นเหมือนชัยชนะของ ทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรและ เนวิน ชิดชอบ ซึ่งทั้งคู่ ณ วันนี้ก็คือคู่กรรมขนานแท้เลยก็ว่าได้แต่ความพ่ายแพ้กลับไปตกอยู่ที่ คตส.โดยเฉพาะประเด็นที่ถูกมองว่า การเอาหนึ่งในคตส. ไปเป็นพยานให้กับทางจำเลยในคดีนี้ได้อย่างไรนี่คือภาพที่เกิดเส้นคั่นบางๆ ขึ้นกับการกล่าวหาเรื่องทุจริตของรัฐบาลในแต่ละห้วงเวลาเพราะหากย้อนมองมาถึงการบริหารประเทศภายใต้รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์บรรดานายทหาร บรรดา คตส. บรรดาคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล้าที่จะพูดได้เต็มปากเต็มคำหรือไม่ว่ารัฐบาลนายกฯอภิสิทธิ์ไม่มีเรื่องปนเปื้อนเกี่ยวกับทุจริตเลยแม้แต่น้อย!!!โครงการชุมชนพอเพียง สะดุดปัญหาอะไรไม่ใช่เรื่องทุจริตหรอกหรือ???โครงการต้นกล้าอาชีพก็เช่นเดียวกันเสียงครหา

เสียงร้องจากผู้ที่เข้าอบรมแล้วยังไม่ได้รับเงินคืออะไร???แม้แต่โครงการไทยเข้มแข็ง ใครบ้างที่กล้าการันตีว่าไม่มีเรื่องทุจริตโครงการถนนปลอดฝุ่น โครงการรถเมล์เช่า 4,000 คัน ราคาโคตรแพงระยิบระยับล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยเสียงลือเสียงเล่าอ้างที่พิศดาร และถูกสังคมจับตามองหรือแม้กระทั่งกรณีที่ กระทรวงกลาโหมเสนอขออนุมัติงบประมาณเป็นหมื่นล้านในการจัดซื้อยุทโธปกรณ์ในช่วงการประชุมครม.ครั้งสุดท้ายของเดือน ก.ย.ก่อนขึ้นปีงบประมาณใหม่ซึ่งสังคมก็สามารถมองได้ว่า จะเป็นการเข้าข่ายผลประโยชน์ตอบแทนหรือไม่เพราะรัฐบาลชุดนี้ใช้งานทหารหนักมากๆในการดูแลจัดการกับการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง

แน่นอนว่าเหล่านี้สังคมล้วนสงสัยและมีข้อวิพากษ์วิจารณ์ได้ทั้งสิ้นโดยเฉพาะที่สำคัญ ที่พูดกันหนาหูมากขึ้นทุกวัน แต่ไม่รู้ว่า คตส. และ ป.ป.ช.เคยได้ยินได้ฟังเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเลขพิศดาร 30–35–40 ที่เกิดขึ้นมาในช่วงของรัฐบาลนายกฯอภิสิทธิ์ บ้างหรือไม่สิ่งเหล่านี้องค์กรอิสระที่ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบและสร้างความยุติธรรมให้กับแผ่นดินและสังคมไทย จะได้รับโปรดเกล้าฯ หรือไม่ก็ตาม พึงที่จะต้องมีศักดิ์ศรีและระลึกถึงความสำคัญของหน้าที่อยู่ตลอดเวลาดังนั้น การดำเนินการต่างๆ ไม่มีธงอย่างที่ยืนยันมาตลอดนั้นดีแล้ว แต่จะยิ่งดีมากที่สุดคือจะต้องละเอียดรอบคอบและเปิดกว้างกับทุกการทุจริตที่เกิดขึ้นไม่ว่าในยุคของรัฐบาลใดก็ตามก็เหมือนกับการที่ ป.ป.ช. ตัดสินใจเลื่อนการลงมติชี้มูลคดีถอดถอนอดีตรัฐมนตรีในรัฐบาล นายสมัคร สุนทรเวช ข้อหากระทำผิดตามรัฐธรรมนูญมาตรา 190กรณีออกมติ ครม.สนับสนุนให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกโดยไม่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาออกไปก่อน จากวันที่ 22 กันยายนไปเป็นวันที่ 29 กันยายน แทนซึ่ง นายเมธี ครองแก้ว กรรมการป.ป.ช. ระบุชัดว่า ได้ดูข้อมูล

สำนวนคดีที่คณะทำงานฯ ได้สรุปมาแล้ว พบว่าสำนวนคดียังมีบางจุดที่ไม่สมบูรณ์เป็นการดีแล้วที่ ป.ป.ช.จะต้องรอบคอบเพราะกรณีนี้ก็มีผู้ถูกกล่าวหาทั้งสิ้น 44 คนด้วยเช่นเดียวกันกับคดีกล้ายางแถม 4 คนก็ยังเป็นรัฐมนตรีอยู่ในรัฐบาลของนายกฯอภิสิทธิ์ด้วยแต่หวังว่าจะเป็นความรอบคอบที่ไม่ใช่อย่างกระแสข่าวลือที่ออกมาแล้วอีกเช่นกันว่าอาจจะมีการยกฟ้อง 43 คน โดยนายนพดล ปัทมะ อดีตรมว.ต่างประเทศผิดเพียงคนเดียวอะไรแบบนั้นถึงวันนี้หากทุกฝ่ายต้องการสร้างความสมานฉันท์ ต้องการยุติการแตกแยกทางความคิดที่รุนแรงรัฐบาลนายกฯอภิสทธิ์ ต้องทำหน้าที่โดยสุจริตและเห็นแก่ประโยชน์ของประเทศในทุกเรื่องเช่นเดียวกับ คตส. และ ป.ป.ช. ที่วันนี้ถึงเวลาแล้วที่จะต้องพิสูจน์ตัวเองว่าบริสุทธิ์ใจและที่สำคัญ ไม่มีวาระซ่อนเร้นกันเลยจริงๆ ■

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น