--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันศุกร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2552

กำจัดคนจนและพวกเรียกร้องทางการเมือง

ที่มา – Political Prisoners in Thailand
แปลและเรียบเรียง – แชพเตอร์ ๑๑
รัฐบาลเผด็จการส่วนใหญ่จะคิดหาวิธีการรณรงค์ในเรื่องที่เกี่ยวกับ การตื่นตระหนกของสังคมและความไม่สงบในสังคม ผู้อ่านบางท่านอาจจะจำการรณรงค์ก่อนหน้านี้เกี่ยวกับ เรื่องการกล่าวหาการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ และไม่นานมานี้ เป็นการต่อต้านการค้าประเวณี พับและสถานดิสโก้ของวัยรุ่น เพื่อเป็นการเอาใจผู้ติดตามเฝ้าดูซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นชนชั้นกลาง และอาจมีการปฎิบัติการที่กว้างขี้น บทความจากช้างน้อยเมื่อไม่กี่ปีก่อน มีคุณค่าต่อการนำมาอ้างถึง

ขณะนี้ เดอะเนชั่น (วันที่ ๒ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒: “ไล่พวกจรจัดให้พ้นจากสนามหลวง”) รายงานว่า ดูเหมือนจะเป็นการเริ่มต้นรณรงค์ที่คล้ายคลึงกัน โดยตั้งเป้าไปที่เรื่องการกำจัดสิ่งปฎิกูลที่เริ่มสะสมในท้องสนามหลวง ซึ่งอาจไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ความพยายามของกรุงเทพมหานคร (กทม.) ที่จะทำความสอาดในบริเวณนี้ “คนเร่ร่อน และพวกหาบเร่จำนวนนับพัน” ต้องเก็บข้าวของออกไปจากบริเวณนี้ แต่พวกเขาสัญญาว่าจะกลับมาใหม่

ผู้ที่ถูกไล่ออกจากสถานที่บางคนอ้างว่า “สนามหลวงเป็นที่สำหรับคนยากจน” แต่ตามความคิดของเจ้าฟ้าอภิสิทธิ์ชนของพรรคประชาธิปัตย์ และ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร แล้วถือว่าไม่ถูกต้อง ทำไมหรือ สุขุมพันธ์ “อธิบายว่า เป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องทำความสอาดสนามหลวงเนื่องจากเป็นสถานที่ใช้ประกอบพระราชพิธีสำคัญสำหรับราชวงศ์

ดังนั้น คนยากจนและคนจรจัดจะต้องถูกนำไปลงทะเบียนและ “ให้ที่พัก หรือส่งตัวกลับบ้าน” แต่ปัญหาก็คือ ไม่มีใครต้องการลงทะเบียน

นี่เป็นการเริ่มต้นรณรงค์เพื่อสร้างความอุ่นใจให้กับคนชั้นกลางหรือ ชนชั้นล่างถือว่าเป็นภัยคุกคามต่อพวกเขาใช่ไหม หรือว่าเป็นขั้นตอนในการล้างบางสนามหลวง และอาจพยายามที่จะให้พื้นที่นี้ปลอดจากการเมืองด้วยใช่ไหม

ปลอดจากการเมืองในบางพื้นที่ – โดยเฉพาะในเขตพระราชวังหรือ มีรายงานข่าวจากเดอะเนชั่น (วันที่ ๒ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒: “รัฐบาลจะนำ กฎหมายความมั่นคงภายในประเทศมาปัดฝุ่นใช้ใหม่ เพื่อจัดการกับ “การชุมนุม” ของเสื้อแดง”) ซึ่งรัฐบาลกล่าวว่า “เตรียมพร้อมที่จะประกาศใช้กฎหมายความมั่นคงภายในประเทศ ถ้าเสื้อแดงพยายามที่จะปลุกระดมสร้างปัญหาในเวลาที่นายกรัฐมนตรีเดินทางไปนิวยอร์คในวันที่ ๒๑-๒๗ กันยายน ตามที่ได้ยินมาจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวานนี้”

สังเกตได้ว่า มีการคาดการณ์ว่าเสื้อแดงจะก่อกวนความไม่สงบ จาก “ความคิด” ของรัฐบาลที่ว่า วันที่ ๑๙ กันยายน เป็นวันสำคัญ เนื่องจากจะเป็นวันครบรอบของทำการรัฐประหารปี พ.ศ.๒๕๔๙ ไม่มีหลักฐานใดๆที่จะทำให้เกิดความตื่นกลัวได้ขนาดนี้ แต่รองนายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณยังคงยืนกรานในความเชื่อของเขาที่ว่า แกนนำเสื้อแดงจะทำการปลุกปั่นผู้สนับสนุน โดยตั้งหน้าตั้งตาคอยตรวจ “หาร่องรอยที่จะเกิดความไม่สงบ” รัฐบาลพบว่า กฎหมายความมั่นคงภายในประเทศเป็นเครื่องมืออย่างดีที่จะ ป้องกันลัทธิการเคลื่อนไหวเพื่อผลทางการเมือง

สุเทพยกความผิดไปให้ “อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ว่า เป็นตัวการยุแหย่ให้เกิดความวุ่นวายทางการเมือง” ในขณะที่ “ตำแหน่ง” โฆษก และ “มือขวา” ของนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อย่างนายปณิธาน วัฒนายากรกล่าวว่า รัฐบาล “จะจับตาดูอย่างใกล้ชิด เนื่องจากมีความสงสัยว่าเสื้อแดงจะพยายามทุกวิถีทางที่จะขับไล่รัฐบาลในปีนี้” นายปณิธานเชื่อว่า ฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองซึ่งเป็นศัตรูตัวร้ายของรัฐบาล อาจจะ “พยายามที่จะล้ม” รัฐบาล และที่น่าประหลาดใจและน่าช็อคเป็นอย่างยิ่ง ฝ่ายตรงข้ามยังมีความพยายามที่จะ “โค่นรัฐบาลให้ได้ก่อนที่เศรษฐกิจจะเริ่มมีการฟื้นตัว”

ปกติแล้ว นายปณิธานเป็นคนที่น่าเบื่อและไร้ความรู้สึก และไม่ได้เป็นบุคคลดีเด่นที่ได้รับรางวัลคลิปเสียงยอดเยี่ยมจากสื่อ แต่การออกมาทายว่า เศรษฐกิจจะฟื้นตัวในเดือนหน้านี้ หัวใจของเขาคงเต้นระส่ำไปด้วย ในขณะที่โจมตีเสื้อแดงไปด้วยในเรื่องที่ว่า เสื้อแดงชอบโจมตีผลงานของรัฐบาล
โพลิติคอลพรีซันเนอร์อินไทยแลนด์ (พีพีที) คงต้องปิดปากให้แน่นสนิท และเห็นด้วยกับทุกความเห็นที่กล่าวว่า การโจมตีรัฐบาลของฝ่ายตรงข้ามตามระบบการเมือง ซึ่งมีจุดหมายเพื่อประชาธิปไตยน่ะ ช่างเป็นเรื่องผิดปกติ และถึงขั้นแปลกประหลาด

ต่อมาบุคคลที่น่าเบื่ออย่างปณิธาน มาถึงจุดที่น่าตื่นเต้นที่สุดในการเปรียบเทียบ ทักษิณกับบิน ลาเดน “พวกที่คอยหลบหนี ยากที่จะตามจับได้ แต่ก็ไม่มีที่ไหนในโลกให้อาศัย”

ทำไมเรื่องที่น่าเบื่อหน่ายตามปกติถึงได้โผล่ออกมาในตอนนี้ได้ มันก็ยังไม่แน่ชัดเสียทีเดียว แม้ว่ามีคนเดาว่า อาจจะเป็นเพราะพรรคประชาธิปัตย์ ปลาบปลื้มดีใจกับความสำเร็จจากการบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงภายในประเทศ เพื่อจำกัดการเคลื่อนไหวทางการเมือง นายปณิธานเป็นหนึ่งในนักวิชาการซึ่งถือได้ว่า เป็นหัวหอกในการคิดค้นกฎหมายความมั่นคงนี้ และอาจจะออกมาอ้างสิทธิ แต่การแสดงความเห็นของเขาและเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ คาดว่าน่าจะเป็นสาเหตุที่น่าเป็นห่วงเป็นอย่างยิ่ง สำหรับพัฒนาการทางการเมืองในประเทศไทย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น