
ที่มา คอลัมน์ “ผมเป็นข้าราษฎร”
หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์วิวาทะ Thai Red News
ปีที่ 1 ฉบับที่ 135 กันยายน 2552
มีผู้หวังดีถามกันมากว่า จักรภพเป็นอะไร ทำไมถึงเกิดขัดแย้งกันเอง บางท่านหวังดีแต่มีอารมณ์ก็เลยไปถึงเรื่องผลประโยชน์ขัดกันหรือความอิจฉาริษยาแกนนำไปโน่น คำตอบทั้งหมดอยู่ในช่วงต้นของบทความนี้ครับ ไม่น้อยกว่านี้ ไม่มากกว่านี้เสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมายในหมู่คนเสื้อแดงขณะนี้ เป็นคุณและมีประโยชน์อย่างยิ่งต่อการก้าวเดินของฝ่ายประชาธิปไตย ในระยะที่มีอารมณ์ความรู้สึกมาก ก็ควรปล่อยให้ระบายบ้าง
หลังจากนั้นคือเวลาใคร่ครวญอย่างรอบคอบ ประเมินสถานการณ์ตามความเป็นจริง กำหนดจุดยืนและย่างก้าวของทั้งขบวนการต่อไป ไม่มีอะไรน่าห่วงกังวลเลยครับระบอบประชาธิปไตยอันแท้จริง ซึ่งเป็นธงของพวกเรา จะมีการวิพากษ์วิจารณ์ถกเถียงอย่างนี้อีกมากมายนัก ใครที่ไม่คุ้นเคยควรทำความคุ้นเคยไว้เสีย ระบอบการปกครองของไทยที่จะทำให้คนไทยเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ไม่ใช่กระซิบกันอย่างไพร่ๆ ว่าให้เงียบเสียง สังคมจะได้สงบสุขมั่นคง
แต่จะระดมเอาความคิดเห็นที่หลากหลายมาสู่เวทีถกเถียงที่ชอบธรรม ซึ่งแปลว่าประชาชนต้องมีส่วนร่วมก่อสร้างหรือส่งตัวแทนมาร่วมในเวทีนั้น และเมื่อถกเถียงได้ที่แล้วก็ต้องรู้จักหยุดเป็นห้วงๆ เพื่อลงมือปฏิบัติเราอยากได้รัฐสภาเช่นนั้นในอนาคต รัฐสภาที่เป็นตัวแทนของของอำนาจอธิปไตยในมือคนส่วนใหญ่ของประเทศ มีความยืดหยุ่นมากน้อยขึ้นลงได้ตามประชามติ
เป็นคณะกรรมการกำหนดนโยบายของประเทศที่ประคับประคองระหว่างอดีต ปัจจุบัน และอนาคต สามารถหาจุดสมดุลระหว่างความเป็นชาติกับความเป็นนานาชาติได้ แสวงหาผู้บริหารที่ดีที่สุดมาทำหน้าที่เดินงานบ้านเมือง
และมีขีดความสามารถสูงพอในการป้องกันตัวเองไม่ให้ถูกทำลายโดยการรัฐประหารโดยตรงหรือการรัฐประหารโดยอ้อม เช่น องค์กรอิสระ อำนาจตุลาการ นักวิชาการสายอำมาตย์ เป็นต้น ถ้าเราปรารถนาเช่นนั้น เราต้องทำขบวนการเสื้อแดงให้สะท้อนภาพนั้นเสียตั้งแต่บัดนี้มีผู้หวังดีถามกันมากว่า จักรภพเป็นอะไร ทำไมถึงเกิดขัดแย้งกันเอง
บางท่านหวังดีแต่มีอารมณ์ก็เลยไปถึงเรื่องผลประโยชน์ขัดกันหรือความอิจฉาริษยาแกนนำไปโน่นคำตอบทั้งหมดอยู่ในช่วงต้นของบทความนี้ครับไม่น้อยกว่านี้ ไม่มากกว่านี้แต่รัฐสภาอันแท้จริงที่ไม่ใช่หุ่นกระบอกของฝ่ายอำมาตยาธิปไตย ก็เป็นเพียงรูปธรรมอย่างหนึ่ง คำตอบที่ละเอียดขึ้นคือเป้าหมายที่แน่ชัดว่ารัฐสภาต้องเอื้ออำนวยให้เกิดผลต่างๆ เหล่านี้ครบถ้วน
๑. อำนาจอธิปไตยหรืออำนาจการเมืองสูงสุดที่ไม่มีอะไรสูงกว่า เป็นของปวงชนชาวไทย
๒. บ้านเมืองปกครองด้วยหลักกฎหมาย และด้วยตัวบทกฎหมายที่ปวงชนชาวไทยร่วมกำหนด ไม่ใช่ ด้วยกระบวนการฝ่ายอำมาตย์ที่แอบควบคุมสังคมไทยอยู่โดยอ้างคำว่ากฎหมาย
๓. ประชาชนต้องมีเสรีภาพ
๔. สังคมต้องมุ่งความเสมอภาค
๕. รัฐบาลและผู้ใช้อำนาจอธิปไตยแทนปวงชนชาวไทยในเงื่อนเวลาที่กำหนดไว้ เข้ามาได้ก็ต้องออกไปได้ ต้องมาจากการเลือกตั้ง
ซึ่งเป็นวิถีการมีส่วนร่วมของประชาชนที่ยังไม่มีอะไรดีกว่าสังคมเสื้อแดงและฝ่ายประชาธิปไตยควรหยุดถกเถียงและใคร่ครวญเป็นระยะๆ ว่า ทิศทางของเรานำไปสู่เป้าหมายใหญ่ทั้ง ๕ ข้อนี้หรือไม่ทั้งหมดนี้คือความละเอียดอ่อน
ขณะพูดต้องพูดตรง ไม่กำกวม ไม่ห่วงภาพลักษณ์ชื่อเสียงที่เป็นสิ่งไร้สาระ แต่ในขณะลงมือทำต้องมีศิลปะประคองตัว เพราะเราไม่ได้หาเสียงเลือกตั้งเพื่อเป็นรัฐบาลให้เขาเชือดทิ้งเหมือนรัฐบาลภายใต้นายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร สมัคร สุนทรเวช และสมชาย วงศ์สวัสดิ์ แต่เราต้องการตัวแทนประชาชนที่มีขีดความสามารถในการปกป้องตัวเองได้ชนะเลือกตั้งอย่างงดงาม
แล้วแพ้ในศึกชิงอำนาจรัฐ ได้ชื่อว่าเป็นรัฐบาลของราชอาณาจักรไทยแต่ไม่ได้อำนาจรัฐในการบริหารงานในราชอาณาจักรนั้น ถือว่าเปล่าประโยชน์เราจึงตั้งคำถามว่า การเคลื่อนไหวแต่ละครั้งของฝ่ายประชาธิปไตย ซึ่งมวลชนเข้าร่วมอย่างน่าปลื้มใจทุกครั้ง
เรามีข้อเรียกร้องที่ใหญ่พอและคุ้มค่าต่อความเหนื่อยกายและเหนื่อยใจของประชาชนหรือไม่เราเข้าใกล้เป้าหมายทั้ง ๕ ข้อนั้นมากขึ้นหรือไม่ถ้าไม่ แสดงว่ายุทธวิธีของเราอาจไม่ได้เป็นไปตามยุทธศาสตร์หลายท่านบอกผมว่าเราต้องแกล้งทำ ต้องลับลวงพราง และต้องใจเย็น ในใจของแต่ละท่านก็คือรอให้ธรรมชาติช่วยตัดสิน
แล้วทุกอย่างจะพลิกผันมาเข้าทางเราโดยอัตโนมัติผมต้องขอประทานโทษ-ผมไม่เชื่อสังคมไทยวันนี้ไม่ได้คลุมด้วยตาข่ายทางสังคมที่ประชาชนเป็นผู้ใหญ่และมีส่วนร่วมในการตัดสินชะตากรรมของตัวเอง แต่เป็นการครอบงำของสิ่งที่เรียกว่า “รัฐภายในรัฐ” นั่นคือมีรัฐบาลตัวจริงที่คอยชี้นำทิศทางของประเทศอยู่
และชี้นำทุกอย่างไปสู่การรักษาอำนาจอันล้นเหลือและความมั่งคั่งร่ำรวยที่อธิบายที่มาไม่ได้ของตัวเองและพวกเท่านั้นรัฐบาลที่ว่านี้ไม่เคยมาจากการเลือกตั้ง ไม่สนใจที่จะมาจากการเลือกตั้ง แต่เป็นรัฐบาลที่คอยล้มการเลือกตั้งของฝ่ายประชาธิปไตยและทำให้แน่ใจอยู่ตลอดเวลาว่าประชาชนจะไม่ได้เป็นใหญ่ และเป็นรัฐบาลที่เต็มไปด้วยความคั่งแค้นต่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.๒๔๗๕
จนต้องทำทุกอย่างเพื่อหมุนเข็มนาฬิกาของประเทศกลับไปก่อนหน้านั้นให้จงได้รัฐบาลนี้เขามีพวกมาก แผ่ซ่านไปในทุกวงการ ถ้าเป็นมะเร็งก็ระยะสุดท้าย ต้องหาทางเกิดใหม่อย่างเดียว ภารกิจหลักของรัฐบาลนี้คือการทำลายโครงสร้างของระบอบประชาธิปไตยถ้าเราขอความร่วมมือกับรัฐบาลที่ว่านี้ในการคืน
ประชาธิปไตยให้กับเรา ถ้าเขาไม่ใจร้อนฆ่าเราเสียเลย เขาก็อาจแสร้งว่าเห็นใจและโยนเศษเนื้อข้างเขียงมาให้ อาจจะเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีให้สักคน เพราะเรารุมกันประณามนายกรัฐมนตรีคนที่เขาเลือก อาจเปลี่ยนข้อความบางข้อในรัฐธรรมนูญให้เรารู้สึกหายใจโล่งขึ้น แต่ไม่ยอมแตะต้องส่วนสำคัญที่ทำให้เราอยู่ในสภาพน้ำใต้ศอกอยู่อย่างนี้ตั้งแต่ต้นแล้วเราก็จะไม่ได้แม้แต่ข้อแรก คืออำนาจอธิปไตยที่เป็นของปวงชนชาวไทย
ไม่ต้องหวังว่าจะได้รัฐบาลจากการเลือกตั้งที่มีอำนาจรัฐจริง มาอำนวยเสรีภาพและความเสมอภาคทางสังคมให้กับประชาชน และไม่ต้องหวังว่ากระบวนทางกฎหมายจะเป็นไปเพื่อฝ่ายประชาชนเพราะถ้าไม่ได้ข้อแรก เราก็จะเสียหมดทุกข้อเป้าหมายทั้งห้าข้อไม่ใช่ความรู้ใหม่ หมอเหล็ง ศรีจันทร์และคณะเปลี่ยนแปลง
การปกครอง ร.ศ. ๑๓๐ และปัญญาชนสยามสมัยนั้นท่านก็รู้อย่างนี้ อาจารย์ปรีดี พนมยงค์และคณะราษฎร พ.ศ.๒๔๗๕ ท่านก็เสี่ยงชีวิตเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งเหล่านี้ จนถึง ดร.ทักษิณ ชินวัตร ตั้งพรรคไทยรักไทยขึ้นมา ก็เพราะมั่นใจอย่างนี้ ความใหม่ในวันนี้คือ ประชาชนท่านต้องการสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาจริงๆ แล้ว หมดสมัยของปัญญาชนคิดพิมพ์เขียวมานำเสนอให้ประชาชนเฮตามทั้งที่ไม่รู้ความหมายแล้วครับ วันนี้ปัญญาชนของฝ่ายประชาธิปไตยคือตัวประชาชนเอง
โดยมีอินเตอร์เน็ตและเทคโนโลยีสื่อสารสมัยใหม่เป็นเลขานุการให้กว่าสามปีที่ต่อสู้กับระบอบอำมาตยาธิปไตยมา ประชาชนก้าวหน้า แต่ปัญญาชนอุปถัมภ์ของอำมาตย์กลับถอยหลังลงคลอง จนล้าหลังเป็นอย่างยิ่ง
แล้วยังจะมาเรียกร้องขอเล่นบทบาทนำทางสังคมอีกล่ะหรือที่สุดแล้วคืออะไร?จุดยืนของฝ่ายประชาธิปไตยคือสู้กับระบอบอำมาตยาธิปไตยที่ไม่ได้มีแต่คุณเปรมคนเดียว สู้โดยสติปัญญาความสามารถโดยไม่ใช่เอาเลือดเข้าแลกก้าวย่างคือเตรียมแผ่นดินให้พร้อม เครือข่ายของอำมาตย์เขาก็เตรียมอยู่ต่อหลังฤดูผลัดใบเช่นกัน
เพราะเขาคิดว่าเขาเป็นเจ้าของสวนพฤกษชาติแห่งนี้ เตรียมเครื่องมืออย่างหลากหลายเพื่อกระทำภารกิจที่แตกต่างกันในแต่ละห้วงแต่ละสถานการณ์ และจุดสำคัญคือเมื่อถึงเวลาเดินก็ต้องเดิน ไม่ชวนวนอยู่กับที่เหมือนวัวพันหลักขอเรียนเสนอไว้ให้ฝ่ายประชาธิปไตยถกเถียงต่อไปด้วยใจเคารพ.
-------------------------------
หลังจากนั้นคือเวลาใคร่ครวญอย่างรอบคอบ ประเมินสถานการณ์ตามความเป็นจริง กำหนดจุดยืนและย่างก้าวของทั้งขบวนการต่อไป ไม่มีอะไรน่าห่วงกังวลเลยครับระบอบประชาธิปไตยอันแท้จริง ซึ่งเป็นธงของพวกเรา จะมีการวิพากษ์วิจารณ์ถกเถียงอย่างนี้อีกมากมายนัก ใครที่ไม่คุ้นเคยควรทำความคุ้นเคยไว้เสีย ระบอบการปกครองของไทยที่จะทำให้คนไทยเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ไม่ใช่กระซิบกันอย่างไพร่ๆ ว่าให้เงียบเสียง สังคมจะได้สงบสุขมั่นคง
แต่จะระดมเอาความคิดเห็นที่หลากหลายมาสู่เวทีถกเถียงที่ชอบธรรม ซึ่งแปลว่าประชาชนต้องมีส่วนร่วมก่อสร้างหรือส่งตัวแทนมาร่วมในเวทีนั้น และเมื่อถกเถียงได้ที่แล้วก็ต้องรู้จักหยุดเป็นห้วงๆ เพื่อลงมือปฏิบัติเราอยากได้รัฐสภาเช่นนั้นในอนาคต รัฐสภาที่เป็นตัวแทนของของอำนาจอธิปไตยในมือคนส่วนใหญ่ของประเทศ มีความยืดหยุ่นมากน้อยขึ้นลงได้ตามประชามติ
เป็นคณะกรรมการกำหนดนโยบายของประเทศที่ประคับประคองระหว่างอดีต ปัจจุบัน และอนาคต สามารถหาจุดสมดุลระหว่างความเป็นชาติกับความเป็นนานาชาติได้ แสวงหาผู้บริหารที่ดีที่สุดมาทำหน้าที่เดินงานบ้านเมือง
และมีขีดความสามารถสูงพอในการป้องกันตัวเองไม่ให้ถูกทำลายโดยการรัฐประหารโดยตรงหรือการรัฐประหารโดยอ้อม เช่น องค์กรอิสระ อำนาจตุลาการ นักวิชาการสายอำมาตย์ เป็นต้น ถ้าเราปรารถนาเช่นนั้น เราต้องทำขบวนการเสื้อแดงให้สะท้อนภาพนั้นเสียตั้งแต่บัดนี้มีผู้หวังดีถามกันมากว่า จักรภพเป็นอะไร ทำไมถึงเกิดขัดแย้งกันเอง
บางท่านหวังดีแต่มีอารมณ์ก็เลยไปถึงเรื่องผลประโยชน์ขัดกันหรือความอิจฉาริษยาแกนนำไปโน่นคำตอบทั้งหมดอยู่ในช่วงต้นของบทความนี้ครับไม่น้อยกว่านี้ ไม่มากกว่านี้แต่รัฐสภาอันแท้จริงที่ไม่ใช่หุ่นกระบอกของฝ่ายอำมาตยาธิปไตย ก็เป็นเพียงรูปธรรมอย่างหนึ่ง คำตอบที่ละเอียดขึ้นคือเป้าหมายที่แน่ชัดว่ารัฐสภาต้องเอื้ออำนวยให้เกิดผลต่างๆ เหล่านี้ครบถ้วน
๑. อำนาจอธิปไตยหรืออำนาจการเมืองสูงสุดที่ไม่มีอะไรสูงกว่า เป็นของปวงชนชาวไทย
๒. บ้านเมืองปกครองด้วยหลักกฎหมาย และด้วยตัวบทกฎหมายที่ปวงชนชาวไทยร่วมกำหนด ไม่ใช่ ด้วยกระบวนการฝ่ายอำมาตย์ที่แอบควบคุมสังคมไทยอยู่โดยอ้างคำว่ากฎหมาย
๓. ประชาชนต้องมีเสรีภาพ
๔. สังคมต้องมุ่งความเสมอภาค
๕. รัฐบาลและผู้ใช้อำนาจอธิปไตยแทนปวงชนชาวไทยในเงื่อนเวลาที่กำหนดไว้ เข้ามาได้ก็ต้องออกไปได้ ต้องมาจากการเลือกตั้ง
ซึ่งเป็นวิถีการมีส่วนร่วมของประชาชนที่ยังไม่มีอะไรดีกว่าสังคมเสื้อแดงและฝ่ายประชาธิปไตยควรหยุดถกเถียงและใคร่ครวญเป็นระยะๆ ว่า ทิศทางของเรานำไปสู่เป้าหมายใหญ่ทั้ง ๕ ข้อนี้หรือไม่ทั้งหมดนี้คือความละเอียดอ่อน
ขณะพูดต้องพูดตรง ไม่กำกวม ไม่ห่วงภาพลักษณ์ชื่อเสียงที่เป็นสิ่งไร้สาระ แต่ในขณะลงมือทำต้องมีศิลปะประคองตัว เพราะเราไม่ได้หาเสียงเลือกตั้งเพื่อเป็นรัฐบาลให้เขาเชือดทิ้งเหมือนรัฐบาลภายใต้นายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร สมัคร สุนทรเวช และสมชาย วงศ์สวัสดิ์ แต่เราต้องการตัวแทนประชาชนที่มีขีดความสามารถในการปกป้องตัวเองได้ชนะเลือกตั้งอย่างงดงาม
แล้วแพ้ในศึกชิงอำนาจรัฐ ได้ชื่อว่าเป็นรัฐบาลของราชอาณาจักรไทยแต่ไม่ได้อำนาจรัฐในการบริหารงานในราชอาณาจักรนั้น ถือว่าเปล่าประโยชน์เราจึงตั้งคำถามว่า การเคลื่อนไหวแต่ละครั้งของฝ่ายประชาธิปไตย ซึ่งมวลชนเข้าร่วมอย่างน่าปลื้มใจทุกครั้ง
เรามีข้อเรียกร้องที่ใหญ่พอและคุ้มค่าต่อความเหนื่อยกายและเหนื่อยใจของประชาชนหรือไม่เราเข้าใกล้เป้าหมายทั้ง ๕ ข้อนั้นมากขึ้นหรือไม่ถ้าไม่ แสดงว่ายุทธวิธีของเราอาจไม่ได้เป็นไปตามยุทธศาสตร์หลายท่านบอกผมว่าเราต้องแกล้งทำ ต้องลับลวงพราง และต้องใจเย็น ในใจของแต่ละท่านก็คือรอให้ธรรมชาติช่วยตัดสิน
แล้วทุกอย่างจะพลิกผันมาเข้าทางเราโดยอัตโนมัติผมต้องขอประทานโทษ-ผมไม่เชื่อสังคมไทยวันนี้ไม่ได้คลุมด้วยตาข่ายทางสังคมที่ประชาชนเป็นผู้ใหญ่และมีส่วนร่วมในการตัดสินชะตากรรมของตัวเอง แต่เป็นการครอบงำของสิ่งที่เรียกว่า “รัฐภายในรัฐ” นั่นคือมีรัฐบาลตัวจริงที่คอยชี้นำทิศทางของประเทศอยู่
และชี้นำทุกอย่างไปสู่การรักษาอำนาจอันล้นเหลือและความมั่งคั่งร่ำรวยที่อธิบายที่มาไม่ได้ของตัวเองและพวกเท่านั้นรัฐบาลที่ว่านี้ไม่เคยมาจากการเลือกตั้ง ไม่สนใจที่จะมาจากการเลือกตั้ง แต่เป็นรัฐบาลที่คอยล้มการเลือกตั้งของฝ่ายประชาธิปไตยและทำให้แน่ใจอยู่ตลอดเวลาว่าประชาชนจะไม่ได้เป็นใหญ่ และเป็นรัฐบาลที่เต็มไปด้วยความคั่งแค้นต่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.๒๔๗๕
จนต้องทำทุกอย่างเพื่อหมุนเข็มนาฬิกาของประเทศกลับไปก่อนหน้านั้นให้จงได้รัฐบาลนี้เขามีพวกมาก แผ่ซ่านไปในทุกวงการ ถ้าเป็นมะเร็งก็ระยะสุดท้าย ต้องหาทางเกิดใหม่อย่างเดียว ภารกิจหลักของรัฐบาลนี้คือการทำลายโครงสร้างของระบอบประชาธิปไตยถ้าเราขอความร่วมมือกับรัฐบาลที่ว่านี้ในการคืน
ประชาธิปไตยให้กับเรา ถ้าเขาไม่ใจร้อนฆ่าเราเสียเลย เขาก็อาจแสร้งว่าเห็นใจและโยนเศษเนื้อข้างเขียงมาให้ อาจจะเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีให้สักคน เพราะเรารุมกันประณามนายกรัฐมนตรีคนที่เขาเลือก อาจเปลี่ยนข้อความบางข้อในรัฐธรรมนูญให้เรารู้สึกหายใจโล่งขึ้น แต่ไม่ยอมแตะต้องส่วนสำคัญที่ทำให้เราอยู่ในสภาพน้ำใต้ศอกอยู่อย่างนี้ตั้งแต่ต้นแล้วเราก็จะไม่ได้แม้แต่ข้อแรก คืออำนาจอธิปไตยที่เป็นของปวงชนชาวไทย
ไม่ต้องหวังว่าจะได้รัฐบาลจากการเลือกตั้งที่มีอำนาจรัฐจริง มาอำนวยเสรีภาพและความเสมอภาคทางสังคมให้กับประชาชน และไม่ต้องหวังว่ากระบวนทางกฎหมายจะเป็นไปเพื่อฝ่ายประชาชนเพราะถ้าไม่ได้ข้อแรก เราก็จะเสียหมดทุกข้อเป้าหมายทั้งห้าข้อไม่ใช่ความรู้ใหม่ หมอเหล็ง ศรีจันทร์และคณะเปลี่ยนแปลง
การปกครอง ร.ศ. ๑๓๐ และปัญญาชนสยามสมัยนั้นท่านก็รู้อย่างนี้ อาจารย์ปรีดี พนมยงค์และคณะราษฎร พ.ศ.๒๔๗๕ ท่านก็เสี่ยงชีวิตเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งเหล่านี้ จนถึง ดร.ทักษิณ ชินวัตร ตั้งพรรคไทยรักไทยขึ้นมา ก็เพราะมั่นใจอย่างนี้ ความใหม่ในวันนี้คือ ประชาชนท่านต้องการสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาจริงๆ แล้ว หมดสมัยของปัญญาชนคิดพิมพ์เขียวมานำเสนอให้ประชาชนเฮตามทั้งที่ไม่รู้ความหมายแล้วครับ วันนี้ปัญญาชนของฝ่ายประชาธิปไตยคือตัวประชาชนเอง
โดยมีอินเตอร์เน็ตและเทคโนโลยีสื่อสารสมัยใหม่เป็นเลขานุการให้กว่าสามปีที่ต่อสู้กับระบอบอำมาตยาธิปไตยมา ประชาชนก้าวหน้า แต่ปัญญาชนอุปถัมภ์ของอำมาตย์กลับถอยหลังลงคลอง จนล้าหลังเป็นอย่างยิ่ง
แล้วยังจะมาเรียกร้องขอเล่นบทบาทนำทางสังคมอีกล่ะหรือที่สุดแล้วคืออะไร?จุดยืนของฝ่ายประชาธิปไตยคือสู้กับระบอบอำมาตยาธิปไตยที่ไม่ได้มีแต่คุณเปรมคนเดียว สู้โดยสติปัญญาความสามารถโดยไม่ใช่เอาเลือดเข้าแลกก้าวย่างคือเตรียมแผ่นดินให้พร้อม เครือข่ายของอำมาตย์เขาก็เตรียมอยู่ต่อหลังฤดูผลัดใบเช่นกัน
เพราะเขาคิดว่าเขาเป็นเจ้าของสวนพฤกษชาติแห่งนี้ เตรียมเครื่องมืออย่างหลากหลายเพื่อกระทำภารกิจที่แตกต่างกันในแต่ละห้วงแต่ละสถานการณ์ และจุดสำคัญคือเมื่อถึงเวลาเดินก็ต้องเดิน ไม่ชวนวนอยู่กับที่เหมือนวัวพันหลักขอเรียนเสนอไว้ให้ฝ่ายประชาธิปไตยถกเถียงต่อไปด้วยใจเคารพ.
-------------------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น