--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันจันทร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2552

สมชาย วงค์สวัสดิ์ เปิดบัญชีกรรม...จารึกแค้น


มติชน : สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดคิดแค้นบ้างไหม? “ลองคิดดูสิ… ผมก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน ไม่ใช่เป็นเทพหน้าเขียวๆ นี่”

ผมไม่ได้ตั้งใจทำความชั่ว ไม่ได้ตั้งใจเบียดเบียนผู้อื่น ไม่อยากมีศัตรู และไม่อยากสร้างเวรกรรมกับใคร” สมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี ตัดพ้อกับ “มติชน” ถึงชะตากรรมของตัวเองหลังพ้นวงโคจรอำนาจ หลังถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดกรณีสั่งสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย บริเวณหน้าอาคารรัฐสภา เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 พร้อมกับ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตรองนายกรัฐมนตรี พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีต ผบช.น.

ซึ่งทำให้วันนี้คนที่เป็นถึง “นายกรัฐมนตรี คนที่ 26″ ต้องตกอยู่ในสถานะของ “จำเลย” ที่ต้องคดีอาญา ทั้งๆ ที่เขายืนยันว่า “ไม่ได้ทำ”

แล้วถ้าเป็นอย่างนั้น… สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด มันมีต้นสายปลายเหตุมาจากอะไร ?
เขาต้องรับกรรมจากสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ทำจริงหรือ …หรือเป็นการรับเคราะห์แทนคนจากแดนไกล ?
จากบรรทัดนี้ไปมีคำตอบ …

หมดวาระนายกรัฐมนตรีแล้ว เคยคิดไหมว่าทำไมยังถูกเบียดเบียนอีก
การมีผู้อื่นเบียดเบียนมันแน่นอนอยู่แล้ว แต่เราก็ต้องทำใจว่าถ้าทำดีและบริสุทธิ์ใจก็ไม่ต้องไปวิตกกังวล ใครทำบาปก็ได้บาป ทำบุญก็ได้บุญ แต่เราจะเป็นคนรับเคราะห์จากความบาปตรงนั้นหรือเปล่า อันนี้ยังไม่รู้ ไม่ได้คิดจองเวรจองกรรมกับใคร มันก็ไม่น่าจะส่งผลให้ผมจะต้องถูกกระทำการอย่างเลวร้าย หรือถ้าเป็นไปจริงก็อาจจะเป็นกรรมเก่ามั้ง

แล้วรู้สึกเจ็บปวดไหม
เจ็บอยู่แล้ว ที่เจ็บ เพราะผมเคยเป็นศาลตัดสินคนอื่น รู้สึกเลยว่าเวลาผมตัดสินคดีไป เวลาอ่านคำตัดสินไปถ้าตรงตามคดี จำเลยจะไม่ปริปากเพราะสำนึกผิดในสิ่งที่ถูกลงโทษ ซึ่งมีน้อยคนที่ผิดแล้วจะมาโวยวายว่าไม่ผิด แต่ถ้าคนที่ไม่ได้ทำผิด แค่อ่านเรื่องเท้าความถึงการเบิกความตอนต้นมันจะเกิดปฏิกิริยาทำให้เรารู้ว่าไม่ใช่

สิ่งที่เกิดขึ้นมีคนตั้งใจทำให้ท่านต้องเจ็บ หรือต้องการให้เรื่องนี้ส่งสัญญาณความเจ็บไปถึงใคร
การที่คนไม่ได้รับความเป็นธรรมมันหนักกว่าต้องอดข้าวอดน้ำ หนักกว่าถูกตี ถูกทุบอีก ถ้าทะเลาะกันแล้วถูกทำร้ายก็จบกันไป แต่ความรู้สึกของการไม่ได้รับความเป็นธรรม ไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นกลางนั้นมันเป็นความรู้สึกที่สุดแสนจะบรรยาย

เพราะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับคนในตระกูลชินวัตรหรือไม่ ถึงต้องเจอกับปัญหาแบบนี้
มันไม่เกี่ยวกันหรอก ไม่ว่าใครจะยุ่งกะใคร ไอ้คนรักษาความเป็นกลางมันก็ต้องเป็นกลาง ถ้าคิดว่าเพราะผมไปยุ่งกับตระกูลชินวัตรแล้วผมต้องโดน อย่างนี้แปลว่าบ้านเมืองก็ไม่มีความเป็นกลางสิ ไม่มีการบังคับใช้กฎหมายเป็นมาตรฐานเดียวสิ ถ้าผมอยู่ในตระกูลชินวัตรแต่ไม่ได้ทำความผิดแปลว่าผมต้องผิดหรือ มันไม่ใช่ แต่มันต้องมีสปิริตและวิญญาณของผู้ทรงความเป็นกลางและเป็นธรรม และตระกูลนี้มันต้องเลวทั้งโคตร ตลอดเวลาการทำหน้าที่ของผมก็ตั้งใจทำงานตามหน้าที่ ซึ่งมันไม่เกี่ยวกับชินวัตร หรือไม่ชินวัตรหรอก
มองจุดผิดพลาดของตัวเองในเหตุการณ์ 7 ตุลาคม 2551 อยู่ตรงไหน

ผมไม่มีพลาดตรงไหน …ข้อหาที่ผมได้รับคือ 1.เรียกประชุม ครม.แล้วมีมติให้สลายการชุมนุม 2.ให้คนนำมติ ครม.ไปให้ตำรวจเพื่อดำเนินการปฏิบัติการสลายการชุมนุม 3.ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ไม่ห้ามตำรวจมิให้ยิงแก๊สน้ำตาเพื่อทำร้ายประชาชน ซึ่งมติ ครม. ที่ประชุมกันวันที่ 6 ตุลาคม นั้นผมได้เชิญประชุม ครม.แล้วก็แจ้งให้ทราบว่าบัดนี้มีผู้มาล้อมสภาทั้งที่สภาอยู่เฉยๆ แต่จู่ๆ กลับมีคนมาล้อมไม่ให้เข้าไปทำงาน ซึ่งก็มีรัฐมนตรีฝ่ายหนึ่งบอกว่าเราต้องย้ายที่ประชุมเพื่อไม่ให้ทะเลาะกันหรือเลื่อนวันประชุมออกไป ก็เลยสั่งให้ท่านชูศักดิ์ (ศิรินิล เลขาธิการนายกรัฐมนตรี) โทรศัพท์ไปหาท่านชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎรว่าจะเลื่อนหรือย้ายที่ประชุมดีกว่าไหม ซึ่งท่านชัยบอกว่า สภามีไว้สำหรับประชุมสมาชิก ไม่สามารถย้ายไปประชุมที่อื่นได้ และยังไม่สามารถเลื่อนการประชุมได้ ต้องรอให้ถึงวันพรุ่งนี้ก่อน จึงสรุปเป็นมติของ ครม.ว่า

วันพรุ่งนี้ (7 ตุลาคม) ให้รอดูว่าเข้าไปในสภาได้หรือไม่ ถ้าเข้าไปไม่ได้ก็ให้รอฟังประธานสภาจะว่าอย่างไร พร้อมกับมีมติให้ พล.อ.ชวลิต (ยงใจยุทธ รองนายกรัฐมนตรี) เป็นผู้ไปดูแลสถานการณ์ความสงบเรียบร้อย
ลองไปอ่านมติ ครม.สิ มันมีตรงไหนที่สั่งให้สลายการชุมนุม นี่แปลว่าผมได้รับข้อหาที่ไม่ตรงกับสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วก็ไม่มีใครจะเอามติ ครม.นี้ไปให้ตำรวจ ไม่มีใครหรอกที่ถือมติ ครม. เป็นคำสั่งให้สลายการชุมนุม มันเป็นไปไม่ได้ ส่วนที่ว่าผมไม่ห้ามให้ตำรวจยิงแก๊สน้ำตานั้น เข้าใจกันหรือไม่ว่าคนเป็นนายกฯ กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาตินั้นมีหน้าที่ให้นโยบายในการทำงาน การพัฒนาสำนักงานตำรวจฯ นโยบายเพิ่มอัตราเพื่อให้เพียงพอกับความเป็นอยู่ของประชาชน จัดงบประมาณ สรรหาวัสดุอุปกรณ์และอาวุธยุทโธปกรณ์

ส่วนการปฏิบัติการสั่งให้จับกุมคนร้ายนั่นเป็นไปตาม พ.ร.บ.ตำรวจ ที่ให้อำนาจไว้ ซึ่ง ผบ.ตร.มีอำนาจดำเนินการรักษาความสงบเรียบร้อย นายกฯไม่มีอำนาจไปสั่งให้จับใครได้หรือสั่งสลายม็อบได้ แล้ววันนั้นผมก็ยังไม่ได้ให้นโยบายตำรวจเพราะยังไม่ได้แถลงนโยบายต่อสภา หรือถ้าจะให้นโยบายก็ไม่เกี่ยวกับการสลายม็อบหรือปราบคน เพราะไอ้คนที่มาอย่างนั้นมันผิดกฎหมายและตำรวจก็ต้องดำเนินการอยู่แล้ว
ในคืนนั้นได้ให้คนโทรศัพท์ไปเชิญ พล.ต.อ.พัชรวาท มาให้ข้อมูลกับ ครม. แต่เผอิญวันนั้นผมไปสาย พล.อ.ชวลิต กับ พล.ต.สนั่น (ขจรประศาสน์) ก็บอกว่าคุยกันแล้วไม่มีอะไร เลยให้กลับไปรักษาความสงบเรียบร้อย ผมก็โอเค ไม่มีปัญหา นั่นเป็นสิ่งที่ได้พูดกับตำรวจ วันรุ่งขึ้นผมก็ไปที่สภา รู้ว่ามีการใช้แก๊สน้ำตา แล้วผมจะห้ามได้อย่างไร เพราะเลิกประชุม ครม. ก็ไปนอนอยู่บ้าน ไม่มีโอกาสรู้ว่าเขาทำอะไรกัน ถึงรู้ก็สั่งอะไรไม่ได้ เพราะตำรวจทำงานเฉพาะหน้า มีนายกฯคนไหนได้รับรายงานการสั่งยิง มีหรือไม่ วันนั้นพวกที่มาชุมนุมก็มีคนใช้ปืน ใช้ระเบิด อะไรต่อมิอะไร

พอเข้าสภา แถลงนโยบายเสร็จ เขาบอกว่าท่านนายกฯต้องรีบหนีแล้วเพราะเขาจะบุกเข้ามา บอกว่าจะฆ่ามัน ตำรวจก็จะใช้แก๊สน้ำตาเปิดทางให้ออกข้างหน้า ผมบอกว่าไม่ต้องใช้ ห้ามใช้แก๊สน้ำตา ตำรวจก็บอกว่ามีวิธีเดียวคือปีนหนีออกจากทางด้านหลัง ผมก็บอกว่าโอเค ไปพาดบันไดปีนหนีกัน ผมยอมเสียศักดิ์ศรีความเป็นนายกรัฐมนตรีที่มีอำนาจสั่งการได้ เพราะผมจะออกนอกสภา แต่มีคนมาล้อมไว้ คุณมีความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังคนอื่นนะ แต่เพื่อไม่ให้มีเรื่อง ผมก็ปีนหนีไปพระที่นั่งวิมานเมฆ คนในพระที่นั่งบอกว่าท่านนายกฯอยู่ที่นี่ไม่ได้ เพราะเขาล้อมจะเข้ามาทำร้ายแล้ว พระที่นั่งจะเสียหายไปด้วย ก็ต้องประสานขออนุญาตเอาเฮลิคอปเตอร์มารับ พอออกไปได้ก็ไปประชุมร่วมกับทหารและกระทรวงการต่างประเทศ เรื่องชายแดนกัมพูชาต่อ จนเย็นก็ได้ข่าวทีหลังว่า ส.ส.กับรัฐมนตรีออกจากสภาไม่ได้ จนตำรวจต้องใช้แก๊สน้ำตาอีกครั้ง แล้วผมจะไปนั่งห้ามตำรวจไม่ให้ใช้แก๊สน้ำตาได้อย่างไร

คิดว่าสาเหตุที่โดนชี้มูลความผิดครั้งนี้จริงๆ แล้วคืออะไร
ไม่รู้…ก็ผมไม่ได้ทำอะไรผิดนี่ แต่เมื่อตกเป็นผู้ต้องหา ผมก็ไม่ใช่คนโง่เง่าเต่าตุ่นอะไร เพราะเป็นผู้พิพากษามา 20 กว่าปี รู้สิทธิของจำเลยและผู้ต้องหาว่ามีแค่ไหน พอเห็นข้อหาที่ตั้งมา…เราก็ เฮ้ย! มันไม่ถูก คือถ้าคุณจะดำเนินคดี จับกุม คุมขังใคร กฎหมายเขียนไว้ชัดว่าจะต้องมีหลักฐานเพียงพอที่จะดำเนินคดีได้ ผมจึงขอตรวจพยานหลักฐานตามกฎหมายรัฐธรรมนูญมาตรา 40 (2) ว่าใช้หลักฐานอะไรในการกล่าวหา ท่านก็บอกว่าไม่ได้ ผมจึงร้องต่อคณะกรรมการข้อมูลข่าวสาร เพื่อขอให้ ป.ป.ช.เปิดข้อมูล ก็ไม่ส่งให้ อ้างเป็นความลับ แต่คณะกรรมการข้อมูลข่าวสารก็แจ้งเป็นหนังสือให้มาให้ถ้อยคำ เขาก็บอกว่าจะส่งให้วันที่ 15 สิงหาคม แต่พอถึงวันก็ไม่ส่ง คณะกรรมการข้อมูลข่าวสารก็ให้ประธาน ป.ป.ช.มาให้ถ้อยคำวันที่ 8 กันยายน แต่ปรากฏว่า ป.ป.ช.นัดชี้มูลวันที่ 7 กันยายน ผมก็เลยไปฟ้องศาลปกครองว่าการนัดชี้มูลไม่ถูกต้อง เพราะผมไม่ได้มีสิทธิแก้ข้อกล่าวหาสมบูรณ์ ผมได้รับการปฏิบัติในการดำเนินคดีไม่สมบูรณ์ ทำให้การสอบสวนน่าจะไม่ชอบ

คิดว่าคดีนี้มีจุดที่เลวร้ายที่สุดอยู่ที่ตรงไหน
มันก็เลวร้ายอยู่แล้วแหละตรงนี้ (ยิ้มเครียดๆ)
ติดว่าการต่อสู้ครั้งนี้มีความหวังไหม

ผมก็ต้องต่อสู้ต่อไป เพราะผมยังไม่ได้ทำอะไรเลย ไอ้ที่คนบาดเจ็บก็เห็นอยู่ ศาลปกครองก็ชี้ว่าผู้ชุมนุมมีอาวุธ ในจอโทรทัศน์ก็เห็นอยู่ แล้วหลังเกิดเหตุผมไปเยี่ยมตำรวจ 60 กว่าที่คนได้รับบาดเจ็บสาหัสถูกอาวุธ ถูกยิง นี่หรือการชุมนุมโดยสงบ ไม่รุนแรง นี่หรือที่ว่าตำรวจไปดำเนินการแล้วตำรวจต้องมีความผิด ผมเห็นใจตำรวจนะ ถ้าไม่ทำก็จะถูกฟ้องละเว้นการปฏิบัติหน้าที่อีก คนจะฆ่ากันทำไมไม่ไปดู คนจะฆ่าตำรวจ คุณอยู่เฉยๆ หรือ แล้วต่อไปตำรวจจะทำงานได้อย่างไร ผมเป็นนายกรัฐมนตรี ท่านพัชรวาท (วงษ์สุวรรณ) เป็น ผบ.ตร. มีหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง เมื่อไปแตะต้องกลุ่มคนที่ถือว่าเป็นโจร มีอาวุธแล้วมีความผิด บ้านเมืองจะอยู่ได้อย่างไร คิดแบบคอมมอนเซนส์ คิดแบบแม่ค้า ไม่ต้องเป็นนักกฎหมายหรอก แล้วถ้าต่อไปมีคนไปล้อมกรอบจะทำร้าย ป.ป.ช. ตำรวจบอกผมไม่ไปหรอก ถ้าไปผมก็โดนแล้วจะทำอย่างไร

ตอนนี้มีอดีตนายกฯ 2 คนโดนคดีอาญาและอาจจะต้องติดคุก

นั่นสิ เพราะอะไรล่ะ…ที่เล่ามาทั้งหมด คือความเป็นธรรมมันคลอนแคลน

มีแนวร่วมในการต่อสู้ครั้งนี้บ้างหรือไม่

ผมก็สู้ไปตามวิถีทางตามกฎหมาย ผมไม่มีกองกำลังที่ไหนมาสู้กับใคร

เสื้อแดงเป็นกองกำลังและแนวร่วมในการช่วยเหลือได้เปล่า

เสื้อแดงเกี่ยวอะไรกับผม (ย้อนเสียงสูง)…จะมาช่วยอะไรผมได้ สำหรับเรื่องมวลชนก็โอเคเพราะเดี๋ยวนี้คนก็ไม่เห็นด้วยกับคำสั่งของ ป.ป.ช.เยอะ แต่ก็ไม่ใช่ว่าเพราะเขารักผม แต่เป็นเพราะเห็นความไม่เป็นธรรม ไม่ใช่ว่าผมจะต้องให้เขาทำอะไร

ไม่กี่วันนี้ก็เหตุปาระเบิดบ้าน ป.ป.ช. ซึ่งคนก็คิดว่าเชื่อมโยงกับการชี้มูลคดีนี้
จะคิดเชื่อมโยงอะไรก็ได้ แต่อย่ามายุ่งกับผม เพราะผมไม่ทำร้ายใคร ผมสู้ตามวิถีทางกฎหมายไปเรื่อย
จะมีคนที่รักท่านแล้วไปทำการอะไรบางอย่างแทนหรือไม่
ผมจะรู้ไหมนั่น ! (หัวเราะขื่นๆ)

ในทางการเมืองเหมือนถูกทิ้งให้สู้โดดเดี่ยว
ไม่มีใครทิ้งผมหรอก แต่กระบวนการมันยังไม่จบ ถ้าได้ฟังผมจนจบหรือยอมให้ผมสู้จนจบ มันอาจจะออกมาอีกแบบหนึ่งก็ได้ ผมไม่ได้บอกว่าท่านมีอคติกับผมร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ยังไม่ได้ฟังสิ่งที่ผมจะนำเสนอตามกฎหมายให้หมดสิ้นกระบวนการ สิ่งที่เกิดขึ้นเผอิญว่าคนบังคับใช้กฎหมายไม่ค่อยปฏิบัติให้ตรงตามกฎหมายสิ่งที่ผมได้รับไม่เป็นไปตามกติกา ผมก็ต้องสู้

วิจารณ์กันว่า นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ซึ่งเป็นน้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ มีส่วนสำคัญที่ทำให้ได้ขึ้นเป็นนายกฯและต้องพบกับชะตากรรมแบบนี้

ผมเป็นตัวผมเอง ตอนเป็นนายกฯก็ไม่มีใครบังคับให้เป็น และเมื่อมีอะไรเกิดขึ้นผมก็ไม่โทษใคร
เป็นเพราะคนอื่นเดิมเกมผิดจนต้องร่วงหล่นจากอำนาจหรือไม่
ไม่มี…ผมตัดสินใจผมเองทุกอย่างแหละ เวลาทำงาน ไม่มีใครมาบงการ

กลัวการติดคุกไหม
คนทำผิด เขาไม่กลัวติด เพราะผิดก็ต้องติดไม่เป็นไร แต่คนไม่ทำผิด ถามว่ามันควรติดหรือไม่
ได้เป็นนายกฯ 67 วันถือว่าคุ้มค่าหรือไม่กับสิ่งที่ต้องเจอหรือไม่

ไม่ใช่ว่าคุ้มหรือไม่คุ้ม แต่นั่นเป็นวิถีชีวิตที่มันต้องเดินไป ตอนผมเป็นนายกฯก็ไม่มีปัญหา แต่มีคนอันธพาลเข้ามาถ้าผมพูดอย่างนี้อาจจะบอกว่าแรงไป แล้วมันใช่หรือไม่ ยึดทำเนียบฯอยู่ ทำผิดกฎหมายเป็นร้อยๆ วันแล้วไปยึดสภา เหมือนห้ามไม่ให้เร้าเข้าบ้านเรา อย่างนี้มันอันธพาลไหม
เหตุการณ์ 7 ตุลาคมถือว่าอัปยศที่สุดในชีวิตแล้วหรือไม่

ไม่ใช่ (พูดเน้นเสียง) ที่โดนแบบนี้เพราะอะไร เพราะผมทำชั่วหรือเพราะความไม่เป็นธรรม เพราะผมทำหรือเพราะคนอื่นทำ ไม่ใช่โดนเพราะผมชั่วนี่ เพื่อนผมบอกว่ามันเป็นวิบากกรรม ผมก็อือ… ถ้าผมทำกรรมก็ต้องรับกรรม แล้วถ้าผมไม่ได้ทำกรรม…ผมจะต้องมารับกรรมไหม

มองว่าเป็นการรับกรรมแทน พ.ต.ท.ทักษิณ
คือ… ทำไมมันมาตกที่ผม ผมไม่ได้ทำ…แต่ใครเป็นคนทำก็ไม่รู้ (หัวเราะ )
สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดคิดแค้นบ้างไหม

ลองคิดดูสิ (ตอบสวนทันที มือที่กุมที่พักแขนเริ่มเกร็ง) ผมก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน ไม่ใช่เป็นเทพหน้าเขียวๆ นี่
แค้นใครบ้าง

ไม่หรอก ใครทำกรรมอะไรก็รับไป (พูดช้าๆ) ผมไม่จองเวรจองกรรมใครทั้งนั้น ถามว่าความแค้นความโกรธผมสลัดออกไป เพราะความโกรธฆ่าผู้โกรธ ผู้ถูกโกรธไม่ได้ถูกทำลายจิตใจไปด้วย เราจึงต้องทำใจเป็นปกติ ต่อสู้ด้วยสติ

จดชื่อคนที่แค้นลงบัญชีดำไว้เลยหรือไม่

หึ หึ (ไม่มีคำตอบ)

มีบัญชีแค้นหรือยัง
บัญชีอยู่ที่ยมบาล (เสียงต่ำ) ไม่ได้อยู่ที่ผม (หัวเราะเบาๆ) เพราะผมไม่ได้ทำอะไรใคร
ทั้งหมดแสดงให้เห็นว่ามีความคับแค้นซ่อนอยู่จนต้องลุกขึ้นมาสู้

ผมต้องสู้ต่อไป ทั้งหมดที่ผ่านมายังเป็นแค่เบื้องต้น ป.ป.ช.ไม่ได้ตัดสินว่าผมต้องมีความผิดในขั้นสุดท้าย ผมยังคิดว่าความยุติธรรมยังมีอยู่ คนเรามีอายุ ผมก็ 60 กว่าแล้วอีกไม่กี่ปีก็ตายแล้ว ไม่มีอะไรต้องกลัว
บางคนตายเพราะอยู่ฝ่ายชนะ แต่บางคนต้องตายอยู่กับฝ่ายพ่ายแพ้

ตายฝ่ายไหนกรรมก็ถูกจดกรรมเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าผมถูกทำแบบนี้แล้วจะแพ้ พระเยซูถูกตรึงไม้กางเขนจนต้องตายเหมือนจะเป็นฝ่ายแพ้ แต่สุดท้ายก็ชนะใจคนทั้งโลก ดังนั้น ถึงผมจะไปฆ่าคนคนนี้ตายแล้วต่อไปผมก็ตายพร้อมกับความชนะ มันก็ไม่มีประโยชน์

ประเมินว่าการต่อสู้ครั้งนี้จะมีโอกาสชนะบ้างไหม
การต่อสู้ด้วยความที่รู้สึกว่าผมบริสุทธิ์ จึงหวังว่าในอนาคตจะต้องหวังพึ่งความยุติธรรม เพราะในช่วงที่ผมเป็นปลัดกระทรวงได้แก้กฎหมายเพิ่มเงินเดือนให้ผู้พิพากษา เพราะต้องการให้ท่านอยู่อย่างสบายไม่ต้องดิ้นรนต่อสู้กับสถานะทางเศรษฐกิจ แม้จะไม่ร่ำรวยแต่ก็อยู่ได้โดยไม่เดือดร้อน ผมจึงมั่นใจว่าศาลยังมีความเป็นธรรมเสมอต้นเสมอปลาย เพราะท่านไม่จำเป็นต้องมาทำอะไรเพื่อหาผลประโยชน์อีก
ไม่กลัวเรื่องตุลาการภิวัตน์หรือ

มันไม่มีหรอก ตุลาการภิวัตน์น่ะ ตุลาการก็คือตุลาการ ผมก็เคยเป็นตุลาการคือผู้ทรงความเป็นธรรมและอยู่เป็นกลางแค่นั้น ถ้าจะภิวัตน์ก็ต้องเป็นกลางและเคร่งครัดขึ้น ซึ่งผมมั่นใจว่าทุกคนต้องเป็นกลาง คำว่าตุลาการภิวัตน์ผมไม่เข้าใจ มันมีแต่ประเทศเราเหรอ ตุลาการต้องเคร่งครัดไม่มายุ่งกับการเมือง ไม่มายุ่งกับอะไรทั้งนั้น ต้องอยู่ตรงกลางอย่างเดียว ถ้าการเมืองทะเลาะกันถึงให้ศาลตัดสิน

ก็ไม่ใช่เพราะกระบวนการดังว่าหรือถึงทำให้นักการเมืองต้องออกมานั่งตบยุงกัน
ก็วิเคราะห์ดูว่ามันเป็นอย่างไรล่ะ เพราะอะไร มันจะมาภิวัตน์ทำไม ถ้าภิวัตน์แล้วมีปัญหา อยู่เฉยๆ แหละดีแล้ว

พล.ต.อ.พัชรวาทมีโอกาสเป็นแนวร่วมมุมกลับกับพรรคเพื่อไทยได้หรือไม่
มันไม่ต้องมาพูดว่าเป็นแนวร่วมมุมกลับอะไรหรอก ผมว่าท่านก็ไม่ได้รับความเป็นธรรมเหมือนกัน ก็ต่อสู้ไปมีอะไรก็ปรึกษาหารือกันได้ เป็นเรื่องธรรมดา แต่ตอนหลังยังไม่ได้คุยกันเลย ผมกำลังยุ่ง ท่านเองก็คงหัวปั่นอยู่มั้ง (หัวเราะ) ผมเองก็เห็นใจนะ ข้าราชการถ้าถูกบีบคั้น ไม่ได้รับความเป็นธรรมก็อึดอัด ผมเข้าใจเพราะเคยเป็นทั้งข้าราชการและนักการเมืองมาก่อน เข้าใจมุมมองเรื่องเหล่านี้ดี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น