--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพุธที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2553

ถอดรหัสวาทกรรม "ก่อการร้าย" สัญญาณความรุนแรงรอบใหม่

เรื่องจะจบเร็วๆ นี้ ยกที่ 1 กำลังจะจบ และกำลังจะไปสู่ยกที่ 2 มีความพยายามสร้างความชอบธรรมกับความสูญเสียที่จะเกิดขึ้น"
เป็นคำกล่าวของ รศ.ดร.มารค ตามไท นักวิชาการรุ่นใหญ่จากมหาวิทยาลัยพายัพ ที่คาดการณ์สถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้อย่างตรงไปตรงมาและแหลมคม

เป็นการคาดการณ์ที่ทำเอาวงเสวนา "ท้าทายสันติวิธีภายใต้สภาวะการแบ่งฝ่าย" ที่ศูนย์ศึกษาสันติภาพและความขัดแย้ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งประกอบด้วยนักสันติวิธี อาสาสมัครเพื่อนรับฟัง อาสาสมัครสันติอาสาสักขีพยาน นักวิชาการ และสื่อมวลชน 2 สำนัก รวมๆ ประมาณ 20 ชีวิตอยู่ในอาการเงียบกริบ

เป็นความเงียบที่ไม่มีใครปฏิเสธ เพราะสภาพการณ์ที่เห็นและเป็นอยู่ส่อให้เห็นว่าแนวโน้มของสถานการณ์มีโอกาสสูงที่จะเดินไปสู่จุดนั้น โดยเฉพาะเกมของฝ่ายผู้ถืออำนาจรัฐหลังเหตุการณ์ 10 เมษาฯ วิปโยค ที่ระดมใช้สื่อทุกแขนงในมืออธิบายเรื่องราวผ่านคลิปวีดิโอ สกู๊ปข่าว และตั้งวงสนทนาหน้ากล้อง เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับตนเอง

แต่คำถามที่ฝ่ายผู้ถืออำนาจรัฐต้องตอบ แต่ยังไม่มีคำตอบก็คือ ความพยายามสร้างความชอบธรรมนั้นดำเนินไปเฉพาะกับเหตุการณ์เมื่อวันที่ 10 เมษาฯซึ่งผ่านพ้นไปแล้ว หรือกำลังต้องการสร้างความชอบธรรมกับการใช้ความรุนแรงและความสูญเสียรอบใหม่ ท่ามกลางเสียงเชียร์จากหลากหลายฝ่ายให้จัดการปัญหาการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงด้วยความ "เด็ดขาด" เสียที

อาจารย์มารค เรียกความรุนแรงรอบใหม่ที่เชื่อว่าน่าจะเกิดขึ้นในเร็ววันนี้ว่า "ยกที่ 2"

"ประเด็นขณะนี้ไม่ใช่เรื่องยุบสภา ลาออก หรือการเจรจา แต่เป็นเรื่องที่ว่า 'ใครคือคนเรียกร้อง' ไม่ใช่เรื่อง Issue (ประเด็นข้อเรียกร้อง) อีกต่อไป แต่เป็นเรื่องบุคคลหรือกลุ่มคน เช่น ถ้าเป็นกลุ่มโน้นกลุ่มนี้เรียกร้อง อาจจะรับฟัง แต่ถ้าเป็นกลุ่มนี้ไม่รับฟัง และเมื่อประเด็นมันเปลี่ยนเป็นเรื่องกลุ่ม ความชัดเจนก็กำลังจะเกิดขึ้น"

อาจารย์มารค ชี้ว่า งานสันติวิธีในยกที่ 2 เป็นเรื่องยาก เพราะเป็นการช่วงชิงอนาคตของประเทศ สันติวิธีอาจจะห้ามไม่ได้ ความสูญเสียจึงอยู่ที่การจัดการว่าจะทำได้ขนาดไหน อย่างไร เพราะความขัดแย้งบางลักษณะอาจไม่มีคนอยู่ตรงกลางได้ ขณะที่การบังคับใช้กฎหมายของฝ่ายรัฐจะมีความชอบธรรมเมื่อบังคับได้อย่างมีประสิทธิภาพระดับหนึ่ง

นักวิชาการชื่อดัง ยังให้ทัศนะว่า วาทกรรมเพื่อสร้างความชอบธรรมที่จะทำให้เกิดการสูญเสีย อาจเป็นการสร้างความกลัวหรือเกลียดก็ได้ และตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือวาทกรรมว่าด้วย "การก่อการร้าย"

"คำว่าก่อการร้ายไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่มันโยงกับความพยายามบางอย่าง กฎหมายบางอย่าง และเพื่ออะไรบางอย่าง"
แนวทางป้องกันไม่ให้ความสูญเสียในยกที่ 2 เกิดขึ้น อาจารย์มารค เสนอว่า ให้สังคมช่วยกันเริ่มยกที่ 2 ไปเลย นั่นคือให้คู่ขัดแย้งแต่ละฝ่ายเปิดตัวออกมาให้ชัดว่าคิดอย่างไร มีเป้าหมายอย่างไร ถ้าทำได้จะทำให้ความกลัวของสังคมลดลง ซึ่งตรงนี้ถือเป็นบทบาทของสื่อ

ยกตัวอย่างเช่น มีการกล่าวหาว่าอีกฝ่ายต้องการล้มสถาบัน อาจจะต้องเปิดเวทีให้พูดกันว่าแท้ที่จริงแล้วมีการเรียกร้องอย่างนั้นจริงหรือไม่ ซึ่งจะทำให้เข้าใจกันมากขึ้นว่าจุดยืนจริงๆ ของแต่ละฝ่ายอาจจะไม่ได้ไปไกลขนาดที่คิดกันก็ได้

แต่ถึงที่สุด ไม่ว่าบทสรุปสุดท้ายของสถานการณ์จะเป็นอย่างไร อาจารย์มารค ฝากเตือนเอาไว้กลายๆ ว่า ความเป็นปกติสุขในสังคมไทยในอนาคตจะไม่เหมือนกับในอดีตอีกแล้ว

ในวงเสวนาเดียวกัน ยังมีความเห็นจาก ศ.ดร.ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในฐานะนักสันติวิธีชื่อก้อง โดยเขาเสนอทางออกในระยะสั้นเพื่อป้องกันความรุนแรงและความสูญเสียใน "ยกที่ 2" ว่า การเผชิญหน้ากันบนถนนมีความเสี่ยงสูงมาก ฉะนั้นลำดับแรกต้องย้ายพื้นที่จากถนนไปใช้พื้นที่อื่น หรือพื้นที่ทางการเมืองที่จะทำให้มีการเจรจาต่อรองกันได้

ขณะที่ จิราภรณ์ บุนนาค อดีตรองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) มองว่า เท่าที่ได้พูดคุยกับนายทหารระดับสูง ยังคงได้รับการยืนยันว่าจะไม่มีการใช้ความรุนแรง เป็นคำพูดที่รับประกันด้วยศักดิ์ศรีของทหาร แต่จะเน้นการจัดการตามกฎหมายให้มากที่สุด

อย่างไรก็ดี จิราภรณ์ เห็นว่า สิ่งที่น่ากลัว ณ เวลานี้คือการปะทะกันระหว่างประชาชนด้วยกันเอง...

หรือนั่นจะเป็น "ยกที่ 2" ที่ทุกคนหวั่นกลัว!

ผลเจรจา 2 ฝ่าย ปชป.ติดเงื่อนไขยุบพรรค

อันที่จริงในสถานการณ์เผชิญหน้าระหว่าง "ทหาร" กับ "กลุ่มคนเสื้อแดง" ซึ่งสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดความรุนแรงรอบใหม่ได้ทุกเมื่อนั้น ความพยายามที่จะเปิดการเจรจาไม่รู้รอบที่เท่าไร ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง

และกลไกหนึ่งที่ดำเนินกระบวนการคืบหน้าไปมากพอสมควร ก็คือคณะทำงานด้านสันติวิธีชุดหนึ่งซึ่งเป็นที่รวมของกลุ่มนักวิชาการกับอดีตข้าราชการระดับสูง

คณะทำงานชุดนี้ได้นัดแกนนำที่เป็นคู่ขัดแย้ง คืออดีตแกนนำพรรคไทยรักไทยซึ่งเป็นแกนนำของกลุ่มคนเสื้อแดงด้วย กับบุคคลระดับนำของพรรคประชาธิปัตย์ มานั่งคุยกันได้ถึงสามรอบแล้ว

แม้ผลของการพูดคุยยังไม่ได้ข้อยุติในประเด็นใหญ่ๆ แต่ก็ถือว่าเป็น "สัญญาณที่ดี" ท่ามกลางสถานการณ์ร้อน
ท่าทีของทั้งสองฝ่ายมีทั้งที่เห็นพ้องกันและเห็นต่างกัน รวมถึงข้อจำกัดในการกระทำหรือไม่กระทำในบางข้อเสนอด้วย ซึ่งพอสรุปได้ดังนี้

1. ทั้งสองฝ่ายไม่มีใครอยากให้เกิดความรุนแรงขึ้นอีก มีการพูดกันเรื่องสันติวิธี แต่ก็ย้ำเตือนกันว่า วินัยในการใช้สันติวิธีบางรูปแบบก็มีความสำคัญ

2. มีการพูดกันถึงข้อเรียกร้องของฝ่ายผู้ชุมนุมให้รัฐบาลเลิกการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ (การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง โดยอาศัยอำนาจตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548) ขณะที่ฝ่ายรัฐก็ขอให้ผู้ชุมนุมคืนพื้นที่ที่สี่แยกราชประสงค์ แต่ยังไม่มีข้อยุติ

ประเด็นนี้ แกนนำพรรคประชาธิปัตย์ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า นายกรัฐมนตรีเหมือนถูกโดดเดี่ยวและถูกกดดันจากทุกฝ่าย นายกฯ เคยถูกขู่ฆ่า เคยถูกทุบรถที่กระทรวงมหาดไทย (เหตุการณ์สงกรานต์เลือดเมื่อปีที่แล้ว) จึงยากที่จะยอมให้ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ หากไม่มีหลักประกันที่ดีพอ

3. มีการให้ข้อมูลว่า ผู้ชุมนุมส่วนใหญ่มองข้ามเรื่อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีไปแล้ว การมาร่วมชุมนุมของประชาชนส่วนใหญ่เป็นเพราะมาร่วมแล้วรู้สึกมีคุณค่า ปัญหาของตัวเองได้รับการรับฟัง

4. มีการเสนอให้ฝ่ายคนเสื้อแดงไปเยี่ยมทหารที่ได้รับบาดเจ็บ ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลก็ไปเยี่ยมคนเสื้อแดงที่ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน แต่ทั้งสองฝ่ายยังไม่เห็นพ้อง เนื่องจากเกรงผลกระทบที่จะตามมา

5. ฝ่ายคนเสื้อแดงพูดกันถึงวาทกรรม "ก่อการร้าย" ที่ฝ่ายรัฐบาลใช้ ซึ่งทำให้คนเสื้อแดงไม่พอใจ และผู้ชุมนุมส่วนใหญ่รู้สึกสะท้อนใจที่กล่าวหากันเกินไป

6. ฝ่ายประชาธิปัตย์พูดถึงเงื่อนไขการยุบสภา โดยแสดงความเป็นห่วงเรื่องคดียุบพรรค เพราะเมื่อพิจารณาจากคดีของพรรคการเมืองอื่นๆ ที่ผ่านมาจะตัดสินภายใน 3-5 เดือน ฉะนั้นการยุบสภาต้องพิจารณาในมุมที่เป็นไปได้สำหรับพรรคประชาธิปัตย์ด้วย เนื่องจากถ้าพรรคถูกยุบขณะกำลังหาเสียงเลือกตั้งอยู่ พรรคประชาธิปัตย์จะทำอย่างไร

ทั้งหมดนี้เป็นเงื่อนไขและข้อจำกัดของแต่ละฝ่าย ซึ่งคณะทำงานด้านสันติวิธีกำลังเสนอให้คู่ขัดแย้งพยายามขยับออกจากเกมเดิม... เพื่อไม่ให้ก้าวเดินไปสู่ความรุนแรง!

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
*************************************************

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น