เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (Scholars’ Network for a Just Society) ประกอบด้วยนักวิชาการจากมหาวิทยาลัย วิทยาลัย สถาบันการศึกษาต่างๆ ตลอดจนนักวิชาการอิสระ และประชาชนทั่วไปที่สนับสนุนแนวทางการแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธี ได้ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 1 เพื่อคลี่คลายสถานการณ์ทางการเมือง โดยเรียกร้องให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องช่วยกันคลี่คลายสถานการณ์มิให้เข้าสู่จุดวิกฤติ 10 ข้อ ดังนี้
1.รัฐบาลควรทบทวนการประกาศใช้พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงฯ เพราะเป็นที่ประจักษ์แล้วว่า เป็นมาตรการที่เกินกว่าความจำเป็นในการควบคุมสถานการณ์การชุมนุม และไม่สามารถป้องกันการก่อเหตุร้ายจากการฉกฉวยโอกาสสร้างสถานการณ์ของผู้ไม่หวังดี ทั้งยังก่อให้เกิดผลกระทบทางลบต่อภาพลักษณ์ เศรษฐกิจ และการท่องเที่ยวของประเทศ และทำให้ประชาชนบางส่วนเกิดความรู้สึกว่าเป็นการบังคับใช้กฎหมายอย่างไม่เป็นธรรมจากเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบในสถานการณ์เดียวกันนี้ในอดีต
2.รัฐบาลควรแสดงให้สาธารณชนเห็นถึงความอดทนอดกลั้นและวุฒิภาวะที่ยิ่งกว่ากลุ่มผู้ชุมนุมพยายามแก้ปัญหาโดยยึดหลักความยุติธรรมและสันติ ไม่ยอมให้กลไกของรัฐเข้าขัดขวางหรือ แทรกแซง การแสดงออกของประชาชนตามวิถีทางประชาธิปไตย ทั้งควรระมัดระวังมิให้บุคคลในสังกัดวิพากษ์วิจารณ์การชุมนุมที่ยังชอบด้วยสันติวิธี หรือให้ข่าวในลักษณะที่เป็นการตอบโต้ ท้าทาย ยั่วยุ ดุถูก ดูหมิ่นกลุ่มผู้ชุมนุม ใส่ร้ายหรือตั้งข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับพฤติการณ์ของผู้ชุมนุมที่ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดเพราะจะยิ่งเป็นการทวีความแตกแยกขัดแย้งและทำให้สังคมตื่นตระหนก
3.นายกรัฐมนตรีควรกลับเข้าไปปฏิบัติภารกิจอย่างเป็นปกติในทำเนียบรัฐบาลเพื่อมิให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจสถานการณ์เลวร้ายเกินจริง และเป็นการเพิ่มความมั่นใจให้กับสังคมและนักท่องเที่ยวมากยิ่งขึ้น
4.แกนนำผู้ชุมนุมควรแจ้งให้สาธารณชนทราบถึงความเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ชุมนุมที่จะส่งผลต่อการดำเนินชีวิตที่เป็นปกติของประชาชนทั่วไปที่ไม่ได้เข้าร่วมการชุมนุมให้ชัดเจนเป็นระยะ ๆ
5.แกนนำผู้ชุมนุมไม่ควรละทิ้งกระบวนการเจรจาแม้ว่าขณะนี้ยังไม่ได้รับการสนองตอบตามข้อเรียกร้องเพื่อลดทอนความวิตกกังวลของสาธารณชน ทั้งควรลดเงื่อนไขในการเจรจาที่เป็นไปได้ยาก และควรรับฟังความคิดเห็นจากกลุ่มพลังต่าง ๆ อย่างพินิจพิเคราะห์
6.แกนนำผู้ชุมนุมจะต้องยืนหยัดต่อหลักการสันติอหิงสาตามที่ได้ประกาศไว้โดยเคร่งครัด และจะไม่แสดงท่าทีขัดขวางใดๆ หากนายกรัฐมนตรีจะกลับเข้าไปปฏิบัติหน้าที่ในทำเนียบรัฐบาล
7.สื่อกระแสหลักควรตระหนักถึงสิทธิของสาธารณชนในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง เที่ยงธรรม ประชาชนควรมีโอกาสรับรู้ข้อเท็จจริงที่เป็นสาระสำคัญเกี่ยวกับสถานการณ์อย่างครบถ้วนรอบด้าน เช่นการรายงานจำนวนที่แท้จริงของกลุ่มผู้มาชุมนุม เป็นต้น และควรเปิดพื้นที่ให้ผู้ที่มีความคิดเห็นทางการเมืองที่แตกต่างกันโดยเท่าเทียมกัน
8.สถาบันการศึกษาโดยเฉพาะอย่างยิ่งมหาวิทยาลัยต่างๆ ควรเดินหน้าในการศึกษาวิจัยปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นอันมีความสลับซับซ้อนในหลายมิติอย่างจริงจัง ทั้งนี้เพื่อเสนอองค์ความรู้ต่อสาธารณะอันนำมาซึ่งการเสนอแนวทางและการถกเถียงอย่างมีเหตุมีผลอันนำไปสู่ข้อยุติร่วมกัน
9.ประชาชนทั่วไปควรติดตามและพินิจพิเคราะห์สถานการณ์ด้วยความไตร่ตรองระมัดระวังไม่ตกหลุมพรางการบิดเบือน ปิดบังข้อมูลข่าวสาร ตลอดจนการเสนอหรือเปิดเผยข้อเท็จจริงเพียงบางส่วน โดยเปรียบเทียบตรวจสอบข้อมูลจากหลายแหล่งและควรรู้ว่าแหล่งข้อมูลหรือสื่อนั้นๆมีที่มาและเป็นไปเพื่อประโยชน์ของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดหรือไม่อย่างไร มีความโน้มเอียงหรือมีความเป็นกลางมากน้อยเพียงใด
10.ประชาชนทั่วไปควรต่อต้านและประณามการสร้างสถานการณ์การก่อเหตุความรุนแรงในรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะกระทำต่อฝ่ายใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกระทำต่อสื่อมวลชนโทรทัศน์ทั้งสองแห่งและหน่วยงานแห่งอื่นที่ทำให้ประชาชนและเจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับเครือข่ายนักวิชาการเพื่อสังคมที่เป็นธรรมที่ร่วมลงชื่อจำนวน 25 คน ส่วนใหญ่เป็นนักวิชาการจากสถาบันการศึกษา นักธุรกิจ นักศึกษา และภาคประชาสังคม อาทิ นายชวลิต หมื่นนุช รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ นายเสถียรภาพ นาหลวง คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ นายสุรพล จรรยากูล ภาควิชาสังคมวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มศว.ประสานมิตร นางสิริเพ็ญ พิริยจิตรกรกิจ ภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นางเดือนฉาย อรุณกิจ มหาวิทยาลัยพายัพ นายพกุล พัฒน์ดิลก แองเกอร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ
ที่มา.ข่าวสดออนไลน์
***********************************************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น