สมรภูมิระหว่างรัฐบาลกับเสื้อแดง ย้ายจาก ผ่านฟ้าฯ ไปสู่ ราชประสงค์ ยิ่งนานวัน บ้านเมือง ยิ่งวังเวง ไร้ทางออก หากทหารเข้าสลายม็อบอีกครั้ง อาจเกิดความสูญเสียครั้งใหญ่ที่สุด บางทีกลางเมืองหลวงอาจเหลือแต่ซากตึก ทางออกจากวิกฤตที่ถูกเสนอขึ้นมาจากทุกภาคส่วน ถูกปัดทิ้ง แต่แล้ว จู่ ๆ ชื่อ เสธ.หนั่น ก็โผล่ขึ้นมาเป็นทางเลือก ในชั่วโมงที่ อภิสิทธิ์ ถอดใจ !!!
นับตั้งแต่กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือคนเสื้อแดงเริ่มต้นชุมนุมครั้งใหญ่ในวันที่ 12 มีนาคม 2553 เป็นต้นมามีจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่ถูกคาดหมายว่าจะพลิกโฉมหน้าสถานการณ์หลายต่อหลายครั้ง
อย่างไรก็ตามการเปิดโต๊ะเจรจาร่วมกันระหว่างแกนนำ นปช.และนายกรัฐมนตรีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ 2 ครั้ง 2 รอบ ไม่อาจก้าวข้ามไปถึงข้อยุติของทั้ง 2 ฝ่าย
กระทั่งสถานการณ์ที่รุนแรงเข้าขั้น "จลาจล" ในคืนวันที่ 10 เมษายน 2553 มีการปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ทหารซึ่งได้รับคำสั่งให้ "ทวงพื้นที่คืน" กับกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงที่ต้องการรักษาพื้นที่สะพานผ่านฟ้าเอาไว้ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตมากถึง 24 ราย มีผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าวอีกหลายร้อยคน
ทว่าท่าทีของทั้ง 2 ฝ่ายหลังจากนั้นก็ยังมิได้ลดดีกรีความเข้มข้นในการเผชิญหน้ากัน สมรภูมิข่าวและการช่วงชิงด้านข่าวสารปะทุขึ้นมาแทน ด้วยความมั่นใจของแต่ละฝ่ายว่า จะสามารถรักษาความได้เปรียบของตนไปจนกระทั่งได้รับชัยชนะในที่สุด
ดูเหมือนโอกาสที่โต๊ะเจรจาจะเปิดขึ้นสำหรับทั้ง 2 ฝ่ายจะเป็นไปได้ยากมากขึ้นเป็นลำดับ ตราบเท่าที่ นปช.และคนเสื้อแดงยังปักหลักอยู่ที่เงื่อนไข "ยุบสภาทันที" ขณะที่รัฐบาลและศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ก็มั่นใจกับยุทธศาสตร์ที่สามารถพลิกสถานการณ์ สร้างกระแสการยอมรับจากสาธารณะได้ในระดับหนึ่ง จึงเดินหน้ายุทธการที่จะ "เอาชนะ" ให้ได้เช่นเดียวกัน
หากประเมินสถานการณ์จากความเคลื่อนไหวของแกนนำ นปช.นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์วันที่ 10 เม.ย. 2553 จะพบว่ากลุ่มแกนนำ นปช.มีความเชื่อมั่นสูงว่าโอกาสที่จะได้รับชัยชนะใกล้เข้ามา เมื่อรัฐบาลตัดสินใจใช้กำลังจนนำไปสู่ความสูญเสียทั้งฝ่ายพลเรือนผู้ชุมนุมและฝ่ายทหาร
ยิ่งไปกว่านั้น การตัดสินใจครั้งสำคัญทางยุทธวิธีที่ย้ายเวทีชุมนุมมาร่วมปักหลักบริเวณสี่แยกราชประสงค์ เสริมแนวป้องกัน เต็นท์รองรับผู้ร่วมชุมนุมขยายออกไปทั้งในแนวถนนราชดำริ ถนนเพลินจิต และถนนพระรามที่ 1 ถือเป็นการเลือกชัยภูมิที่มั่นในลักษณะที่กุมหัวใจหรือศูนย์กลางทางการค้าของกรุงเทพฯเอาไว้แบบเบ็ดเสร็จ ในแง่การจัดการก็คล่องตัวมากขึ้นเนื่องจากไม่ต้องดูแลหลายจุด
แต่ที่สำคัญคือ จุดนี้มีความเปราะบางที่จะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรงมากที่สุด หากรัฐบาลหรือกำลังเจ้าหน้าที่ทหาร-ตำรวจจะตัดสินใจเข้าสลายการชุมนุม นำไปสู่การปะทะหรือสภาวะจลาจลแบบที่เกิดขึ้นมาแล้วเมื่อวันที่ 10 เม.ย. 2553
บวกเข้ากับกำลังสนับสนุนและจำนวนผู้ชุมนุมที่ยังหนาแน่นแล้ว องค์ประกอบเหล่านี้ทำให้แกนนำคนเสื้อแดงยังยึดกุมข้อต่อรองเอาไว้ที่ "ยุบสภา" เพียงสถานเดียวเท่านั้น
หากประเมินความเคลื่อนไหวของฝ่ายรัฐบาล ซึ่งในช่วงหลังเหตุการณ์ 10 เมษา แทบจะเป็นบทบาทของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ในฐานะผู้รับผิดชอบหลัก และทำงานร่วมกับแกนนำฝ่ายกองทัพอย่างใกล้ชิด
นอกเหนือไปจากกลยุทธ์การดำเนินการอย่างรัดกุม ยึดข้อกฎหมายตามขั้นตอนมาตลอดแล้ว แม้เหมือนจะเกิดข้อผิดพลาดจนทำให้ตกอยู่ในภาวะเพลี่ยงพล้ำจากกรณี "ขอพื้นที่คืน" เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 แต่หลังจากตอบโต้ด้วยการใช้สื่อให้ข้อมูลความจำเป็นของเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหาร เปิดประเด็นเรื่องความรุนแรงของผู้ชุมนุม และการเข้ามามีบทบาทของ "มือที่ 3" และ "ผู้ก่อการร้าย" ดูเหมือนความมั่นใจจะยังคงอยู่และพร้อมที่จะเดินหน้าจัดการกับการชุมนุมด้วยความเข้มข้นมากยิ่งขึ้น
โดยมีกลุ่มพลังสนับสนุนในนาม "ผู้ชุมนุมหลากสี" ที่เคลื่อนไหวครั้งใหญ่หน้ากรมทหารราบที่ 11 เมื่อวันที่ 16 เม.ย. 2553 มาเป็นจุดเชื่อมรับ
เช่นเดียวกับปฏิบัติการ "บุกจับกุมแกนนำ-ผู้ก่อการร้าย" ที่โรงแรมเอส.ซี. ปาร์ค (โรงแรมที่เชื่อมโยงไปถึงกลุ่มอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร) ของตำรวจคอมมานโดในช่วงเช้าของวันที่ 16 เม.ย. 2553 แม้จะไม่บรรลุเป้าหมายแต่ก็ได้ผลในเชิงการเมือง เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงจำนวนไม่น้อยใช้ห้องพักของโรงแรมแห่งนี้เป็นที่พักระหว่างการชุมนุมในช่วงที่ผ่านมาโดยตลอด
เมื่อท่าทีของทั้ง 2 ฝ่ายยังเผชิญหน้ากันอย่างแข็งกร้าวเช่นนี้ ดูเหมือนทางออกหรือโอกาสที่จะเป็นไปได้ก็มีไม่มากนัก
ทางเลือกที่ 1 หากรัฐบาลและกองทัพมั่นใจในการเดินหน้าใช้ไม้แข็งก็มีโอกาสที่จะได้เห็นการเดินหน้าจับกุมแกนนำและสลายการชุมนุมในที่สุด โดยกลไกทาง "กองทัพ" ที่พร้อมจะเข้ามารองรับในรูปแบบของการปฏิบัติการเต็มอัตราศึก
ทางเลือกดังกล่าวต้องไม่ตัดเงื่อนไขที่อาจพัฒนาไปถึงระดับของการปฏิวัติ หรือปฏิวัติเงียบในอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งแม้จะไม่ใช่สิ่งที่ทุกฝ่ายปรารถนา แต่หากสถานการณ์บังคับก็ยังเป็นตัวเลือกที่ยังตัดทิ้งไม่ได้
ทางเลือกที่ 2 หากรัฐบาลไม่สามารถแบกรับแรงกดดันจากหลาย ๆ ฝ่ายอันเนื่องมาจากยุทธการ "จับราชประสงค์เป็นตัวประกัน" ของคนเสื้อแดงใช้ได้ผลในรูปแบบเดียวกับที่เคยมีการปิดสนามบินสุวรรณภูมิ ก็อาจนำไปสู่ทางเลือก 2 ทาง ได้แก่ 2.1 ตัดสินใจยุบสภาแบบมีเงื่อนไข หรือ 2.2 เปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรีภายในกลุ่มขั้วพรรคการเมืองเดิม
ล่าสุด มีกระแสข่าวเกี่ยวกับการเสนอให้จัดตั้งรัฐบาลสมานฉันท์ หรือรัฐบาลคั่นเวลา โดยมีชื่อของ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ถูกชงขึ้นมา
สูตรนี้ เกิดขึ้นในเงื่อนไขที่ว่า อภิสิทธิ์ ถูกกดดันอย่างสูง ไม่สามารถเป็นนายกฯ ต่อไปได้ เพราะถูกแรงต้านอย่างหนัก
จากเหตุการณ์ 10 เมษายน ที่เป็นเสมือนตราบาปของนายกฯ หนุ่มไปตลอดกาล
และมีแนวโน้มว่า นายอภิสิทธิ์ จะอำลาการเมือง ไปตลอด เพราะเบื่อหน่าย และอยากมีความสุขกับชีวิตส่วนตัว
บางที นายอภิสิทธิ์ อาจกลับไปเป็นอาจารย์สอนหนังสือ
ขณะที่ พล.ต.สนั่น เป็นนักการเมืองที่มากด้วย บารมี ด้วยบทบาทการเล่นการเมืองในลักษณะของการสร้างมิตรมากกว่าสร้างศัตรู ไม่เฉพาะกับนักการเมืองด้วยกันเอง กับข้าราชการ และนักธุรกิจ พล.ต.สนั่น ได้สร้างบุญคุณให้กับใครต่อใครและหลายๆ คนพร้อมจะช่วยเหลือทันทีหากมีการร้องขอ
แหล่งข่าว เผยว่า สูตร พลตรีสนั่น เป็นนายกฯ มีการหารือมาก่อนเหตุการณ์ 10 เมษายน โดยสูตรนี้ พลตรีสนั่น จะเป็นนายกฯ เพียง 6เดือนก่อนยุบสภา
สูตรนี้ จะเป็นการถอนคนละก้าว และจะทำให้ กลุ่มคนเสื้อแดง พอใจและยุติการชุมนุมบริเวณราชประสงค์
บุคคลิกของ พลตรี สนั่น ที่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันคือ การประนีประนอม กับทุกฝ่าย ซึ่งตรงข้ามกับ นายกฯอภิสิทธิ์ ที่ติดภาพพันธมิตรฯ มากเกินไป และแข็งเกินไป
จนทำให้ เกิดการเผชิญหน้า และนำบ้านเมืองไปสู่วิกฤตทางตัน !!!
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
*****************************************************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น