จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
โครงการหลายโครงการของรัฐบาลในวันนี้ส่อเค้าของความผิดพลาด ทั้งในขั้นตอนการอนุมัติโครงการและการใช้จ่ายงบประมาณ กระทั่งทำให้เกิดปัญหาบานปลายหาตัวคนรับผิดชอบไม่พบเจอ เพราะทุกคนต่างอ้างความจำเป็นเร่งด่วน และให้ความสำคัญกับหน่วยงานต้นสังกัดของตนเองเหนือสิ่งอื่นใด
ทำให้หลายโครงการที่รัฐบาลตั้งใจจะ “สร้างความเข้มแข็ง” กลายเป็นการสร้างภาระให้เกิดกับคนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะผู้เสียภาษีอากรที่เป็นผู้ควักกระเป๋าจ่ายโดยแท้จริง ที่จะต้องแบกรับหนี้ที่รัฐเป็นผู้สร้างขึ้นตามโครงการที่ประกาศออกมาว่า จะใช้จ่ายเงินมากถึง 200,000 ล้านบาท
ยิ่งไปกว่านั้น ผลสะท้อนแห่งความผิดพลาดยังปรากฏให้ได้เห็นในมาตรการหลายประการที่รัฐบาลกำลังผลักดันออกมาในวันนี้ กระทั่งสร้างความไม่เชื่อมั่นให้กับคนในสังคมว่ารัฐบาลกำลังเดินทางผิดในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและปากท้องของประชาชนที่มีฐานะปานกลางถึงผู้มีรายได้น้อยโดยทั่วไป
ราคาทองคำรูปพรรณในวันนี้กำลังไต่ขึ้นแตะราคา 20,000 บาท ขณะที่ค่าเงินบาทแข็งค่าเกือบเท่า อัตราแลกเปลี่ยนก่อนเกิดวิกฤตเศรษฐกิจครั้งที่หนึ่งที่เรายังคงใช้ระบบตะกร้าเงินแบบเดิม ในวันนี้อยู่ที่ 34-35 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ทำให้ผู้ส่งออกได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะต้นทุนที่เคยได้เป็นกอบเป็นกำต้องลดลงฮวบฮาบเพราะค่าเงินกำลังแข็งค่าขึ้น
พอหันมามองถึงระบบราชการก็มีแนวโน้มของการลดอัตรากำลัง และมีการเพ่งเล็งจะยุบเลิกหน่วยงานหลายแห่งดังข้อเสนอของ ก.พร. ที่ไม่ทันหันรีหันขวางก็อาจถูกยุบเอง เพราะนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้แสดงความเห็นว่ามีความซ้ำซ้อนกับสำนักงาน ก.พ. หน่วยงานกลางของการบริหารงานบุคคลภาครัฐ ซึ่งส่วนนี้มีความเห็นด้วยอย่างยิ่ง เพราะองค์กรอย่าง ก.พร. มีหน้าที่หลักในด้านการพัฒนาระบบราชการและบุคลากรภาครัฐ
แต่ในระยะหลังดูเหมือนว่า “ข้อเสนอหลายอย่าง” กลายเป็นเรื่องของการเยียวยาแก้ไขลดรายจ่ายให้ภาครัฐ ซึ่งวิธีการง่ายที่สุด เร็วที่สุด เห็นผลได้ในระยะสั้นแต่ส่งผลร้ายในระยะยาวคือ การแช่แข็งอัตรากำลัง (freezing) หรือที่เรียกให้ดูดีน่าฟังยิ่งขึ้นว่า เป็นการควบคุมอัตรากำลังคนภาครัฐ
ทั้งนี้ หลายหน่วยงานที่จำเป็นต้องการคนในระดับมันสมอง เช่น กระทรวงสาธารณสุข จะได้รับแรงกระเพื่อมจากโครงการดังกล่าวในข้อเสนอของทาง ก.พร. โดยตรง เพราะอัตราแพทย์และบุคลากรทางสาธารณสุขในปัจจุบันยังคงไม่เพียงพอ และจำเป็นที่จะต้องมีการนำเอาอัตราเกษียณในแต่ละปีทำการบรรจุข้าราชการเข้าทดแทนบุคลากรที่ต้องการเพิ่มเติม เมื่อมีโครงการลดอัตรากำลังหรือเกลี่ยอัตรากำลังในลักษณะที่ไม่คำนึงถึงสภาพปัญหาที่แท้จริง จะทำให้ระบบสาธารณสุขทั้งโครงสร้างได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงในอนาคต
สิ่งเหล่านี้เป็นผลงานชิ้นโบแดงของรัฐบาลที่กำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์ ตั้งแต่เก่งกู้ เก่งประชาสัมพันธ์ แต่การทำงานยังวัดผลไม่ได้อย่างเป็นรูปธรรมชัดเจน แม้จะเห็นใจดังที่รัฐบาลมักอ้างว่าได้เข้ามาเป็นผู้รับช่วงต่อ แต่เมื่อสมัครใจอาสาเข้ามา หรือหน้าชื่นตาบานหอบหิ้วข้าวตอกดอกไม้คารวะนักการเมืองทั่วสารทิศเพื่อมารับตำแหน่งสำคัญเช่นนี้แล้ว ก็ไม่ควรปฏิเสธหรือโยนกลองไปให้ใครต่อใครอีก
ทั้งหมดนี้ยังไม่รวมการแก้ปัญหาทางสังคมที่แม้แต่ระบบมาเฟียทั้งที่คลองเตยและในพื้นที่อื่นๆทั่วประเทศ ดูเหมือนว่ารัฐบาลยังคงขาดความกระตือรือร้น ปล่อยให้หวยเถื่อนบ่อนเถื่อนมีกันอยู่ดาษดื่น สรุปได้ว่ารัฐบาลทำงานไม่สมกับความไว้วางใจที่ผู้คนหลายฝักฝ่ายสู้อุตส่าห์สนับสนุนเกื้อกูลเลย แถมยังมีทัศนคติในเชิงเอาชนะคะคาน เพื่อต้องการพิสูจน์ศักยภาพให้เห็นว่า ผู้นำรัฐบาลไปได้ทุกที่ แต่ถ้าที่ไหนเขาไม่ต้อนรับขับสู้ผ่อนได้ก็ควรผ่อน เพื่อเห็นแก่ประโยชน์สุขของคนส่วนใหญ่ ก็คงจะได้รับความเห็นใจและความศรัทธาประสาทะมากกว่านี้
**********************************************************************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น