--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันศุกร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

สนิมกินเนื้อใน..

ดูเหมือนเวลานี้รัฐบาลประชาธิปัตย์ จะตกอยู่ในสถานการณ์ "สนิมกินเนื้อใน" เข้าอย่างจังหลังจากประคับประคองตัวมานานจนเกือบจะชนขวบปีในอีกไม่กี่วันนี้

ในขณะเดียวกันก็เป็นขวบปีที่เต็มไปด้วยอุปสรรค ขวากหนาม ที่คอยทิ่มแทงมาโดยตลอด โดยเฉพาะจากฝ่าย "ขบวนการทักษิณ"

กระนั้นก็ยังพูดได้ไม่เต็มปากซะทีเดียวนัก หากจะบอกว่า "ขบวนการทักษิณ" เป็นอุปสรรคทั้งหมดของรัฐบาล

เพราะความจริงแล้ว "ปัจจัยภายใน" ต่างหากที่เป็นตัวบ่อนทำลายความเชื่อมั่น และเสถียรภาพในรัฐบาลเอง

ต้องไม่ลืมว่า เสียงตอบรับรัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในระยะเริ่มแรกนั้นจัดอยู่ในขั้นดีทีเดียว

และดีมากขึ้นจนถึงจุดสูงสุด เมื่อ "อภิสิทธิ์" ได้แสดงภาวะผู้นำให้เป็นที่ประจักษ์ในการบัญชาการสถานการณ์ "สงกรานต์เลือด" โดยฝีมือของขบวนการทักษิณ จนอยู่หมัด

แต่สถานการณ์หลังจากนั้นมา เส้นกราฟของ "อภิสิทธิ์" และรัฐบาลก็เริ่มตกลงทีละน้อยๆ จนลดต่ำในช่วงเดือนที่ผ่านมา

ต้นสายปลายเหตุใหญ่น่าจะมาจากการไม่สามารถคุมสถานการณ์ต่อรองทางการเมืองของพรรคร่วมรัฐบาลได้ดีเท่าที่ควร จนเกิดความสับสนอลหม่านแทบทุกครั้ง

โดยเฉพาะ "เกมต่อรอง" ที่แม้แต่ในพรรคประชาธิปัตย์เองก็มองว่า "อภิสิทธิ์" ปล่อยให้พรรคภูมิใจไทยขี่มากเกินไป
ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง รถเมล์เอ็นจีวี หรือโผโยกย้ายในตำแหน่งสำคัญ

ที่สำคัญเรตติ้งตกลงมากเมื่อ "อภิสิทธิ์" ตัดสินใจลงมาคุมเกมลอบสังหาร สนธิ ลิ้มทองกุล ด้วยตัวเอง

กระทั่งต่อเนื่องมาถึงการตั้งรักษาการ ผบ.ตร. แทน พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ กระทั่งจนบัดนี้ก็ยังตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติไม่ได้

การสูญเสีย "ภาวะผู้นำ" ในครั้งนั้น ทำให้ "อภิสิทธิ์" เสียรังวัดพะเรอเกวียน เพราะไม่เพียงแค่จัดการกับปัญหาในสำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่ได้

หากแต่ยังเกี่ยวพันกับการถูกบีบทั้งจากพรรคร่วมรัฐบาลอย่าง "ภูมิใจไทย" รวมถึงคนในพรรคเอง อย่างเลขาธิการนายกฯ นิพนธ์ พร้อมพันธุ์ และรองนายกฯ ความมั่นคง สุเทพ เทือกสุบรรณ ด้วยอ้าง "เงื่อนไขพิเศษ"

เมื่อรัฐบาลอภิสิทธิ์ มีสถานะง่อนแง่นโดยเนื้อแท้ของตัวเอง จึงยิ่งป็นการง่ายที่ "ขบวนการทักษิณ" จะตอกลิ่มความขัดแย้งให้ร้าวลึกหนักขึ้นไปอีก

บวกกับการเดินยุทธศาสตร์ "โลกล้อมประเทศ" ที่แม้หลายคนจะประเมินว่าผลเสียจะตกแก่ฝ่าย "ทักษิณ"

แต่ในเมื่อฝ่ายโน้นจำเป็นต้องสู้ในแบบที่เรียกว่า "เสียจนไม่มีอะไรจะเสียแล้ว" ก็ยิ่งเห็นได้ชัดว่ารัฐบาลคุมเกมลำบากมากยิ่งขึ้น

ไม่ว่าจะเป็นการเดินเกมผ่าน "บิ๊กจิ๋ว" พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ กระทั่งล่าสุด ผู้นำเขมรรับลูกถึงขนาดแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาส่วนตัวและที่ปรึกษารัฐบาล

ขณะเดียวกัน เมื่อต้องเผชิญกับ "ทุกขลาภ" อย่างคดี ราเกซ สักเสนา ที่ประชาธิปัตย์ หวังนำมาเป็นตัวต่อรองสยบความแข็งกร้าวพรรคร่วมรัฐบาลได้บ้าง

แต่กลับปรากฏถูก "ขบวนการทักษิณ" ชิงนำไปเป็นประเด็นตอกลิ่มขยายผล ด้วยการงัดข้อมูลอภิปรายไม่ไว้วางใจ รัฐบาลบรรหาร ศิลปอาชา ที่นำทีมโดย "สุเทพ" เมื่อสิบกว่าปีก่อน มาแฉกลางสภา

พร้อมกับเรียกร้องมาตรฐานของพรรคประชาธิปัตย์ในการจัดการกับพรรคร่วมรัฐบาลที่เกี่ยวพันกับ "คดีราเกซ" ซึ่งดูท่าจะลุกลามมากขึ้น เมื่ออ้างกันว่าคดีนี้พันไปถึงการรับเงินสนับสนุนต่างชาติของพรรคชาติไทยในอดีต

ไม่เพียงการตอกลิ่มของ "ขบวนการทักษิณ" หากแต่เนื้อในของพรรคประชาธิปัตย์เอง ก็เรียกได้ว่า "พรรคแทบแตก"

เพราะหลายครั้งหลายหน กระแสข่าวในทำนอง "ผู้ใหญ่ในพรรค" ไม่พอใจการบริหารงานของรัฐบาล และโดยเฉพาะสมาชิกพรรคไม่พอใจ "สุเทพ" เป็นอย่างมาก โทษฐานที่เอาใจพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะคนชื่อ เนวิน ชิดชอบ มากเกินไป
รวมถึงโครงการสำคัญอย่าง "ไทยเข้มแข็ง" ที่เพิ่งถูกแฉโดย "คนใน" อย่าง พิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล ส.ส.กระบี่ ที่ทำให้เข้าใจได้ว่าในพรรคไม่เห็นด้วย

โดยเฉพาะจากคำพูดที่ว่า "...เอาความอยู่รอดของเราไปอยู่ในกำมือคนอื่น"

"...ผมก็เบื่อสถานการณ์กดดันมามากๆ ส.ส.ก็เหนื่อยล้า อย่าว่าแต่พรรคร่วมเลย พรรคประชาธิปัตย์ก็มีคนเบื่อหน่ายและอึดอัดเยอะ”

เสียงสะท้อนของ "พิเชษฐ" ยังทำให้เห็นถึงความแตกร้าวทางความคิดในพรรคได้อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

โดยเฉพาะประเด็นกู้เงินทำโครงการใหญ่โต แต่กฎหมายยังไม่ผ่านสภา

ฟังจากน้ำเสียงแล้ว แม้แต่คนในพรรคประชาธิปัตย์เองก็นับอายุรัฐบาลถอยหลังกันหมดแล้ว เพราะสถานการณ์การเมืองนับจากนี้ไป กระทั่งต้นปีหน้า อยู่ในอาการ "น่าเป็นห่วง"

น่าห่วงทั้ง "ในสภา" และ "นอกสภา"

เพราะหากเกมในสภา รัฐบาลไม่สามารถผ่านกฎหมายอันเกี่ยวเนื่องกับการเงิน โดยเฉพาะ "พ.ร.ก.เงินกู้ 4 แสนล้านบาท" ไปได้

ทางเลือกก็มีแค่ 2 ทางเท่านั้น คือ ยุบสภา หรือลาออก

แต่หากว่าสถานการณ์ "นอกสภา" รุนแรงกว่านั้น ก็เสี่ยงอีกเหมือนกันว่าจะมี "มือที่สาม" เข้ามาห้ามสถานการณ์และยุติความรุนแรง

ถึงตอนนั้น...เกมจะพลิกทั้งกระดาน !!!

โดย : โต๊ะข่าวการเมือง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น