--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

นาทีระทึก-19 กันยา 49 ทัพฟ้า ‘พร้อมสู้’ แต่... ‘ชิดชัย’ ไม่เอาด้วย??


ในโลกของความทรยศ หักหลัง และปราศจากความจริงใจต่อกัน ทำให้เกิดสุภาษิตบทหนึ่งขึ้นมา เป็นสุภาษิตเพียงเพื่อสร้างอารมณ์ขัน จากอารมณ์คัน แต่ไม่หวังผลทางความคิดสุภาษิตนั้น บอกไว้ว่า “เพื่อนกินสิ้นทรัพย์แล้ว ไม่หนี เพราะเพื่อนรู้ว่ายังมี ซ่อนไว้”แต่ในโลกของความเป็นจริง วันนี้อดีตนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ ทักษิณชินวัตร จะมี “เพื่อนแท้” สักกี่คนคงไม่มีใครยืนยันได้ แม้กระทั่งตัว “ทักษิณ” เองแต่ถ้าจะเอ่ยถึง “เพื่อนตาย” ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เวลานี้คงเหลือไม่กี่คนและหนึ่งในจำนวนนั้น คือ พล.อ.อ.สุเมธ โพธิ์มณี เพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหาร (ตท.) 10ที่ต้องพูดถึง พล.อ.อ.สุเมธ ใน

วันนี้เพราะต้องการจะโยงไปถึงเรื่องการปฏิวัติ 19 กันยายน 2549 ซึ่งถือเป็นการ “รัฐประหาร” เป็นการ “แย่งอำนาจรัฐ” ที่เปะปะเละละที่สุดในประวัติศาสตร์ความเป็นชาติพล.อ.อ.สุเมธ ยังเป็น “เพื่อน” ผู้ที่ยังยืนยงและคอยช่วยเหลือทั้ง “ยามสุขและทุกข์” มาตลอดและเขาเป็นคนที่ พ.ต.ท.ทักษิณไว้เนื้อเชื่อใจถึงขนาดให้ “คุมกำลังรบ”ของกองทัพอากาศยุคก่อน 19 กันยายน2549 ด้วยความเชื่อมั่นว่า... “เพื่อนคือนักรบ”!!พล.อ.อ.สุเมธ เกษียณอายุราชการเมื่อวันที่ 30

กันยายนที่ผ่านมา ยังไม่ถึง 2 เดือนมานี้เองด้วยความที่คลุกคลี “วงการเมือง” มาไม่น้อย จึงกลายเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เจ้าตัวตัดสินใจเป็น “หัวหอก ตท.10” นำพาพวกพ้องพาเหรดเข้าพรรคเพื่อไทย“สุเมธ” เป็นขุนพลคนล่าสุดที่เป็นกำลังหลักให้พรรคเพื่อไทย พล.อ.อ.สุเมธ โพธิ์มณี เพื่อนตาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นโต้โผหอบหิ้วเพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหาร (ตท.) 10 รวม 52 คน ที่เกษียณอายุในปีนี้มาสวมเสื้อแดงใต้แบรนด์เพื่อไทย...ว่าไปแล้ว พล.อ.อ.

สุเมธกับพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นคู่หูสนิทชิดเชื้อตั้งแต่เป็นนักเรียน ตท.10 ด้วยกันเจ้าตัวเล่าไป แบบเขินอาย“ซี้กันมาก เพราะเคยแอบลอกข้อสอบทักษิณตอนเรียนเตรียมทหาร 2 ปี.....จุดหักเหของชีวิต พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อยู่ที่เหตุการณ์ปฏิวัติ 19 กันยายน 2549 ซึ่งมี พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน เป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติและเป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติคนเดียวที่มีอำนาจหลังการยึดอำนาจเพียง 14 วันเหตุการณ์ยึดอำนาจในวันนั้นผู้คนมากมายคงยังพอจำกันได้ว่า เป็นการยึด

อำนาจที่เหมือน “การลักไก่” คณะปฏิวัติไม่มีความพร้อมในการบริหารจัดการกำลังรบอย่างแท้จริงในวันนั้น.....เหตุการณ์อาจจะเปลี่ยน ถ้าผู้รักษาการนายกรัฐมนตรี แทน “ทักษิณ ชินวัตร” ซึ่งไปราชการต่างประเทศไม่ได้ชื่อ....พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ รองนายกรัฐมนตรี??พล.อ.อ.สุเมธ เคยเล่าให้นักข่าวฟังว่า.....ในวันเกิดเหตุ 19 กันยายน 2549 นั้น เขาคือคน “คุมกำลังรบ” ของกองทัพอากาศ ในหน่วยบัญชาการอากาศโยธิน มีเป็นกองกำลังรบภาคพื้นดินและ

ภาคอากาศที่ทรงประสิทธิภาพของกองทัพไทยพล.อ.อ.สุเมธ พูดถึงความหลังครั้งนั้นว่า.....“ต้องเข้าใจว่า กองทัพอากาศจะมีหน่วยบัญชาการอากาศโยธินที่คุมกำลังทั้งหมด ซึ่งของผมยังอยู่พร้อม ถ้ารัฐบาล (ทักษิณ) ประกาศต่อสู้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกต้องตามกฎหมายผมก็พร้อมสู้เพราะเราคิดว่าเราทำตามกฎหมายเราไม่กลัว ผมจึงไม่ได้วางอาวุธ จนกระทั่งเขาประกาศว่ารัฐบาลยอมแพ้ผมก็ต้องวางอาวุธซึ่งตอนนั้นประมาณ 4 ทุ่ม”พล.อ.อ.สุเมธเองก็พอจะแว่วข่าวเข้าหูว่า จะ

มีการปฏิวัติกัน....เขาจึงบอกว่า“การปฏิวัติในวันนั้นตอนบ่ายๆ ก็มีข่าวมาเรื่อยๆ ผมก็รอรับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาว่าเขาจะสั่งกันอย่างไร?”ตอนนั้น พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ รองนายกรัฐมนตรี โทรมาถามว่าจะทำอย่างไร? ผมก็บอกไปว่าให้ประกาศภาวะฉุกเฉิน พอมีเหตุการณ์ขึ้นจริงๆ ก็ใช้แผนของการปราบปรามด้วยการเรียก ผบ.เหล่าทัพมา มันก็จะเป็นการสู้อย่างเป็นรูปธรรมแต่ปรากฏว่าไม่มีใครทำ!!“คือนึกออกมั้ย?? ผมอยู่ในหน่วยกำลังของผม ผมถือว่าผมถูกต้อง

ตามกฎหมาย เพราะถ้ารัฐบาลสู้ผมต้องอยู่กับรัฐบาลแน่นอน ซึ่งหากเป็นแบบนั้นกำลังที่มาจากชายแดนและอยู่ระหว่างทางต้องคิดหนักแล้วว่าจะทำอย่างไร?”“จะอยู่ข้างคนปฏิวัติ หรืออยู่ข้างรัฐบาล เพราะถ้าอยู่ฝ่ายรัฐบาลไม่ว่าจะแพ้หรือชนะไม่ใช่ฝ่ายผิดกฎหมาย”ในสังคม “นักรบ” แทบทุกคนรู้กันว่า ถ้าในวันนั้น แค่รักษาการนายกรัฐมนตรี อย่าง พล.ต.อ.ชิดชัยจะสวมหัวใจสิงห์สักอึดใจเดียว สั่งการไปยัง พล.อ.อ.สุเมธ โพธิ์มณี ในฐานะผู้คุมกองกำลัง ซึ่งมีหน่วย

บัญชาการอากาศโยธิน แล้ว “สั่งให้สู้”เหตุการณ์ก็จะพลิกผันได้ไม่ยาก!!เพราะ....พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน เองกลับ “ไม่พร้อม” แต่ต้องรอกำลังจากกองทัพภาคที่ 3 และกำลังที่มาจากชายแดนในวันนั้น....วันที่ 19 พฤศจิกายน 2549 แม้ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 1 รักษาพระองค์ จะชื่อ พล.ต.พฤณ สุวรรณทัต เป็นเพื่อนร่วมรุ่น ตท.10 กับ พ.ต.ท.ทักษิณ และ พล.ท.อนุพงษ์ เผ่าจินดา (ยศในขณะนั้น) เป็นแม่ทัพกองทัพภาคที่ 1 รักษาพระองค์แต่ “เขี้ยวเล็บ” ของ

พล.ต.พฤณ ถูก “หัก” ไปหมดแล้ว ด้วยการสั่งย้าย ผบ.พัน ซึ่งเป็นหน่วยคุมกำลังรบ ของ พล.1 รอ. 17 กองพัน และผู้เซ็นคำสั่งนั้นคือ พล.ท.อนุพงษ์ เผ่าจินดา!!ดังนั้น....กำลังรบที่แท้จริง ที่มากมายด้วยเขี้ยวเล็บซึ่งยังเหลืออยู่ของนายกฯ ทักษิณ คือหน่วยบัญชาการอากาศโยธิน ซึ่งมีกำลังรบเพียบและ... “พร้อม”!! อยู่เพียงหน่วยเดียวแต่...แม้ว่า... “เพื่อนรัก-เพื่อนตาย” อย่าง พล.อ.อ.สุเมธโพธิ์มณี ในฐานะ ผบ.หน่วยบัญชาการอากาศโยธิน พร้อมที่

จะ “รบ” และต่อต้าน หรือเรียกเสียให้เข้าใจง่ายๆว่า “ปราบปรามการก่อการกบฏ” ของฝ่าย พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน แต่เมื่อ พล.ต.อ.ชิดชัย ในฐานะผู้รักษาการนายกรัฐมนตรี ไม่เซย์ “เยส”ทุกอย่างก็จบ.....!!พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน เพิ่งมารวบรวมกำลังให้ครบ 4 เหล่าทัพแล้วนั่งเป็นแผงออกทีวีได้ ก็เมื่อฟ้าสางแล้ว และจาก “ความไม่พร้อม” ของฝ่ายคิดยึดอำนาจมากลายเป็นฝ่าย “รัฐประหารสำเร็จ” พ.ต.ท.ทักษิณ ก็กลายเป็น “นกขมิ้นเหลืองอ่อน” มาจนถึงวันนี้......

และ...บัดนี้ พล.อ.อ.สุเมธโพธิ์มณี ได้กลับมาสู้ใหม่ให้กับเพื่อนรักที่ชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร”พร้อมด้วยอดีตทหารใหญ่มากมายที่เพิ่งเกษียณอายุราชการแต่เป็นการ “ต่อสู้กันทางการเมือง” สู้ด้วยมือเปล่า และสมองที่ไม่ต้องใช้ปืน ไม่ต้องพึ่งรถถัง และไม่ต้องการขีปนาวุธใดๆ ทำให้ทุกฝ่ายต่างจับตามองมองว่า....ทหารจะเป็นนักการเมืองที่เก่งกล้าได้เหมือนที่เคยเป็นนักรบไหม??

"ถอย"ในเชิง"รุก" ถอยในทาง"ยุทธศาสตร์" ของกลุ่ม"นปช."


ถูกแล้วที่แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดินมีมติเลื่อนการชุมนุมใหญ่ทางการเมืองในวันที่ 28 พฤศจิกายนออกไป

ถูกเพราะเป็นเงื่อนเวลาที่ไม่เหมาะสม

ปัจจัยที่สำคัญเป็นอย่างมากที่สุดคือ ใกล้เคียงกับวันที่ 5 ธันวาคม ปัจจัยที่สำคัญรองลงมา คือ ใกล้เคียงกับวันสวนสนามของทหาร

ขณะเดียวกัน ท่าทีของรัฐบาลก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่ง

ประเมินจากการเคลื่อนไหวของรัฐบาลไม่ว่าจะเป็นระดับหัวขบวน ไม่ว่าจะเป็นระดับท้ายขบวนตรงกัน

นั่นก็คือ วาดรูปเติมสีให้กับการชุมนุมอย่างค่อนข้างน่ากลัว

น่ากลัวเหมือนกับที่เคยประโคมครั้งมีการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่หัวหิน เหมือนกับที่เคยประโคมการชุมนุมในเดือนตุลาคมก่อนหน้านี้

แม้สถานการณ์ 2 ครั้งจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเหมือนถ้อยประโคมก็ตาม

การถอยของ นปช.แดงทั้งแผ่นดิน จึงมิได้เป็นการถอยอย่างไร้เป้าหมาย ตรงกันข้าม เป็นการถอยในทางยุทธศาสตร์

ทำให้อาการถอยสะท้อนการต่อสู้

แท้จริงแล้ว การชุมนุมทางการเมืองเป็นรูปแบบหนึ่งของการต่อสู้ มีความสำคัญแต่มิได้เป็นปัจจัยชี้ขาดชัยชนะอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด

เช่นเดียวกับ การเคลื่อนไหวของ ส.ส.ในรัฐสภา ก็เป็นอีกรูปแบบหนึ่ง

หากศึกษากระบวนการต่อสู้ทางเมืองในประวัติศาสตร์ยุคใกล้ก็จะประจักษ์ว่า ปัจจัยสำคัญเป็นอย่างมากอันชี้ผลชัยชนะและความพ่ายแพ้ คือ ปัจจัยภายในของอีกฝ่ายหนึ่ง

เหมือนกับการเคลื่อนไหวเดือนตุลาคม 2516 การชุมนุมจะเป็นปัจจัยสำคัญ

เป็นความจริง การชุมนุมอย่างยืดเยื้อและด้วยปริมาณคนจำนวนมากเป็นผลสะเทือนอย่างลึกซึ้งก่อให้เกิดความขัดแย้งและแตกแยกภายในกลุ่มที่ยึดกุมอำนาจอยู่

หลายฝ่ายเห็นว่า "ระบอบถนอม-ประภาส" ขาดความเหมาะสม

คล้ายกับว่าการเคลื่อนไหวของประชาชนในห้วงปลายปี 2522 จะเป็นปัจจัยสำคัญทำให้รัฐบาล พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ อยู่ไม่ได้

เป็นความจริง แต่ลองแงะรายละเอียดภายในมาดูก็จะประจักษ์ในผลสะเทือนอันทำให้เกิดการเคลื่อนไหวในกลุ่มทหารหนุ่มและสมาชิกสภานิติบัญญัติที่ประเมินว่าการดำรงอยู่ของ พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ไม่สอดคล้องกับสภาพการณ์ทางการเมือง

จึงได้มีการผลักดัน พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เข้ามาแทนที่

ปัจจัยชี้ขาดอนาคตของรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จึงมิได้อยู่ที่ปัจจัยของ นปช.แดงทั้งแผ่นดินหรือปัจจัยของพรรคเพื่อไทยอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด

ตรงกันข้าม ปัจจัย 1 คือ ปัจจัยภายในพรรคประชาธิปัตย์

ตรงกันข้าม ปัจจัย 1 คือ ปัจจัยภายในพรรคร่วมรัฐบาล

ไม่ว่าจะเป็นการชุมนุมของ นปช.แดงทั้งแผ่นดิน ไม่ว่าจะเป็นการยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ

คือ แรงสะเทือน

เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นกับรัฐบาล นายชวน หลีกภัย เมื่อเดือนพฤษภาคม 2538 เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นกับรัฐบาล นายบรรหาร ศิลปะอาชา เมื่อเดือนกันยายน 2539 เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นกับรัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2540

เดือนพฤษภาคม 2538 เป็นการแยกตัวของพรรคพลังธรรม

เดือนกันยายน 2539 เป็นการแยกตัวของ พรรคความหวังใหม่ พรรคกิจสังคม โดยมีแนวร่วมภายในพรรคชาติไทย คือ นายเสนาะ เทียนทอง

เดือนพฤศจิกายน 2540 เป็นการแยกตัวของ พรรคกิจสังคม

จากนี้เห็นได้ว่า ความขัดแย้ง แตกแยกและแยกตัว อันเกิดขึ้นภายในพรรคประชาธิปัตย์ภายในพรรคร่วมรัฐบาลต่างหาก คือ ปัจจัยชี้ขาด

การถอยของ นปช.แดงทั้งแผ่นดินจึงเท่ากับเป็นการถอยในทางยุทธศาสตร์

เป็นการถอยเพื่อที่จะรุกด้วยการชุมนุมในเงื่อนไขอันเหมาะสม และประสานกับการเคลื่อนไหวในทางรัฐสภาผ่านญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ

ทุกอย่างเสมอเป็นเพียงการหยุดเพื่อรอคอยที่จะเดินหน้าต่อไปเท่านั้น

อย่างนี้ถึงจะเรียกตุลาการภิวัฒน์


Posted by ภีรเดช โกตมวรีสุรนารถ
ที่มา : Public Law Net

ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้อ่านคำแปลการให้สัมภาษณ์ของสมเด็จฮุน เซ็น เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ถ้าไม่ทราบมาก่อนว่านั่นคือคำให้สัมภาษณ์ของสมเด็จฮุน เซ็น ก็คงนึกว่าเป็น “ส่วนหนึ่ง” ของการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลเพราะมีความ “ดุเด็ดเผ็ดมัน” ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจเท่าไรเลยครับ!!

มีหลายส่วนของคำแปลการให้สัมภาษณ์ดังกล่าวที่ผมอ่านแล้วก็ต้องนำกลับมาคิด ทบทวนดูหลาย ๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการแยกความโกรธแค้นและผลประโยชน์ส่วนตัวออกจากผล ประโยชน์ของประเทศชาติ การตั้งรัฐบาลโดยการได้เสียงสนับสนุนมาอย่างไม่เหมาะสม รวมไปถึงการรัฐประหารในบ้านเราด้วยครับ
ใครจะว่าอย่างไรก็สุดแล้วแต่ แต่สำหรับผม ผมว่าคำให้สัมภาษณ์ของสมเด็จฮุน เซ็น ทำให้เราต้องมาคิดกันใหม่อีกรอบถึง “ท่าที” ของต่างประเทศที่ “มอง” ประเทศไทยว่า เขามองเราอย่างไร!!! เราอาจคิดอยู่เสมอว่ากัมพูชานั้น “ด้อย” กว่า เราในทุก ๆ เรื่อง เราจึงไม่ค่อยให้ความสำคัญกับเขาแต่ไปมุ่งเน้นการให้ความสำคัญกับประเทศใหญ่ ๆ แต่ในวันนี้ คนในประเทศเล็กๆ อย่างกัมพูชาก็ได้ “ระเบิด” ความรู้สึกของตนที่มีต่อประเทศไทยและต่อรัฐบาลไทยออกมาให้ชาวโลกได้รับรู้ และก็เป็นเรื่องที่แปลกเพราะสื่อต่างชาติให้ความสนใจกับสิ่งที่สมเด็จฮุน เซ็น พูดกันมาก ประเด็นที่เป็นสิ่งที่ต้องนำมาวิเคราะห์ก็คือ การที่สมเด็จฮุน เซ็น แสดงความไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทยที่ไม่สอดคล้องกับ หลักการของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่ประเทศส่วนใหญ่ในโลกใช้กันอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการรัฐประหาร การตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยที่ขัดกับหลักการของระบอบประชาธิปไตย การสร้างประเด็นทางการเมืองด้วยการหยิบยกเรื่องบางเรื่องขึ้นมาโดยหวังผลให้ มีการล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอย่างถูกต้อง หลาย ๆ สิ่งที่สมเด็จฮุน เซ็น พูดออกมาสะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่มาจากผู้ นำของประเทศเล็ก ๆ ที่เราไม่ได้ให้ความสำคัญกับเขาเท่าไรนัก การพูดของสมเด็จฮุน เซ็น ทำให้ผมมานั่งนึกดูว่า แล้วประเทศอื่น ๆ เขาคิดอย่างนั้นกับเราด้วยหรือไม่ การไม่พูดไม่ได้หมายความว่าเขายอมรับหรือเห็นด้วยแต่อาจจะไม่มี “โอกาส” ที่จะพูดเหมือนสมเด็จฮุน เซ็น ก็ได้ หากจะให้ผมเดาคำตอบก็คงเดาได้ว่า แนวคิดเรื่องการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่ถูกต้องคง ไม่ต่างกันเท่าไรระหว่างสมเด็จฮุน เซ็น กับประมุขของชาติอื่น ๆ เพราะหลักการดังกล่าวเป็นหลักการสากลที่บรรดาผู้บริหารประเทศและพลเมืองต่าง ก็คงต้องมีความรู้ความเข้าใจกันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้เองที่ผมคิดว่าไม่ว่าใครก็ตามที่อยู่ในประเทศที่ปกครองในระบอบ ประชาธิปไตย มีจิตใจเป็นประชาธิปไตย ก็คงยอมรับการรัฐประหารหรือการเข้าร่วมกับคณะรัฐประหาร หรือการยืมมือคณะรัฐประหารมาทำลายศัตรูทางการเมืองของตนไม่ได้ครับ

พร้อม ๆ กับข่าวการให้สัมภาษณ์ของสมเด็จฮุน เซ็น มีผู้ที่ผมคุ้นเคยคนหนึ่งได้เล่าให้ฟังถึง “ความกล้า” ของผู้พิพากษาคนหนึ่งที่ออกมาปฏิเสธการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 โดยเมื่อวันที่ 28 กันยายน ที่ผ่านมา ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้มีคำพิพากษาที่ อม.9/2552 ในคดีที่นายยงยุทธ ติยะไพรัช จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน และเอกสารประกอบด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ ทราบ โดยศาลได้มีคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุกนายยงยุทธ ติยะไพรัช เป็นเวลา 2 เดือน และปรับ 4 พันบาท แต่เนื่องจากไม่ปรากฏว่านายยงยุทธ ติยะไพรัช เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน จึงให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี
เรื่องคงไม่มีอะไรมาก หากไม่มีผู้พิพากษาคนหนึ่งได้แสดงความเห็นของตนไว้ในคำวินิจฉัยส่วนตัว โดย 1 ใน 9 ผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คือ นายกีรติ กาญจนรินทร์ ได้กล่าวไว้ในคำวินิจฉัยส่วนตัวซึ่งผมขอคัดลอกมานำเสนอไว้ในที่นี้ ดังนี้

ปัญหาต้องวินิจฉัยว่า ผู้ร้องมีอำนาจฟ้อง (ยื่นคำร้อง) คดีนี้หรือไม่ เห็นว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน ศาลเป็นหนึ่งในอำนาจอธิปไตย ซึ่งเป็นของประชาชน ศาลจึงต้องใช้อำนาจดังกล่าวเพื่อประชาชนอย่างสร้างสรรในการวินิจฉัยคดีเพื่อ ให้เกิดผลในทางที่ขยายขอบเขตการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน และหากศาลไม่รับใช้ประชาชน ย่อมทำให้ระบบกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมถูกท้าทายและสั่นคลอน
นอกจากนี้ศาลควรมีบทบาทในการพิทักษ์ความชอบด้วยกฎหมายรวมถึงพันธกรณีในการ คุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนจากการใช้อำนาจโดยมิชอบและพันธกรณีในการ ปกปักรักษาประชาธิปไตยด้วย
การได้อำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางของระบอบ ประชาธิปไตย กล่าวคือการได้อำนาจในการปกครองประเทศโดยความไม่ยินยอมพร้อมใจจากประชาชน ส่วนใหญ่ เท่ากับเป็นการล้มล้างระบอบประชาธิปไตย การปฏิวัติหรือรัฐประหารเป็นการล้มล้างรัฐธรรมนูญ เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 113 ย่อมเป็นการได้อำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทาง ของระบอบประชาธิปไตย

หากศาลรับรองอำนาจของบุคคลหรือคณะบุคคลที่ทำการปฏิวัติหรือรัฐประหารว่าเป็น รัฏฐาธิปัตย์แล้ว เท่ากับศาลไม่ได้รับใช้ประชาชน จากการใช้อำนาจโดยมิชอบและเพิกเฉยต่อการปกปักรักษาประชาธิปไตยดังกล่าวมา ข้างต้น ทั้งเป็นการละเลยหลักยุติธรรมตามธรรมชาติที่ว่าบุคคลใดจะรับประโยชน์จากความ ฉ้อฉลหรือความผิดของตนเองหาได้ไม่ รวมทั้งเป็นการส่งเสริมให้เกิดการปฏิวัติหรือรัฐประหารเป็นวงจรอุบาทว์อยู่ ร่ำไป ยิ่งกว่านั้นยังเป็นช่องทางให้บุคคลหรือคณะบุคคลดังกล่าวยืมมือกฎหมายเข้ามา จัดการสิ่งต่างๆ

ข้อเท็จจริงเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า ปัจจุบันอยู่ในกระแสโลกาภิวัตน์ นานาอารยะประเทศส่วนใหญ่ปกครองในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งไม่ยอมรับอำนาจที่ได้มาจากการปฏิวัติหรือรัฐประหาร ฉะนั้นเมื่อกาละและเทศะในปัจจุบันเปลี่ยนไปแล้วจากอดีต ศาลจึงไม่อาจที่จะรับรองอำนาจของบุคคลหรือคณะบุคคลที่ทำการปฏิวัติหรือรัฐ ประหารว่าเป็นรัฎฐาธิปัตย์

ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น เมื่อข้อเท็จจริงเป็นที่รู้กันอยู่ทั่วไปเช่นกันว่า ผู้ร้องประกอบด้วยคณะกรรมการที่เป็นผลพวงของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบ ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (คปค.) แต่ คปค. เป็นคณะบุคคลที่ทำการปฏิวัติหรือรัฐประหาร เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 113 จึงเป็นการได้อำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทาง ของระบอบประชาธิปไตยดังเหตุผลข้างต้น ย่อมไม่อาจถือได้ว่าเป็นรัฏฐาธิปัตย์ แม้จะได้รับการนิรโทษกรรมภายหลังก็ตาม หาก่อให้เกิดอำนาจที่จะสั่งการหรือกระทำการใดอย่างรัฏฐาธิปัตย์

ผู้ร้องประกอบด้วยคณะบุคคลที่เป็นผลพวงของ คปค. ย่อมไม่มีอำนาจหน้าที่ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกัน ปราบปรามการทุจริต พุทธศักราช 2542 ด้วยเช่นกัน ผู้ร้องจึงไม่มีอำนาจฟ้อง (ยื่นคำร้อง) คดีนี้ อำนาจฟ้อง (ยื่นคำร้อง) เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลมีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัย เมื่อวินิจฉัยดังนี้แล้ว ปัญหาว่าผู้คัดค้านจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและเอกสารประกอบด้วยข้อ ความอันเป็นเท็จและปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบหรือไม่ จึงไม่จำต้องวินิจฉัย

ในประเทศไทย เรามีการรัฐประหารมาแล้วกว่า 10 ครั้ง แต่ละครั้งก็จะมีการออกคำสั่งหรือประกาศมาใช้บังคับ และเมื่อประเทศเข้าสู่ภาวะปกติแล้วคำสั่งหรือประกาศเหล่านั้นก็ยังมีผลใช้ บังคับต่อไปภายใต้ชื่อเดิมคือประกาศของคณะปฏิวัติ ผมยังจำได้ว่าสมัยที่ทำวิทยานิพนธ์อยู่ที่ประเทศฝรั่งเศสระหว่างปี พ.ศ. 2525 – 2530 ผมได้อ้างประกาศของคณะปฏิวัติฉบับหนึ่งไว้ในวิทยานิพนธ์ด้วย ซึ่งก็มีปัญหาอย่างมากเมื่อแปลคำว่าประกาศของคณะปฏิวัติออกมาเป็นภาษา ฝรั่งเศส อาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ไม่ยอมเข้าใจเรื่องดังกล่าว อธิบายอย่างไรก็ถูกโต้ตลอด จนกระทั่งในที่สุดก็ต้องเขียนคำอธิบายเอาไว้ด้วยว่าประกาศของคณะปฏิวัติมี สถานะอย่างไร แม้กระทั่งตอนที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เข้ามาให้ความช่วยเหลือทางวิชาการกับประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ. 2540 – 2542 ก็มีการถกเถียงกัน คือ เรื่องการให้สัมปทานสาธารณูปโภคที่กำหนดไว้ในประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 58 ว่าคืออะไรกันแน่และทำไมถึงมีสภาพบังคับอยู่ทั้ง ๆ ที่การปฏิวัติก็จบสิ้นลงไปนานแล้ว ดังนั้น ปัญหานี้ต้องทำความเข้าใจก็คือ บรรดา คำสั่งหรือประกาศของคณะปฏิวัติรัฐประหารที่มีสภาพบังคับเช่นกฎหมาย ถือเป็นกฎหมายโดยชอบด้วยระบอบประชาธิปไตยที่จะนำมาใช้ต่อไปภายหลังช่วงเวลา ของการปฏิวัติรัฐประหารได้หรือไม่

ครับที่มาของความชอบธรรมของคำสั่งหรือประกาศของคณะปฏิวัติรัฐประหารเกิดจากศาลฎีกาครับ!!! คำพิพากษาฎีกาที่ 1662/2505 ได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า “ศาล ฎีกาเห็นว่า เมื่อใน พ.ศ. 2501 คณะปฏิวัติให้ทำการยึดอำนาจปกครองประเทศไทยได้เป็นผลสำเร็จ หัวหน้าคณะปฏิวัติย่อมเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบ้านเมือง ข้อความใดที่หัวหน้าคณะปฏิวัติสั่งบังคับประชาชน ก็ต้องถือว่าเป็นกฎหมาย แม้พระมหากษัตริย์จะมิได้ทรงตราออกมาด้วยคำแนะนำและยินยอมของสภาผู้แทนราษฎร หรือสภานิติบัญญัติของประเทศก็ตาม ฉะนั้น ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 21 ซึ่งประกาศคำสั่งของหัวหน้าคณะปฏิวัติบังคับแก่ประชาชนดังกล่าว จึงเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในการปกครองในลักษณะเช่นนั้นได้ จำเลยจึงอาศัยอำนาจตามประกาศฉบับนี้ทำการจับกุมควบคุมโจทก์ได้โดยชอบ” คำพิพากษาดังกล่าวถูกนำมาใช้เป็นฐานในการรองรับการใช้อำนาจในการออกกฎหมายของคณะรัฐประหารเรื่อย มาจนกระทั่งทุกวันนี้ ในบรรดากฎหมายระดับพระราชบัญญัติที่ใช้บังคับอยู่ในประเทศไทยกว่า 600 ฉบับ เรามีกฎหมายที่ใช้ชื่อว่าประกาศของคณะปฏิวัติหรือของคณะรัฐประหารอยู่กว่า 55 ฉบับ กฎหมายเหล่านี้เป็นกฎหมายที่ไม่ได้ผ่านกระบวนการนิติบัญญัติที่ถูกต้อง ไม่ได้ผ่านการตรวจสอบจากคณะกรรมการกฤษฎีกาแต่ก็ยังมีผลใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน น่าแปลกใจไหมครับที่ประเทศประชาธิปไตยแบบเรายินยอมใช้กฎหมายที่ออกโดยคณะปฏิวัติแม้การปฏิวัติจะจบสิ้นไปแล้ว!!!

เมื่อผู้พิพากษาคนหนึ่งในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้แสดงความเห็นของตนเป็นลายลักษณ์อักษรไว้อย่างชัดเจนถึงการไม่ยอมรับการ รัฐประหารและอำนาจต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากการรัฐประหาร ก็ย่อมเป็นสิ่งที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่งที่มี “ผู้กล้า” ออกมาบอกด้วยเสียงอันดังว่าการปฏิวัติรัฐประหารเป็นการล้มล้างระบอบประชาธิปไตย ด้วยเหตุผลดังกล่าว ผมจึงได้นำเสนอข้างต้นว่า บรรดา คำสั่งและประกาศต่าง ๆ ของคณะรัฐประหารนั้น “สมควร” หรือไม่ที่จะนำมาใช้ต่อไปภายหลังจากที่การรัฐประหารจบลงและเราได้กลับเข้าไป สู่ระบอบประชาธิปไตยตามเดิมครับ!!!
มองย้อนกลับไปข้างหลัง เมื่อเกิดการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 มีการออกคำสั่งและประกาศจำนวนมากที่นำมาใช้กับการดำเนินกิจการทางการเมืองใน ช่วงเวลาดังกล่าว เช่น การยุบพรรคไทยรักไทย เป็นต้น ซึ่งต่อมา ก็เกิดสิ่งที่มีผู้เรียกว่า “ตุลาการภิวัตน์” ในประเทศไทยที่หมายถึงการที่ตุลาการเข้ามามีส่วนร่วมแก้ไขปัญหาการเมืองของประเทศ กระแสตุลาการภิวัตน์ถูกนำมาอ้างในหลาย ๆ โอกาสที่มีการพิจารณาพิพากษาคดีที่ “ลงโทษ” นักการเมืองอีกฝ่ายหนึ่ง ตุลาการบางคนก็ออกมา “ขานรับ” ในเรื่องดังกล่าวอย่างเป็นจริงเป็นจังจนมีนักวิชาการกลุ่มหนึ่งต้องออกมาท้วงติงว่า ฝ่ายตุลาการมีหน้าที่เพียงพิจารณาพิพากษาคดีตามกฎหมายและไม่ควรเข้ามาเกี่ยวข้องกับ “การเมือง” เพราะสักวันหนึ่งกระแสตุลาการภิวัตน์จะย้อนกลับมา “ทำลาย” ตุลาการที่ออกมานอกกรอบเหล่านั้น

ในวันนี้ เมื่อผมได้อ่านคำวินิจฉัยส่วนตัวของคุณกีรติ กาญจนรินทร์ แล้วก็รู้สึกว่า ผมได้พบกับ “ตุลาการภิวัตน์” ของแท้และของจริงแล้วครับ เพราะการที่นักกฎหมายคนหนึ่งออกมาชี้ให้สังคมมองเห็นโครงสร้างของรัฐและระบอบประชาธิปไตยที่ถูกต้อง ซึ่งเป็นคนละทิศทางกับที่ศาลฎีกาได้เคยวางบรรทัดฐานเกี่ยวกับการปฏิวัติรัฐ ประหารเอาไว้แล้วตามคำพิพากษาฎีกาที่ 1662/2505 และก็คนละทิศทางกับที่บรรดาศาลทั้งหลายก็ได้วางบรรทัดฐานเอาไว้อีกในกระบวนการตุลาการภิวัตน์ที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่หลังการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน แต่ผู้พิพากษาคนนี้ก็กล้าที่จะนำเสนอสิ่งที่ “ถูกต้อง” ความกล้าที่จะนำเสนอสิ่งที่ถูกต้องด้วยระบอบประชาธิปไตยดังกล่าวจึงเป็นสิ่งที่น่ายกย่องและชื่นชมเป็นอย่างมากที่ผมต้องขอแสดงความคารวะอย่างจริงใจไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ
ต่อจากนี้ไป ก็คงเป็นหน้าที่ของนักวิชาการที่จะนำความเห็นดังกล่าวไปเผยแพร่ ไปใช้สอนหนังสือ เพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกันว่า การรัฐประหารเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องและไม่ควรยอมรับ นัก กฎหมายที่ดีก็ไม่ควรเข้าไปข้องแวะกับเรื่องดังกล่าว คำวินิจฉัยส่วนตัวนี้จะเป็นสิ่งที่ถูกนำไปใช้อ้างอิงมากอย่างไม่น่าเชื่อใน วันข้างหน้าครับ!!

ใครที่คิดจะทำรัฐประหารอีกก็อย่าลืมเอาคำพิพากษานี้ไปอ่านก่อนนะครับ จะได้รู้ว่าสิ่งที่ตนจะทำนั้นเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 113 และหากยังดื้อทำการรัฐประหาร ผู้ทำรัฐประหารและผู้สมรู้ร่วมคิดก็จะกลายเป็น “ผู้ทำลายระบอบประชาธิปไตย”!!! ครับ
นอกจากนี้แล้ว นักกฎหมายทั้งหลายและบรรดาสมาชิกรัฐสภาคงต้องมาช่วยกันคิดแล้วว่า จะปล่อยให้คำสั่งหรือประกาศของคณะรัฐประหารมีผลใช้บังคับต่อไปหรือไม่ อย่างน้อยก็คงต้องเริ่ม “อาย” กันบ้างแล้วนะครับที่ประเทศที่อ้างว่าเป็นประชาธิปไตยแต่ใช้กฎหมายที่มีชื่อว่าประกาศของคณะปฏิวัติ!!

ส่วนตุลาการภิวัตน์ “รุ่นเก่า” คงต้องหยุดกันเสียทีนะครับ สร้างความเข้าใจผิดและสับสนให้กับสังคมมามากแล้ว วันนี้เจอ “ตุลาการภิวัตน์” ของแท้และของจริงเข้า เปรียบเทียบกันดูก็ได้ จะได้รู้กันไปเลยว่า ตุลาการอาชีพและนักกฎหมายที่ดีนั้น คืออะไร?

วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

"แม้ว"โชว์ภูมิอ้างศก.ดูไบยังดีเชื่อ"อาบูดาบี"ช่วยแน่ นายกฯสั่งจับตา"ดูไบเวิลด์-เวียดนาม"รายงานครม.

นายกฯย้ำปัญหา"ดูไบเวิลด์-เวียดนาม"กระทบไทยเพียงเล็กน้อย แต่ต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิดว่าจะลุกลามไปหรือไม่ สั่งรวบรวมข้อมูลข้อเท็จจริงทั้งหมดวันนี้ เพื่อรายงาน ครม.เศรษฐกิจ ชี้ค่าบาทยังเคลื่อนไหวใกล้เคียงประเทศในภูมิภาค เน้นนโยบายไม่ให้แกว่งตัวมาก "แม้ว"โชว์วงใน อ้าง ศก.ดูไบยังดี เชื่อ"อาบูดาบี"ช่วยอุ้ม ปธ.หอการค้าแย้ง


ปชป.คุย 3เหตุทำไทยทนแรงกดดันได้


นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวเมื่อวันที่ 29 พ.ย. ว่า พรรคประเมินถึงสถานการณ์ดูไบ เวิลด์ บริษัทยักษ์ใหญ่ของดูไบ โดยเห็นว่าประเทศไทยจะทนต่อแรงกดดันได้จาก 3 เหตุผลคือ 1.การดำเนินการตลอดปีภายใต้โครงการไทยเข้มแข็งทำให้เศรษฐกิจไทยเดินหน้าไม่มีสะดุด 2.นโยบายรัฐบาลที่ลดการพึ่งพาการส่งออก เน้นการลงทุนภาครัฐเอกชน จะสร้างความสมดุลและการค้าโดยตรงระหว่างไทยกับดูไบค่อนข้างต่ำ 3.การรวมกลุ่มเศรษฐกิจในภูมิภาคอาเซียน และการลดภาษีในประเทศกลุ่มอาเซียน แต่ที่ยอมรับว่ามีปัญหามากคือปัญหาความไม่สงบของการเมือง ที่จะส่งผลให้เศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4 จะกลับมาเป็นบวกหรือไม่ อย่างไรก็ตาม การที่ดูไบเวิลด์ล่ม อาจจะกระทบกับการวิจัยท่าเรือน้ำลึก ที่ทางดูไบให้เงินสนับสนุน 200 ล้านบาท ซึ่งคงต้องมาดูต่อไปว่าจะดำเนินการต่อไปอย่างไร


นพ.บุรณัชย์กล่าวว่า ส่วนกรณีการลดค่าเงินด่องของประเทศเวียดนาม เป็นเรื่องที่ไม่น่ากังวล เพราะไม่ใช่ครั้งแรกที่ปรับลด แต่อาจจะกระทบการส่งออก เพราะเงินบาทยังแข็งค่า แต่กระทรวงการคลังก็กำลังดำเนินการตามนโยบายควบคู่ไปกับการออกมาตรการต่างๆ ของธนาคารแห่งประเทศไทย


"แม้ว" เชื่อ"อาบูดาบี"จะช่วยอุ้ม


นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สำหรับ พ.ต.ท.ทักษิณนั้น ขณะนี้ยังพำนักอยู่ที่ดูไบ วิกฤตดูไบนั้นไม่กระทบกับ พ.ต.ท.ทักษิณ เนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้ลงทุนอะไรในดูไบแต่ใช้เป็นสถานที่พักนักเท่านั้น


พ.ต.ท.ทักษิณทวิตข้อความผ่านเว็บไซต์ทวิตเตอร์ (www.twitter.com) ถึงวิกฤต กลุ่มธุรกิจ ดูไบ เวิลด์ ที่ขอพักชำระหนี้ว่า บรรยากาศเศรษฐกิจในดูไบยังดี และเชื่อว่าอาบูดาบี ซึ่งเป็นเมืองหลวงที่มีเงินเยอะจะไม่ปล่อยให้ดูไบแย่ เพียงแต่รอการตกลงกันภายใน โดยจะอธิบายเรื่องทั้งหมดในรายการวิทยุ ผ่านเว็บไซต์ทักษิณไลฟ์ (www.thaksinlive.com) วันอังคารที่ 1 ธันวาคม


ปธ.หอการค้าแย้งไม่ถึงขั้นลดค่าบาท


นายดุสิต นนทะนาคร ประธานหอการค้าไทย ให้สัมภาษณ์ระหว่างร่วมประชุมหอการค้าไทยทั่วประเทศ ที่ จ.เชียงใหม่ว่า การที่เอกชนเห็นว่าเศรษฐกิจปีหน้าจะโต 2-3% จากที่เคยประเมินไว้ว่าจะขยายตัวเกิน 3% เป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องเฝ้าระวังและหาทางแก้ไขปัญหา โดยเฉพาะอัตราการว่างงานที่อาจเพิ่มขึ้นและการไม่มีงานทำของบัณฑิตใหม่ที่จะออกสู่ตลาดอีกเป็นแสนคนต่อปี สะท้อนถึงการตระหนกต่อกระแสข่าวร้ายรายวัน ทั้งความวุ่นวายทางเมือง การหยุดพักชำระหนี้ของดูไบเวิลด์ การลดค่าเงินด่องของเวียดนาม จนเกิดความไม่แน่ใจและกระทบต่อการวางแผนงานในอนาคตได้ แต่ก็ไม่อยากให้ตกใจต่อข่าวที่เกิดขึ้นหรือการประเมินตัวเลขทางเศรษฐกิจที่ต่ำ เพราะจะเป็นสัญญาณส่งให้รัฐบาลรับรู้ว่าควรทำอย่างไรต่อไปทั้งแก้ปัญหาการเมืองและการกระตุ้นเศรษฐกิจ


"ผมยืนยันว่าปัญหาพักชำระหนี้ของดูไบหรือลดค่าเงินด่อง ไม่ได้กระทบต่อไทยและการส่งออกไทยมากนัก ซึ่งเอกชนรับรู้มาตลอดว่าประเทศที่มีการลงทุนมากเกินไปต่อเนื่อง อาจเจอปัญหาเงินเฟ้อและระบบเศรษฐกิจล้มได้อย่างที่เคยเกิดกับไทยมาแล้ว การลดค่าเงินบาทอาจเป็นข้อเสนอเอกชนบางส่วนเท่านั้น แต่ขณะนี้ยังไม่เห็นว่ามีอะไรรุนแรงจนต้องลดค่าบาท เพียงแต่รัฐบาลต้องดูแลค่าบาทไม่ให้แข็งเกินไป และไม่แตกต่างกับสกุลเงินของประเทศคู่แข่งจนแข่งขันไม่ได้" นายดุสิตกล่าว


นายกฯจับตาปมดูไบ-ด่องใกล้ชิด


นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯอภิสิทธิ์Ž เมื่อเช้าวันที่ 29 พฤศจิกายนว่า สัปดาห์ที่ผ่านมา ปรากฏว่ามีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ ซึ่งอาจจะทำให้เกิดความวิตกกังวลทางด้านเศรษฐกิจกันอยู่บ้าง ก็คือเหตุการณ์ที่เมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่มีการเลื่อนการชำระหนี้ และมีการลดค่าเงิน (ด่อง) ที่ประเทศเวียดนาม ซึ่งสองเหตุการณ์นี้คงเป็นเหตุการณ์ที่ต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิด คือลำพังในสองส่วนนี้ก็มีผลกระทบเพียงเล็กน้อย ไม่น่าจะกระทบมากต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศไทยหรือเศรษฐกิจโลก แต่ก็คงจะต้องจับตาดูว่ามันจะมีผลลุกลามไปหรือไม่ ซึ่งในเรื่องนี้ในวันที่ 30 พฤศจิกายน จะมีการรวบรวมข้อมูลข้อเท็จจริงทั้งหมด และมีการรายงานต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) เศรษฐกิจในวันที่ 2 ธันวาคม อีกครั้งหนึ่ง


เน้นคุม"บาท"ไม่ให้แกว่งตัวมาก


นายกฯยังให้สัมภาษณ์ตอบคำถามถึงเรื่องที่ภาคเอกชนเรียกร้องให้ใช้นโยบายค่าเงินบาทอ่อนเพื่อให้ภาคการส่งออกแข่งขันกับประเทศคู่แข่งได้ว่า "นโยบายเราให้อัตราการแลกเปลี่ยนเงินตราไม่แกว่งตัวมาก แต่เราไม่สามารถกำหนดค่าเงินของเราได้ มิฉะนั้นเราจะย้อนไปสู่ปัญหาที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2540 หรืออาจเป็นในทิศทางตรงกันข้าม ซึ่งไม่เป็นผลดี เพราะฉะนั้นเราจึงพยายามไม่ให้แกว่งตัวมาก ขณะเดียวกัน เราได้ใช้เวทีในต่างประเทศเรียกร้องให้ประเทศที่เป็นสาเหตุของปัญหาค่าเงิน ไปแก้ปัญหาความสมดุลตรงนั้นให้ได้ อย่างไรก็ตาม เราจะต้องเปรียบเทียบค่าเงินของเรากับของประเทศที่แข่งขันกับเรา ยกเว้นกรณีของเวียดนามที่เกิดการลดค่าเงินของเขา"


นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า การเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับค่าเงินอื่นๆ ในภูมิภาค จะอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกัน แต่เนื่องจากในการค้าจะอยู่ในรูปของเหรียญสหรัฐ จึงได้รับความเดือดร้อนกัน ขณะที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของสหรัฐอเมริกาก็ประกาศว่าจะพยายามทำให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งขึ้น และจะมีประเด็นเกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยนของจีน ซึ่งในตอนนี้เป็นที่รับรู้และยอมรับกันมากขึ้นในเวทีต่างประเทศ นอกจากนี้ ผู้ส่งออกต้องพยายามที่จะมีวิธีการลดความเสี่ยงของตัวเองในเรื่องนี้ ทั้งนี้ยอมรับว่าถ้าจีนลดค่าเงินหยวนอ่อนลง ก็มีผลกระทบต่อไทย เช่น เรื่องของราคาน้ำมัน


เจ้าดูไบถกผู้นำ"อาบูดาบี"


สำนักข่าวเอพีรายงานความคืบหน้าของวิกฤตการณ์ทางการเงินในนครรัฐดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) ซึ่งเกิดจากดูไบ เวิลด์ กองทุนเพื่อความมั่นคั่งของดูไบประกาศพักชำระหนี้สิ้น 59,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐเป็นเวลา 6 เดือนเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายนว่า นักวิเคราะห์เศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่า การซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ตะวันออกกลางคงร่วงลงต่อเนื่องเมื่อเริ่มเปิดการทำการในวันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน นายอาลี ดาคัก นักวิเคราะห์การเงินชาวซาอุดีอาระเบียกล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ดูไบจะร่วงลงอย่างน้อย 2-3 เปอร์เซนต์ โดยหุ้นของธนาคารจะได้รับผลกระทบมากที่สุด อย่างไรก็ตามผู้ครองนครรัฐดูไบได้รีบเดินทางไปพบปะกับผู้นำอาบูดาบีเพื่อหารือในเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ยังไม่ทราบผลการพบปะหารือครั้งนี้


ข่าวแจ้งว่าทางเจ้าหน้าที่ของดูไบ เวิลด์ ปฎิเสธข่าวที่ว่าเป็นไปได้ที่ดูไบ เวิลด์ จะขายทรัพย์สินบางส่วนของบริษัทในราคาถูกเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว โดยหนังสือพิมพ์อัล อิติฮัด รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวจากดูไบ เวิลด์ว่า บริษัทไม่มีแผนที่จะขายทรัพย์สินบางส่วนของบริษัทลูกที่มีผลกำไรและอสังหาริมทรัพย์


ไม่กระทบ"เอมิเรตส์ แอร์ไลน์"


ขณะเดียวกันนายทิม คลาร์ก ประธานสายการบินเอมิเรตส์ แอร์ไลน์ ของยูเออี กล่าวว่าแม้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้นักลงทุนในดูไบเกิดอาการช็อกก็ตาม แต่เชื่อว่าดูไบสามารถหาทางแก้ปัญหานี้ได้และเชื่อว่าวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นจะไม่ส่งผลกระทบต่อสายการบินเอมิเรตส์ นายคลาร์ก กล่าวกับหนังสือพิมพ์ซันเดย์ เทเลกราฟ ของอังกฤษว่า ทางสายการบินยังไม่มีแผนที่จะยกเลิกสั่งซื้อเครื่องบินตามที่สั่งจองไว้ล่วงหน้าเนื่องจากสภาพการเงินของสายการบินเอมิเรตส์จะไม่รับผลกระทบแต่อย่างใด อนึ่งสายการบินเอมิเรตส์ ซึ่งเป็นสายการบินที่กำลังเติบโตเร็วที่สุดในโลกในปัจจุบันและเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่สุดของบริษัทผู้ผลิตเครื่องบินโดยสารได้มีการสั่งซื้อเครื่องบินโดยสาร 120 ลำไปก่อนหน้านี้


เอเอฟพีรายงานว่า ทางการรัฐยะโฮร์ของมาเลเซียกล่าวว่า เขตเศรษฐกิจพิเศษอิสคันดาร์ของยะโฮร์ ซึ่งมีนักลงทุนจากตะวันออกกลางไปลงทุนมากที่สุด จะไม่รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่อย่างใดเนื่องมีบริษัทแห่งเดียวจากดูไบที่ไปลงทุนในเขตเศรษฐกิจอิสคันดาร์ ที่เหลือเป็นการลงทุนจากประเทศอื่นในตะวันออกกลางเช่นซาอุดีอาระเบีย คูเวต และอาบู ดาบี

วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

“รัฐบาลในฝัน”ที่ยังคงอยู่กับความฝัน

จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้

โครงการหลายโครงการของรัฐบาลในวันนี้ส่อเค้าของความผิดพลาด ทั้งในขั้นตอนการอนุมัติโครงการและการใช้จ่ายงบประมาณ กระทั่งทำให้เกิดปัญหาบานปลายหาตัวคนรับผิดชอบไม่พบเจอ เพราะทุกคนต่างอ้างความจำเป็นเร่งด่วน และให้ความสำคัญกับหน่วยงานต้นสังกัดของตนเองเหนือสิ่งอื่นใด

ทำให้หลายโครงการที่รัฐบาลตั้งใจจะ “สร้างความเข้มแข็ง” กลายเป็นการสร้างภาระให้เกิดกับคนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะผู้เสียภาษีอากรที่เป็นผู้ควักกระเป๋าจ่ายโดยแท้จริง ที่จะต้องแบกรับหนี้ที่รัฐเป็นผู้สร้างขึ้นตามโครงการที่ประกาศออกมาว่า จะใช้จ่ายเงินมากถึง 200,000 ล้านบาท

ยิ่งไปกว่านั้น ผลสะท้อนแห่งความผิดพลาดยังปรากฏให้ได้เห็นในมาตรการหลายประการที่รัฐบาลกำลังผลักดันออกมาในวันนี้ กระทั่งสร้างความไม่เชื่อมั่นให้กับคนในสังคมว่ารัฐบาลกำลังเดินทางผิดในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและปากท้องของประชาชนที่มีฐานะปานกลางถึงผู้มีรายได้น้อยโดยทั่วไป

ราคาทองคำรูปพรรณในวันนี้กำลังไต่ขึ้นแตะราคา 20,000 บาท ขณะที่ค่าเงินบาทแข็งค่าเกือบเท่า อัตราแลกเปลี่ยนก่อนเกิดวิกฤตเศรษฐกิจครั้งที่หนึ่งที่เรายังคงใช้ระบบตะกร้าเงินแบบเดิม ในวันนี้อยู่ที่ 34-35 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ทำให้ผู้ส่งออกได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะต้นทุนที่เคยได้เป็นกอบเป็นกำต้องลดลงฮวบฮาบเพราะค่าเงินกำลังแข็งค่าขึ้น

พอหันมามองถึงระบบราชการก็มีแนวโน้มของการลดอัตรากำลัง และมีการเพ่งเล็งจะยุบเลิกหน่วยงานหลายแห่งดังข้อเสนอของ ก.พร. ที่ไม่ทันหันรีหันขวางก็อาจถูกยุบเอง เพราะนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้แสดงความเห็นว่ามีความซ้ำซ้อนกับสำนักงาน ก.พ. หน่วยงานกลางของการบริหารงานบุคคลภาครัฐ ซึ่งส่วนนี้มีความเห็นด้วยอย่างยิ่ง เพราะองค์กรอย่าง ก.พร. มีหน้าที่หลักในด้านการพัฒนาระบบราชการและบุคลากรภาครัฐ

แต่ในระยะหลังดูเหมือนว่า “ข้อเสนอหลายอย่าง” กลายเป็นเรื่องของการเยียวยาแก้ไขลดรายจ่ายให้ภาครัฐ ซึ่งวิธีการง่ายที่สุด เร็วที่สุด เห็นผลได้ในระยะสั้นแต่ส่งผลร้ายในระยะยาวคือ การแช่แข็งอัตรากำลัง (freezing) หรือที่เรียกให้ดูดีน่าฟังยิ่งขึ้นว่า เป็นการควบคุมอัตรากำลังคนภาครัฐ

ทั้งนี้ หลายหน่วยงานที่จำเป็นต้องการคนในระดับมันสมอง เช่น กระทรวงสาธารณสุข จะได้รับแรงกระเพื่อมจากโครงการดังกล่าวในข้อเสนอของทาง ก.พร. โดยตรง เพราะอัตราแพทย์และบุคลากรทางสาธารณสุขในปัจจุบันยังคงไม่เพียงพอ และจำเป็นที่จะต้องมีการนำเอาอัตราเกษียณในแต่ละปีทำการบรรจุข้าราชการเข้าทดแทนบุคลากรที่ต้องการเพิ่มเติม เมื่อมีโครงการลดอัตรากำลังหรือเกลี่ยอัตรากำลังในลักษณะที่ไม่คำนึงถึงสภาพปัญหาที่แท้จริง จะทำให้ระบบสาธารณสุขทั้งโครงสร้างได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงในอนาคต

สิ่งเหล่านี้เป็นผลงานชิ้นโบแดงของรัฐบาลที่กำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์ ตั้งแต่เก่งกู้ เก่งประชาสัมพันธ์ แต่การทำงานยังวัดผลไม่ได้อย่างเป็นรูปธรรมชัดเจน แม้จะเห็นใจดังที่รัฐบาลมักอ้างว่าได้เข้ามาเป็นผู้รับช่วงต่อ แต่เมื่อสมัครใจอาสาเข้ามา หรือหน้าชื่นตาบานหอบหิ้วข้าวตอกดอกไม้คารวะนักการเมืองทั่วสารทิศเพื่อมารับตำแหน่งสำคัญเช่นนี้แล้ว ก็ไม่ควรปฏิเสธหรือโยนกลองไปให้ใครต่อใครอีก

ทั้งหมดนี้ยังไม่รวมการแก้ปัญหาทางสังคมที่แม้แต่ระบบมาเฟียทั้งที่คลองเตยและในพื้นที่อื่นๆทั่วประเทศ ดูเหมือนว่ารัฐบาลยังคงขาดความกระตือรือร้น ปล่อยให้หวยเถื่อนบ่อนเถื่อนมีกันอยู่ดาษดื่น สรุปได้ว่ารัฐบาลทำงานไม่สมกับความไว้วางใจที่ผู้คนหลายฝักฝ่ายสู้อุตส่าห์สนับสนุนเกื้อกูลเลย แถมยังมีทัศนคติในเชิงเอาชนะคะคาน เพื่อต้องการพิสูจน์ศักยภาพให้เห็นว่า ผู้นำรัฐบาลไปได้ทุกที่ แต่ถ้าที่ไหนเขาไม่ต้อนรับขับสู้ผ่อนได้ก็ควรผ่อน เพื่อเห็นแก่ประโยชน์สุขของคนส่วนใหญ่ ก็คงจะได้รับความเห็นใจและความศรัทธาประสาทะมากกว่านี้

**********************************************************************

ม็อบแดงเชียงใหม่ยังไม่หยุด ชุมนุม-ปราศรัย โชว์พลังต้าน มาร์ค โวย ตร.จัดฉาก ป้ายสีบึ้มโยงประทุษร้าย


"กลุ่มรักเชียงใหม่"ยันชุมนุมต่อ ปักหลักรอไล่ รมต.ร่วมประชุมกับหอการค้า นปช.โวย ตร.จัดฉากป้ายสี จับแนวร่วมหวังโยงเตรียมการประทุษร้ายนายกฯ อ้างปืนมีใบอนุญาต-แค่ประทัดจุดไล่นก ไม่ใช่ระเบิดปิงปอง มีขายเกลื่อนภูเขาทอง "พัลลภ"ซัด ปชป.กุข่าวค่าหัว 10 ล้านไร้สาระ


ม็อบแดงเชียงใหม่ยังไม่หยุด"ชุมนุม-ปราศรัย"

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลา 09.00 น. เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน กลุ่มแดงเชียงใหม่เพื่อประชาธิปไตย นำโดยนายพีรพล มรกต รองเลขาธิการศูนย์ประสานงานกลุ่มแดงเชียงใหม่ฯ พร้อมพวกกว่า 50 คน เดินทางมารวมตัวกันข้างโรงยิมเนเซียม 2 สนามกีฬาเทศบาลนครเชียงใหม่ เพื่อเตรียมเคลื่อนขบวนแสดงพลังตามถนนรอบคูเมือง ลานประตูท่าแพ สี่แยกกลางเวียงและที่ราชานุสาวรีย์สามกษัตริย์ โดยคาดว่าจะมีพลังมวลชนกลุ่มแดงเชียงใหม่ จากอำเภอและจังหวัดต่างๆ ทยอยกันเดินทางมาสมทบ


นายพีรพล กล่าวว่า เราต้องการแสดงพลังต่อต้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในฐานะโมฆะบุรุษประชาธิปไตย ที่ไม่มีความชอบธรรมในการบริหารประเทศ ทำตัวเป็นข้าเผด็จการ เราต้องการประกาศไม่ต้อนรับ แต่จะใช้สันติในการชุมนุมอย่างสงบเพื่อไม่สร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนและนักท่องเที่ยวทั่วไป


"ตอนค่ำเราจะเปิดเวทีปราศัยที่หน้าศาลากลาง จ.เชียงใหม่ เพื่อโจมตีรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง โดยมี พล.ต.ขัติยะ สวัสดิผล และนายสุนัย จุลพงศธร ตอบรับมาร่วมกิจกรรม" นายพีรพล กล่าว


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่มแดงเชียงใหม่ที่รวมตัวกันได้จัดทำป้ายผ้าขนาดใหญ่เขียนข้อความ ไร้ความยุติธรรมก็ไร้ความสุข ชาวเชียงใหม่ไม่ต้อนรับนายอภิสิทธิ์ และรัฐบาลโจรทั้งหมด โดยยังไม่เห็นป้ายแสดงความขอบคุณที่นายอภิสิทธิ์ไม่เดินทางมา จ.เชียงใหม่ ตามที่ได้ประกาศไว้วานนี้แต่อย่างใด



ส่วนทางด้านหน้าโรงแรมเลอ เมอริเดียน ย่านไนท์บาซาร์ อ.เมือง นั้นบรรยากาศค่อนข้างเงียบสงบ มีเพียงเจ้าหน้าที่ตำรวจตรึงกำลังดูแลสถานที่เพียงบางส่วน และไร้เงากลุ่มเสื้อแดงโดยเฉพาะกลุ่มเสื้อแดงรักเชียงใหม่ 51 ซึ่งปักหลักชุมนุมกันที่หน้าโรงแรมวโรรส แกรนด์ พาเลซ ที่ประกาศว่าจะไม่เคลื่อนไหวออกไปจาพื้นที่ยกเว้นมีนักการเมืองที่ไม่พึงประสงค์เดินทางเข้ามาปฏิบัติภารกิจในพื้นที่เท่านั้น



"แดง"ชม.ชุมนุมปักหลักรอไล่รมต.
นายเพชรวรรต วัฒนพงศ์ศิริกุล แกนนำกลุ่มเสื้อแดงรักเชียงใหม่ 51 กล่าวเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน ถึงกรณีกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ประกาศเลื่อนการชุมนุมอีกระยะว่า แม้นายกรัฐมนตรีประกาศยกเลิกการเดินทางมาปาฐกถาพิเศษในการประชุมหอการค้าทั่วประเทศที่ จ.เชียงใหม่ ในวันที่ 29 พฤศจิกายน แต่กลุ่มเสื้อแดงเชียงใหม่จะยังชุมนุมเคลื่อนไหวทางการเมืองในพื้นที่ต่อไป โดยเน้นพิจารณาตัวบุคคลที่จะเดินทางมาร่วมประชุม


"เราจะตั้งมั่นอยู่ที่หน้าโรงแรมวโรรสแกรนด์พาเลซก่อน และรวมตัวไปขับไล่ทันทีหากมีรัฐมนตรีจากพรรคประชาธิปัตย์เดินทางมาร่วมกิจกรรม รวมทั้งรัฐมนตรีบางคนจากพรรคภูมิใจไทย เช่น นายเนวิน ชิดชอบ และนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย แต่หากเป็นนางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เราไม่ถือเป็นเป้าหมายที่คนเสื้อแดงจะรวมตัวไปต่อต้าน" นายเพชรวรรตกล่าว

เลิกล้อมสภ.เชียงใหม่แลกยุติ"จับ"
แกนนำกลุ่มเสื้อแดงรักเชียงใหม่ 51 กล่าวว่า การชุมนุมปิดล้อม สภ.เมืองเชียงใหม่นั้น เมื่อกลางดึกคืนที่ผ่านมา (วันที่ 26 พฤศจิกายน) แกนนำกลุ่มรักเชียงใหม่ 5 คน ได้เข้าเจรจากับผู้กำกับ และรองผู้กำกับ และมีการตกลงกันว่าพนักงานสอบสวนจะยุติการออกหมายเรียกและหมายจับผม เพื่อแลกเปลี่ยนกับการที่คนเสื้อแดงยอมสลายการชุมนุม ก็จบลงด้วยดีŽ นายเพชรวรรตกล่าว
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้แหล่งข่าวจาก สภ.เมืองเชียงใหม่ ปฏิเสธว่าตำรวจไม่ได้รับปากกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 ว่าจะยกเลิกหมายเรียกและหมายจับเพื่อแลกกับการเลิกปิดล้อม เพียงแต่อธิบายให้ทราบว่าศาลจังหวัดเชียงใหม่ ไม่ได้อนุมัติหมายจับนายเพชรวรรตเท่านั้น และกลุ่มคนเสื้อแดงก็ยอมสลายตัวกลับไปเองในช่วงกลางดึก


ทั้งนี้ แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงภาคเหนือเช่น นายจีรโรจน์ กีรติศักดิ์วรกุล ผู้ประสานงานกลุ่มพะเยารักประชาธิปไตย และสภาแดงล้านนาจังหวัดพะเยา นายศิริวัฒน์ จุปะมัดถา ผู้ประสานงานกลุ่มแดงพะเยา ต่างออกมายืนยันตรงกันว่า จะเดินทางไปสมทบกับกลุ่มเสื้อแดงเชียงใหม่ต่อไปแม้นายกฯยกเลิกกำหนดการร่วมประชุมกับหอการค้า ทั้งนี้ ก็เพื่อปักหลักรอประท้วงบุคคลจากฝ่ายรัฐบาลที่อาจมาร่วมประชุมครั้งนี้

"แดง"โวยป้ายสีแผนประทุษร้ายมาร์ค
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. แถลงที่พรรคเพื่อไทย (พท.) ว่ากรณีตำรวจเข้าจับกุมนายณรงค์ บุญจงเจริญ ชาว อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ พร้อมของกลางอาวุธปืน 8 กระบอก และวัตถุระเบิด 6,000 ลูกนั้น มีความพยายามเชื่อมโยงว่าคนเสื้อแดงเตรียมการก่อการประทุษร้ายนายอภิสิทธิ์ในการเดินทางไป จ.เชียงใหม่ ซึ่งตามข้อเท็จจริงวัตถุดังกล่าวไม่ใช่ระเบิดปิงปองตามที่ตำรวจตั้งข้อกล่าวหา แต่เป็นวัตถุที่ใช้จุดเพื่อให้เกิดเสียงดัง ที่นิยมใช้ในเทศกาลต่างๆ โดยเฉพาะเทศกาลลอยกระทงที่ผ่านมา โดยนายณรงค์พยายามชี้แจงกับตำรวจว่าวัตถุดังกล่าวนำมาจำหน่ายในช่วงเทศกาลลอยกระทงแต่จำหน่ายไม่หมดทำให้เหลือค้างและเก็บเอาไว้เท่านั้น


นายณัฐวุฒิที่นำวัตถุคล้ายที่ถูกจับได้ 400 ลูก มาใช้ประกอบการแถลงข่าวครั้งนี้ด้วย กล่าวว่า เครือข่ายคนเสื้อแดงใน จ.เชียงใหม่ ได้ติดต่อไปยังญาติของนายณงค์ ซึ่งได้ยืนยันว่านายณรงค์มีใบอนุญาตการจำหน่ายดอกไม้ไฟอย่างถูกต้องตามกฎหมาย อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่าร้านขายของชำของนายณรงค์นั้น มีจำหน่ายพลุและดอกไม้ไฟอื่นด้วย แต่เหตุใดตำรวจถึงไม่แสดงต่อสื่อมวลชน เรื่องนี้จงใจปกปิดข้อเท็จจริงหรือไม่ เพื่อพยายามป้ายสีความผิดให้กับคนเสื้อแดงเหมือนครั้งที่นายอภิสิทธิ์เดินทางไปยัง จ.ปทุมธานี แล้วมีการจับกุมชายพกวัตถุชนิดเดียวกันนี้จำนวน 40 ลูก ซึ่งทันทีที่นายอภิสิทธิ์ทราบข่าวได้เดินทางออกจากงานทันที แต่มาพบในภายหลังว่าชายคนดังกล่าวเป็นชาวนาใน จ.อ่างทอง โดยใช้วัตถุนี้ในการจุดเพื่อไล่นกออกจากนาเท่านั้น ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องปล่อยตัวไปในที่สุด

อ้างปืนมีใบอนุญาต-ซัดตร.จัดฉาก
นายณัฐวุฒิกล่าวว่า สำหรับการครอบครองอาวุธปืนนั้น ประชาชนใน อ.จอมทอง ต่างทราบกันดีว่านายณรงค์ เป็นคนมีฐานะและรับจำนำปืน ซึ่งปืนทุกกระบอกมีใบอนุญาต และหลักฐานการรับจำนำอย่างชัดเจน โดยปืนบางกระบอกยังเป็นของตำรวจด้วยซ้ำ นอกจากนี้จากการสอบถามแกนนำคนเสื้อแดงต่างยืนยันตรงกันว่าไม่เคยพบนายณรงค์ออกมาเคลื่อนไหวหรือทำหน้าที่เป็นการ์ดเสื้อแดงตามที่ถูกกล่าวหา แต่นายณรงค์มีหัวใจเป็นสีแดง และเคยบริจาคเงินเพื่อสนับสนุนการเคลื่อนไหวของเสื้อแดงเท่านั้น ดังนั้น การกระทำของตำรวจในครั้งนี้เป็นความพยายามจัดฉากว่าคนเสื้อแดงต้องการก่อความรุนแรงและต้องการทำร้ายนายอภิสิทธิ์ ซึ่งไม่ใช่เรื่องจริงอย่างสิ้นเชิง ขอให้รัฐบาลเลิกทำตัวเป็นเด็กเลี้ยงแกะเสียที อย่างไรก็ตาม ทันทีที่นายณรงค์ได้รับการประกันตัว นายณรงค์พร้อมที่จะเดินทางมา กทม.เพื่อแสดงหลักฐานเป็นการตบหน้ารัฐบาลและ พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม ผบช.ภ.5

ชี้ขายเกลื่อนทั่วกรุงท้าตร.ไปจับ
นายณัฐวุฒิกล่าวว่า ประทัดที่นำมาแสดงนี้ ซื้อมาจากย่านมีนบุรี 1 ห่อ และย่านภูเขาทองอีก 3 ห่อ ซึ่งหากนายณรงค์มีความผิดในการครอบครองวัตถุชนิดนี้นั้น ขอแจ้งเบาะแสการจับกุมไปยังรัฐบาลให้สั่งการกองกำลังบุกเข้าโอบล้อมภูเขาทองเพื่อกวาดล้างวัตถุระเบิดให้สิ้นซากพร้อมกับจัดแถลงข่าวการทำลายล้างคลังแสงนี้ให้ทั่วโลกได้รับทราบ ซึ่งรัฐบาลต้องดำเนินการอย่างเป็นมาตรฐานเดียวกันกับนายณรงค์


"เรื่องนี้ทำให้เห็นว่ารัฐบาลมีทัศนคติอย่างไรกับคนเสื้อแดง และมีความอำมหิตเพียงใดในการให้ร้ายคนเสื้อแดง จึงขอให้รัฐบาลหยุดบีบคั้นใส่ร้ายป้ายสีคนเสื้อแดง ที่ใดมีแรงกดที่นั่นจะมีแรงดันถ้าประชาชนเกิดทนไม่ได้ใครจะรับผิดชอบ แม้คนเสื้อแดงจะชุมนุมด้วยความสงบแต่เราไม่พร้อมที่จะได้รับการกดดัน" นายณัฐวุฒิกล่าว

ชี้"ประมวล"กุข่าวค่าหัว"ไร้สาระ"
นายณัฐวุฒิกล่าวว่า นายประมวล เอมเปีย ส.ส.ชลบุรี พรรคประชาธิปัตย์มีความพยายามที่จะนำเรื่องการจับวัตถุส่งเสียงดังนี้ไปเชื่อมโยงกับแผนการลอบทำร้ายนายอภิสิทธิ์ โดยมีการตั้งค่าหัว 10 ล้านบาท ดังนั้นขอเรียกร้องให้นายสุเทพ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง เรียกนายประมวล มาสอบถามข้อเท็จจริงว่ากองกำลังที่ไม่ทราบสังกัดนั้นเป็นอย่างไร เพื่อนายสุเทพจะได้ลากคอคนวางแผนมาลงโทษ ซึ่งหากนายสุเทพไม่สามารถดำเนินการได้ก็ให้ลากคอนายประมวลมาชี้แจงต่อประชาชนแทน นอกจากนี้ขอฝากไปยัง พล.ต.ท.สมคิด ให้ตั้งสติให้ดีอย่าใช้กฎหมายทำร้ายคนบริสุทธิ์เพราะวันหนึ่งกรรมจะตามทัน


ผู้สื่อข่าวถามว่า มองอย่างไรกับกรณีที่นายกรัฐมนตรียกเลิกเดินทางไป จ.เชียงใหม่ นายณัฐวุฒิกล่าวว่า เป็นไปตามความคาดการณ์ของพวกตนว่านายอภิสิทธิ์ จะถอยโดยให้ผู้จัดทำหนังสือมาระงับการเดินทางร่วมสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศ
พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี สมาชิก พท. กล่าวว่า ข่าวตั้งค่าหัวนายอภิสิทธิ์ 10 ล้านบาท เป็นการเต้าข่าวที่ไร้สาระ คงไม่มีใครคิดทำลายนายกฯอยู่แล้ว สมมุติว่าทำลายนายกฯได้ ก็ต้องมีคนอื่นขึ้นมารับตำแหน่งแทน

ชมนายกฯเลิกเดินทางไปเชียงใหม่
ส่วนกรณีที่นายกรัฐมนตรียกเลิกการเดินทางไป จ.เชียงใหม่นั้น พล.อ.พัลลภกล่าวว่า ขอชมเชยว่าทำถูกต้องแล้ว เพราะบ้านเมืองตอนนี้ต้องการความสามัคคี นอกจากนี้ขอชมเชยกลุ่มคนเสื้อแดงที่เลื่อนชุมนุมใหญ่ออกไป และคิดว่าตลอดเดือนธันวาคมไม่ควรจะมีการชุมนุมเกิดขึ้นเนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่มีแต่เทศกาลสำคัญจำนวนมาก หลังจากปีใหม่ไปแล้วจะชุมนุมกันยาวก็คงไม่มีใครว่าอะไร


นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พท. กล่าวว่า นายกฯยอมปฏิบัติตามคำแนะนำของหอการค้าไทย เป็นการหาทางลงที่ดี ซึ่งต้องขอบคุณนายกฯเพราะอย่างน้อยก็ทำให้ จ.เชียงใหม่ มีความสงบ ไม่มีความวุ่นวาย นอกจากนี้ยังเห็นว่าเมื่อกลุ่มเสื้อแดงเลื่อนการชุมนุมไปโดยไม่มีกำหนดในพื้นที่ กทม.แล้ว คิดว่ารัฐบาลก็ควรจะยกเลิกประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯในทั่วพื้นที่ กทม.ด้วยเพื่อให้บ้านเมืองอยู่ในความสงบด้วย

มท.1สั่งผู้ว่ากวดขันพวกชักจูงปชช.
นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้สั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ ผ่านทางระบบวีดิทัศน์ทางไกลผ่านดาวเทียม (วิดีโอคอนเฟอเรนซ์) ว่า ขณะนี้ยังมีบางกลุ่มได้กระทำการที่สวนกระแส ก่อความวุ่นวายแตกแยกขึ้นในบ้านเมือง สร้างความขัดแย้งในหมู่ประชาชนที่มีความคิดเห็นที่แตกต่างตามระบอบประชาธิปไตย และขยายความสู่ความแตกแยก หากไม่ได้รับการแก้ไขโดยเร็ว จะเป็นอุปสรรคและส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์รวมถึงการพัฒนาประเทศ ขอให้ผู้ว่าฯช่วยรณรงค์เสริมสร้างความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชนในพื้นที่ เพื่อให้เข้าใจว่า ทุกคนย่อมมีอำนาจในการคิดและการตัดสินใจบนพื้นฐานของเหตุผล อย่าให้บุคคลหรือกลุ่มบุคคลใดมาชักจูงเพื่อสร้างความแตกแยกในหมู่ประชาชนได้


นายชวรัตน์ ให้สัมภาษณ์ถึงการจับกุมยึดได้อาวุธปืน และวัตถุระเบิดที่ จ.เชียงใหม่ ว่า ต้องสืบสวนสอบสวนต่อไปว่าใครเป็นเจ้าของที่แท้จริง และดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด เพราะการชุมนุมสามารถทำได้ภายใต้รัฐธรรมนูญ แต่หากไม่เป็นไปตามกฎหมาย ตำรวจก็ต้องดำเนินคดี และเชื่อว่าเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจกวดขันเคร่งครัดสถานการณ์ความรุนแรงจะลดลง

ยุประชาพิจารณ์หาทางแก้ขัดแย้ง
ผู้สื่อข่าวถามว่า ควรจะมีการเจรจาระหว่างฝ่ายที่มีความขัดแย้งเพื่อยุติปัญหาหรือไม่ นายชวรัตน์กล่าวว่า อยู่ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีว่าจะดำเนินการอย่างไร ส่วนตัวเห็นว่าเรื่องทั้งหมดสื่อมวลชนควรทำให้เป็นประเด็นสาธารณะ ให้มีการทำประชาพิจารณ์ช่วยรัฐบาล ว่าประชาชนเห็นว่าเป็นอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องราวทั้งหมด เพราะอย่างที่เกิดขึ้นในการชุมนุมหลายครั้ง เมื่อฝ่ายข้าราชการ หรือตำรวจเข้าไปควบคุมดูแล อย่างเหตุการณ์ 7 ตุลาฯ ระดับผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ยังต้องถูกไล่ออกจากราชการ ทำให้ข้าราชการทำงานลำบาก เพราะหากยังเป็นอย่างนี้ต่อไปก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็ต้องอยู่กันไปเรื่อยๆ ดังนั้นควรนำมาเสนอเป็นประเด็นสาธารณะให้สังคมได้มีส่วนร่วม ว่าการชุมนุมมีขอบเขตขนาดไหนและเจ้าหน้าที่ดูแลได้อย่างไรเพื่อความสบายใจของผู้ทำหน้าที่ทุกฝ่าย

เลขาธิการ19หอค้าอีสานเซ็งนายกฯ
นายทวิสันต์ โลณานุรักษ์ เลขาธิการหอการค้า 19 จังหวัด ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กล่าวว่า การที่นายกฯปฏิเสธเดินทางไปร่วมงานประชุมสัมมนาร่วมกับหอการค้าทั่วประเทศที่ จ.เชียงใหม่ โดยอ้างเหตุผลของหอการค้านั้นต้องเข้าใจถึงสัญลักษณ์ของตัวนายกฯที่บ่งบอกความเชื่อมั่นในประเทศไทย สิทธิขั้นพื้นฐานภายใต้รัฐธรรมนูญ ทุกคนสามารถเดินทางไปไหนก็ได้ทั่วประเทศไทย เมื่อตัวนายกฯไม่กล้าโดยอ้างไม่มั่นใจในความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สินแล้ว นักท่องเที่ยว ประชาชน จะเชื่อมั่นได้อย่างไร หากไปแล้วจะต้องผจญกับปัญหาอะไรบ้าง ดังนั้น จึงเป็นโจทย์สำคัญที่ผู้นำประเทศต้องชี้แจงข้อเท็จจริงให้สังคมรับทราบ มิเช่นนั้นการท่องเที่ยวของ จ.เชียงใหม่ จะได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน ล่าสุด สถานทูตประเทศสหรัฐอเมริกา ก็ประกาศเตือนให้ ประชาชนของเขาหากไม่มีภารกิจสำคัญก็ควรงดเดินทางไป จ.เชียงใหม่


"แม้การประชุมสัมมนาของหอการค้าทั่วประเทศ จะดำเนินการไปได้ก็จริง แต่ตัวนายกฯไม่สามารถมาร่วมงานได้ จะทำให้บรรยากาศกร่อย จืดชืดอย่างแน่นอน" นายทวิสันต์กล่าว

"สมคิด"ใช้กรกฎ52คุม"หอการค้า"
พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม พร้อมหัวหน้าส่วนราชการทั้งทหารและฝ่ายปกครองร่วมกันชมการฝึกซ้อม เตรียมความพร้อมการรักษาความปลอดภัยบุคคลสำคัญของตำรวจ 3,500 นาย จาก 8 จังหวัดภาคเหนือ ที่สนามหญ้าหน้ากรมรบพิเศษที่ 5 ค่ายขุนเณร อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ เมื่อเวลา 16.00 น. วันที่ 27 พฤศจิกายน


พล.ต.ท.สมคิดกล่าวว่า เพื่อเป็นการยืนยันความพร้อมและสร้างความมั่นใจในการปฏิบัติหน้าที่เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ 8 จังหวัดภาคเหนือ และโดยเฉพาะ จ.เชียงใหม่ ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจมีภารกิจในการดูแลการประชุมหอการค้าทั่วประเทศ จึงกำหนดใช้แผนกรกฎ 52 และมาตรการอื่นรองรับที่สามารถปรับตามความเข้มข้นและลดระดับลงจากสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง

อ้างระเบิดที่จับได้อานุภาพ"แรง"
"ประชาชนทุกคนมีสิทธิตามหลักประชาธิปไตย แต่กลุ่มไหนก็ไม่มีสิทธิเข้ามาขับไล่รัฐมนตรีที่จะเข้ามาสร้างความเจริญให้ประชาชนได้ เพราะตำรวจจะพร้อมเข้าดูแลรักษาความปลอดภัยอย่างเต็มกำลังความสามารถ โดยบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดแบบไม่เลือกปฏิบัติ" พล.ต.ท.สมคิดกล่าว


พล.ต.ท.สมคิดกล่าวว่า เรื่องหมายจับนายเพชรวรรต พนักงานสอบสวนจะรวบรวมพยานหลักฐานให้เพียงพอเพื่อสรุปสำนวนส่งฟ้องอัยการให้พิจารณาต่อไป การปิดล้อมชุมนุมที่หน้า สภ.เมือง ให้ว่ากันไปตามกระบวนการของกฎหมาย ทั้งนี้ ยังได้สั่งการให้ ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่ กวาดล้างระเบิดและประทัดยักษ์ทุกพื้นที่ ยืนยันว่าระเบิดที่จับได้พร้อมผู้ต้องหามีอานุภาพร้ายแรงมากกว่าที่คาด"แดง"พะเยาทำบุญทอดผ้าป่า


นายทูล เวชกลาง ผู้อำนวยการสถานีวิทยุชุมชนคลื่นประชาธิปไตย 87.75 เมกะเฮิร์ตซ์ ร่วมกับกลุ่มเสื้อแดง 9 อำเภอใน จ.พะเยา จัดกิจกรรมทำบุญทอดผ้าป่า เพื่อนำเงินไปใช้ในการปรับปรุงอุปกรณ์เครื่องส่ง โดยนิมนต์พระผู้ใหญ่มารับทอดผ้าป่า เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 27 พฤศจิกายน ที่อาคารสำนักงานของนางอรุณี ชำนาญยา ส.ส.พะเยา พรรคเพื่อไทย เลขที่ 117 หมู่ 14 ต.บ้านต๋อม อ.เมือง โดยมีนายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง รังษี เสรีชัย-แดง จิตกร เข้าร่วมร้องเพลงขับกล่อมผู้ไปร่วมงานด้วย

วันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เขมรกร้าวเลิกกู้ไทย1.4พันล้าน ใจดีให้แม่วิศวกรเยี่ยมลูก1.30ชม. "กษิต"ลั่นเปิดเจรจาต้องปลด"แม้ว"ก่อน


"เขมร"กร้าวขอยกเลิกกู้เงินไทยสร้างถนน 1.4 พันล้าน โชว์บทใจดี จัดห้องพิเศษให้แม่วิศวกรเข้าเยี่ยมนาน 1.30 ชม. บอกลูกไม่ใช่เหยื่อแต่โชคร้ายมากกว่า วอนทางการ"เขมร"ให้ความเมตตา "เตีย บัน"ยันไม่ใช่คดีการเมือง ย้ำยึดหลักสากลดำเนินการ "กษิต"ลั่นเปิดเจรจาฟื้นสัมพันธ์"กัมพูชา"ต้องปลด"แม้ว"ก่อน

"เขมร" ยกเลิกกู้ไทย1.4พันล้าน

สำนักข่าวเอพีรายงานเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายนว่า กัมพูชาได้แจ้งให้ไทยทราบแล้วว่าจะยกเลิกข้อตกลงที่จะกู้เงินจำนวน 1,400 ล้านบาท จากไทยที่จะนำไปใช้สร้างถนนหลวงที่มีเส้นทางจากชายแดนของไทย โดยนายกอย กวง โฆษกกระทรวงต่างประเทศกัมพูชา เปิดเผยว่า กัมพูชาจะไม่รับเงินกูจากไทยเนื่องจากทางกัมพูชามีงประมาณมากพอที่จะใช้ในการสร้างถนนได้เอง

แม่วิศวกรเชื่อแคล้วคลาดนำดินไปฝาก


นางสิมารักษ์ ณ นครพนม และ นายพงษ์สุรีย์ ชุติพงษ์ มารดาและน้องชาย นายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ วิศวกรชาวไทย ที่ถูกทางการกัมพูชาจับกุม พร้อมด้วย น.ส.มธุรพจนา อินทะรงค์ รองอธิบดีกรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ ออกเดินทางโดยเที่ยวบิน ทีจี 580 เวลา 07.45 น. วันที่ 27 พฤศจิกายน จากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ไปยังกรุงพนมเปญ กัมพูชา เพื่อเยี่ยมนายศิวรักษ์ ที่เรือนจำเปรยซอ โดยเดินทางถึงเวลา 09.00 น. อย่างไรก็ตาม ก่อนเดินทาง นางสิมารักษ์ให้สัมภาษณ์ว่าเมื่อเจอหน้าบุตรชายจะแสดงความห่วงใย ดีใจ และให้กำลังใจว่ารออีกสักระยะจะได้รับอิสรภาพ โดยเตรียมเครื่องใช้ส่วนตัว เช่น แปรงสีฟัน ยาสีฟัน และยารักษาโรคประจำตัว รวมทั้งดินหน้าบ้านเพราะเชื่อว่าจะช่วยทำให้แคล้วคลาดจากอันตรายและเดินทางกลับบ้านโดยปลอดภัย


ด้าน น.ส.มธุรพจนากล่าวว่า เข้าเยี่ยมนายศิวรักษ์ เวลา 14.00 น. ได้มอบหมายให้ทนายชาวกัมพูชาดูแล โดยประสานกับเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศและนายเดชอุดม ไกรฤทธิ์ นายกสภาทนายความ ขณะนี้ต้องรอกระบวนการยุติธรรมของกัมพูชา ทั้งนี้คณะที่เดินทางไปจะเดินทางกลับ เวลา 21.10 น.


เผยบรรยากาศเยี่ยมชื่นมื่น


ต่อมานายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยภายหลังจากที่นางสิมารักษ์เข้าเยี่ยมนายศิวรักษ์ว่า ทุกคนพอใจกับการเข้าเยี่ยม โดยได้ใช้เวลาเข้าเยี่ยมถึง 1.30 ชั่วโมง จากปกติที่อนุญาตให้เข้าเยี่ยมได้เพียงครึ่งชั่วโมง นอกจากนี้ยังเข้าเยี่ยมโดยไม่จำกัดจำนวนผู้เยี่ยม ซึ่งปกติให้เข้าเยี่ยมได้เพียง 4 คน และจัดห้องประชุมชั้นบนของเรือนจำเพื่อพูดคุยกัน ซึ่งบรรยากาศก็เป็นไปด้วยดี มีรอยยิ้ม ยืนยันว่ามีความเป็นอยู่ดี มีอาหารพร้อม


"ทราบว่านายศิวรักษ์ ได้พักในห้องพักเรือนจำชั้นดี อยู่กันเพียง 5 คนจากที่ปกติต้องอยู่รวมกันถึง 30 คน โดยนักโทษอีก 4 คน เป็นนักโทษชั้นดีที่มีโทษสถานเบา ไม่ใช่คดีรุนแรงโหดเหี้ยม ทั้งนี้นายศิวรักษ์ไม่ได้แสดงความกังวลและยังสบายใจอยู่" นายชวนนท์กล่าว และว่า ส่วนการรวบรวมหลักฐานพร้อมที่จะขึ้นศาลในเวลา 07.30 น. วันที่ 8 ธันวาคมนี้ คาดว่านางสิมารักษ์ จะเข้าไปที่ศาลด้วย โดยคาดว่าจะเดินทางไปรอตั้งแต่วันที่ 7 ธันวาคม ทั้งนี้นายศิวรักษ์ยืนยันอีกครั้งว่า ไม่ได้ทำการใดๆ ผิดกฎหมายและข้อมูลดังกล่าวไม่ใช่ข้อมูลที่เป็นความลับและไม่ได้ใช้วิธีพิสดารในการเข้าถึงข้อมูล


แม่วิศวกรบอกลูกโชคร้าย


เมื่อเวลา 17.00 น. ที่สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญ นางสิมารักษ์แถลงข่าวทั้งน้ำตาหลังเข้าเยี่ยมนายศิวรักษ์ ว่า ลูกชายซูบผอมลงแต่ยังมีสุขภาพแข็งแรง ต้องขอบคุณทางการกัมพูชาที่ให้การดูแลลูกอย่างดี และหวังว่าลูกจะได้รับอิสรภาพโดยเร็ว ขอบคุณที่เปิดโอกาสให้แม่ลูกได้พบกัน เนื่องจากรอมานานถึง 16 วัน ทั้งนี้วิงวอนให้ทางการกัมพูชาเมตตาลูกด้วย ยืนยันว่าลูกชายไม่ได้ยุ่งเกี่ยวการเมือง และเหตุการณ์ครั้งนี้ไม่คิดว่าลูกตนเป็นเหยื่อแต่ถือเป็นความโชคร้ายมากกว่า


"กษิต"ยันต้องปลด"แม้ว"จึงเจรจา


ด้านนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ถึงข้อเสนอของนายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศที่ระบุว่าให้ไทยเป็นฝ่ายขอเจรจากับกัมพูชาก่อนเพื่อแก้ไขปัญหาว่า เป็นข้อเสนอของคนไทยคนหนึ่งก็รับฟัง เมื่อถามย้ำว่าจะรับฟังข้อเสนอดังกล่าวหรือไม่ นายกษิตกล่าวว่า อยากพูดก็พูดไป


ผู้สื่อข่าวถามว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่ไทยจะเปิดเจรจากับกัมพูชาก่อน นายกษิตกล่าวว่า ไม่มี ไม่เปิด ตราบใดที่ยังแต่งตั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเป็นที่ปรึกษา ก็ยังเป็นปัญหาคาอยู่ กัมพูชาต้องเลิกยุ่งเกี่ยวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่ที่กัมพูชาก็ต้องจบที่กัมพูชาไม่ได้อยู่ที่ไทย


เมื่อถามว่าหากไทยเจรจาก่อนกลัวเสียหน้าใช่หรือไม่ นายกษิตกล่าวว่า ไม่มีอะไรที่ต้องเสียหน้า เพราะเราทำด้วยความถูกต้อง ประเทศไทยมีศักดิ์ศรี ส่วนกรณีมีข่าวระบุว่ากระทรวงการต่างประเทศทำหนังสือถึงกัมพูชาเพื่อขอให้ถอด พ.ต.ท.ทักษิณออกจากการเป็นที่ปรึกษา นายกษิตกล่าวว่า ไม่มี เพราะสิ่งใดที่ได้ดำเนินการกระทรวงการต่างประเทศได้เปิดเผยไปทั้งหมดแล้ว ไม่มีอะไรปิดบัง


"สุเทพ"ยันกองทัพ2ปท.สัมพันธ์ดี


ด้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ที่ทำเนียบรัฐบาลถึงกรณีประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป ไทย-กัมพูชาหรือเจบีซี ว่า ความสัมพันธ์ของกองทัพยังปกติอยู่ เคยพูดแล้วว่าการที่รัฐบาลได้กำหนดท่าทีในการตอบโต้กัมพูชาด้วยการประกาศยกเลิกข้อตกลงร่วมกัน (เอ็นโอยู) นั้นเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการเมืองระหว่างประเทศหรือทางการทูต แต่เรายังคงความสัมพันธ์ในเรื่องของความมั่นคงของทหารเอาไว้เพื่อไม่ให้สถานการณ์บานปลาย


"ขณะนี้ทหารทั้ง 2 ประเทศยังคงประสานกัน ติดต่อและพูดคุยกัน โดยระมัดระวังไม่ให้เกิดความตึงเครียดขึ้นที่บริเวณชายแดน เราเป็นเพื่อนบ้านกันมีโอกาสที่ผิดอก ผิดใจกันได้ แต่ไม่จำเป็นต้องมารบราฆ่าฟันกัน ต้องช่วยกันรักษาสันติภาพ รักษาความสงบที่ควรจะต้องมีเอาไว้"นายสุเทพกล่าว


เมื่อถามว่าจะสานสัมพันธ์อะไรต่อหรือไม่ หรือจะปล่อยไปอย่างนี้ นายสุเทพกล่าวว่า อีกสักพักก็คงน่าจะแก้ไขกันได้ ขึ้นอยู่กับช่วงเวลาและเป็นเรื่องของความพร้อมของทั้งฝ่ายไทยและกัมพูชา


อีกไม่นานเขมรเข้าใจความจริง


เมื่อถามถึงกรณีนายสุรเกียรติ์เสนอให้รัฐบาลเป็นฝ่ายเดินเข้าไปเจรจากับฝ่ายกัมพูชาก่อน โดยไม่ต้องกลัวว่าจะเสียหน้า นายสุเทพกล่าวว่า นายสุรเกียรติ์กับรัฐบาลอาจจะคิดไม่เหมือนกันเพราะรัฐบาลคิดว่าเป็นเรื่องของ 2 ประเทศ ไม่จำเป็นต้องยกระดับขึ้นไปเป็นเรื่องระดับอาเซียนหรือสูงกว่านั้น เป็นเรื่องที่ 2 ประเทศจะต้องหาช่วงเวลาที่เหมาะสมในการปรับความสัมพันธ์แก้ปัญหากัน รัฐบาลไม่ได้คิดว่าจะเป็นเรื่องเสียหน้าเสียตาอะไร แต่ว่าตราบใดที่เงื่อนไขยังไม่เปลี่ยนแปลง มันก็ลำบากที่จะเจรจากัน แต่ตนคิดว่าอีกสักพักทางฝ่ายกัมพูชาก็จะเข้าใจความจริง


เมื่อถามว่า รัฐบาลได้ยื่นเงื่อนไขออกไปหรือยังว่าให้ถอด พ.ต.ท.ทักษิณ ออกจากที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลกัมพูชา นายสุเทพกล่าวว่า ไม่รู้ว่ากระทรวงต่างประเทศทำอะไรบ้าง แต่ตอนที่เกิดเรื่องกันเราถือว่าการที่รัฐบาลกัมพูชาตั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจและปฏิเสธที่จะส่งตัวมารับโทษที่ประเทศไทย รวมทั้งได้วิพากษ์วิจารณ์การเมืองในประเทศไทย ระบบยุติธรรมของประเทศไทย มันเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง


เผย4ข้อตกลงสร้างสันติชายแดน


เมื่อเวลา 11.30 น. วันเดียวกัน ที่โรงแรมดุสิตธานี พัทยา จ.ชลบุรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ พล.อ.เตีย บัน รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหกลาโหม แถลงผลประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชาหรือ จีบีซี สมัยวิสามัญ ครั้งที่ 6


พล.อ.ประวิตรแถลงว่า การประชุมเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งมิตรภาพโดยเรามุ่งเน้นกรอบอำนาจหน้าที่ โดยต่างคนต่างสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกันเพื่อทำให้ชายแดนไทยกัมพูชามีความสงบเรียบร้อยและปลอดภัย ตนและ พล.อ.เตีย บัน เห็นพ้องต้องกันมีข้อสรุปดังนี้
1.กองทัพของทั้ง 2 ประเทศตามแนวชายแดนไม่ว่าทางบก ทางทะเล ยืนยันว่าจะปฏิบัติหน้าที่โดยยึดถือสันติวิธีในการแก้ไขปัญหาตามแนวชายแดน ขจัดปัญหาความขัดแย้งต่างๆ
2.กองทัพของ 2 ประเทศตลอดแนวชายแดนจะอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนสองประเทศค้าขายตามแนวชายแดน และไปมาหาสู่กันได้ อย่างที่เคยปฏิบัติมา
3.กองทัพทั้งสองเห็นพ้องต้องกันว่าจะดำรงความสัมพันธ์ที่ดี ระหว่างประเทศทั้งสองและระหว่างประชาชนทั้งสองโดยยึดถือกฎหมายระหว่างประเทศ และข้อตกลงบนพื้นฐานความเข้าใจ จริงใจ ความเท่าเทียม ในฐานะสมาชิกกลุ่มประเทศอาเซียน และประเทศเพื่อนบ้านที่มีชายแดน ติดต่อกัน
4.กองทัพไทยและกองทัพกัมพูชาจะสนับสนุนภารกิจกลไก ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทุกระดับ


"เตีย บัน"จับวิศกรไม่เกี่ยวการเมือง


ผู้สื่อข่าวถามว่า ได้หยิบยกกรณีการช่วยเหลือนายศิวรักษ์มาหารือหรือไม่ พล.อ.เตีย บัน กล่าวว่า ไม่ใช่ความรับผิดชอบของฝ่ายทหาร การดำเนินการเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม กฎหมาย และหลักสากล ไม่มีอะไรเกินขอบเขต ตนมีความเชื่อมั่นว่าการแก้ไขปัญหาจะเป็นไปด้วยความยุติธรรม เมื่อถามว่า ทางกัมพูชาเห็นว่าทางศิวรักษ์ผิดจริงหรือไม่ พล.อ.เตีย บัน กล่าวว่า ปัญหานี้เป็นข้อเท็จจริง ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นการคุมตัวให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม


เมื่อถามว่า โทษนายศิวรักษ์หนักแค่ไหน พล.อ.เตีย บัน กล่าวว่า โทษหนักเบา อาศัยความยุติธรรมและการตัดสิน ที่มีลักษณะเพียงพอ เพื่อให้เคารพการตัดสินทางกฎหมาย เมื่อถามว่า ความสัมพันธ์ทางทหารจะช่วยลดโทษจากหนักไปเบาหรือไม่ พล.อ.เตีย บัน กล่าวว่า มีความเชื่อมั่นว่าทางฝ่ายทหารมีความสามารถในการเข้าร่วมเพื่อให้การดำเนินการเป็นไปด้วยดี และการช่วยเหลือวิศวกรน่าจะมีความสามารถที่จะอำนวยความสะดวกให้วิศวกร


เมื่อถามว่า แสดงว่า พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ และ พ.ต.ท.ทักษิณ เข้ามาช่วยเหลือก็ช่วยไม่ได้ใช่หรือไม พล.อ.เตีย บัน กล่าวว่า ตนจะชี้แจงด้วยความชัดเจนว่าต้องเป็นไปตามกฎหมาย เชื่อว่าการดำเนินการตามกฎหมายจะได้บรรลุไปได้ด้วยดี เมื่อถามว่า เกรงว่าปัญหาวิศวกรจะกลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว พล.อ.ประวิตรกล่าวสวนในทันทีด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า ไม่เป็นอย่างนั้นหรอก เมื่อถามว่า ยืนยันได้หรือไม่ว่าการจับวิศวกรไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเมือง พล.อ. เตีย บัน กล่าวว่า ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องการเมือง แต่เป็นการปฏิบัติที่เกิดจากความผิดตามกฎหมายกัมพูชา

อำลาอาลัย..ลุงหมักของเรา


ในที่สุด เหตุการณ์ที่ประชาชนผู้รักประชาธิปไตย อย่างเราๆท่านๆ รู้สึกประหวั่นพรั่นใจไม่อยากให้เกิดมาโดยตลอด ก็อุบัติขึ้นจนได้

นั่นคือ อสัญกรรมของนักการเมืองผู้ยิ่งใหญ่ บุรุษชาติอาชาไนยจอมทระนงอย่างฯพณฯ อดีตนายกรัฐมนตรี สมัคร สุทรเวช หรือลุงหมักของเรา เมื่อเวลา 8.48 น. ของวันที่ 24 พฤศจิกายนที่ผ่านมา

นับเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่หลวง ซึ่งมาผิดที่ผิดเวลา ในขณะที่บ้านเมืองกำลังเข้าสู่กลียุค อันเป็นช่วงเวลาที่ประชาชนต้องการเสาหลัก ที่ทรงความเที่ยงธรรมอย่างท่านเป็นที่สุด

เหมือนสูญเสียแม่ทัพผู้กล้าไป ในท่ามกลางสมรภูมิรบ การคร่ำครวญพิรี้พิไร รังแต่จะบั่นทอนกำลังใจในการต่อสู้ โดยใช่เหตุ ดังนั้น แม้ว่าจะอาลัยรักเพียงใด คงทำได้แค่เพียงหลั่งน้ำตาอยู่ในอก แล้วเชิดหน้าขึ้น ต่อสู้ต่อไป จนกว่าจะได้ประชาธิปไตยมา

สมดังปณิธานของลุงหมัก ที่ต่อสู้เพื่อสิ่งนี้มาชั่วชีวิต

ธรรมชาตินั้นเที่ยงธรรมเสมอ ไม่เคยเลือกที่รักมักที่ชัง ไม่เคยดึงดันหรือผ่อนปรน ต่อให้เป็นผู้ที่ประชาชนรักแสนรักเพียงใด เมื่อถึงเวลาต้องจากไป ก็ไม่ได้รับการยกเว้นอยู่ดี

สุดที่จะหาคำใดมากล่าว เพื่อสื่อถึงความเศร้าโศกเสียใจ เมื่อญาติผู้ใหญ่ที่เราเคารพรัก และหวังพึ่งพิงในยามหน้าสิ่วหน้าขวาน ต้องมาด่วนจากไป ทั้งๆที่ไม่ใช่เวลาอันควร แต่จะทำยังไงได้ ในเมื่ออะไรจะเกิด มันก็ต้องเกิด

บุคคลากรที่ทรงคุณค่าอย่างท่าน ใช่ว่าจะหาที่ยืนได้ง่ายๆ ในบ้านป่าเมืองเถื่อน อย่างบ้านนี้เมืองนี้ แต่ความดีของท่าน ก็ยืนหยัดท้าทาย ทนทานต่อแรงเสียดสี และกำชัยเหนือความชั่วช้า ที่โหมประดังเข้ามาย่ำยีอย่างบ้าคลั่ง ในที่สุด

เพราะถือหลักว่า "ความกลัวทำให้เสื่อม" ลุงหมักจึงไม่เคยเสื่อม เพราะคนอย่างท่าน ไม่เคยเกรงกลัวใคร ไม่ว่าหน้าอินทร์หน้าพรหม หรือหน้าไหนทั้งสิ้น แม้กระทั่งบรรดาสื่อชั่ว ที่รวมหัวกันใส่ไฟ ทำลายล้างท่านอย่างป่าเถื่อน ไร้ความปราณี เหมือนฝูงหมาป่าที่รุมขย้ำพญาราชสีห์ อย่างเมามัน

แต่ถึงที่สุดแล้ว ธรรมะก็ชนะอธรรม ความดีก็ชนะความชั่ว กาลเวลาได้ออกใบรับรองความบริสุทธิ์ผุดผ่องให้ลุงหมัก ชนิดที่คงไม่มีนักการเมืองหน้าไหน ที่จะซื่อสัตย์ได้เท่านี้อีกแล้ว

อดีตของท่านจะเป็นอย่างไรไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่วาระสุดท้าย ท่านได้ทำคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติอย่างใหญ่หลวง ด้วยการยืนหยัดออกนำหน้าประชาชน ในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจว่า อำนาจมืดนั้นยิ่งใหญ่ขนาดไหน

ถ้าไม่มีลุงหมักในวันนั้น ยังไม่รู้ว่า เสื้อแดงในวันนี้จะเป็นอย่างไร

ยังไม่ลืมวันวานอันหวานชื่น เมื่อลุงหมักถือธงนำหน้า นำพาพรรคพลังประชาชนออกปราศัยหาเสียง ท่ามกลางมวลมหาประชาชน ที่หลั่งไหลกันมาอย่างมืดฟ้ามัวดิน เพื่อฟังลุงหมักพูดอย่างออกรสออกชาติ พร้อมๆกับแสดงพลังให้เป็นที่ประจักษ์

วันนั้นคือวันที่ประชาชนฮึกเหิมเป็นที่สุด ทั้งรอยยิ้มและน้ำตาแห่งความยินดี แผ่ซ่านไปทั่วทุกผู้ทุกคน กำแพงแห่งอธรรม ถูกพังทลายลง ด่านแล้วด่านเล่า จนในที่สุด พรรคพลังประชาชนก็เข้าเส้นชัยอย่างขาวสะอาด

ยังไม่ลืมวันที่พวกเราต้องหลั่งน้ำตาด้วยความปลื้มปีติ เมื่อเห็นลุงหมักใส่ชุดขาว เข้าพิธีรับตำแหน่งนายกฯ อย่างสง่าผ่าเผย

แต่มาวันนี้ ทั้งๆที่ห่างกันไม่นาน เรากลับต้องมาเสียน้ำตาอีกครั้ง กับการจากไปอย่างไม่มีวันกลับ ของลุงหมักผู้เป็นวีรบุรุษในดวงใจของเราทุกคน

ถ้าเลือกได้ ลุงหมักคงไม่อยากจากพวกเราไป ในสภาพนี้ และถ้าเลือกได้ พวกเราก็คงไม่ยอมให้ใครมาพราก ลุงหมัก ไปเช่นกัน

แต่ในเมื่อมันเป็นชะตาฟ้าลิขิต ถึงยังไงเราก็ต้องก้าวข้ามมันไปให้ได้ แม้จะอาลัยอาวรณ์แค่ไหน ก็คงต้องปล่อยให้ลุงหมักไปพักผ่อนให้สบาย

ส่วนพวกเรา หลังจากเช็ดน้ำตาแล้ว ก็คงต้องรวบรวมพลังออกก้าวเดินต่อไป เพื่อสานต่อเจตนารมย์ของลุงหมัก ให้ลุล่วงให้จงได้

ไว้เสร็จศึกเมื่อใด คงได้ปลุกลุงหมักมาฉลองชัยให้สุดๆ

วโรทาห์: 26 พ.ย. 52

วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

พรรคร่วมบี้ ‘มาร์ค’ ทองไม่รู้ร้อน


ประกาศเหวี่ยงแหหราแบบนี้คนเสื้อแดงไม่กลัว แต่คนทำธุรกิจและนักท่องเที่ยวผวาไปตามๆ กันบรรยากาศแบบนี้ที่หวังจะกระเตื้องหรือฟื้นตัวได้บ้างอย่างที่รัฐบาลโฆษณาชวนเชื่อ ก็เลยนึกไม่ออกว่า จะเป็นไปได้อย่างไรถ้ารัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ เขย่าขวัญไปทั่วเช่นนี้ธุรกิจท่องเที่ยวยิ่งไม่ต้องพูดถึง มองไม่เห็นอนาคตไฮซีซั่นอีกแล้วปีนี้ เคราะห์ซ้ำซ้อนซ้ำซากจากการทำลายล้างทางการเมือง ต่อเนื่องจากรัฐประหาร 19 กันยายน ปี 2549 มาจนถึงปัจจุบันปี 2552 ก็ยังไม่จบ

ในขณะที่ภาพเบื้องหน้า ทำให้เกิดการจับจ้องมองกันว่า รัฐบาลประชาธิปัตย์ ที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี จะสามารถอยู่รอด ผ่านพ้นเทศกาลช่วงปีใหม่ไปได้หรือไม่เพราะบรรดากลุ่มคนเสื้อแดง ยืนยันหนักแน่นแล้วว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องรวมพลังกดดันรัฐบาลนี้ให้ไม่มีโอกาสฉลองปีใหม่ยิ่งสุดท้ายที่

กระมิดกระเมี้ยน ว่าต้องพิจารณาก่อนว่า เหมะสมเพียงใดในการประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ แต่เอาเข้าจริงก็ประกาศใช้ตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์เอาไว้รัฐบาลชุดนี้ไม่กล้าเสี่ยงที่จะปล่อยให้กลุ่มคนเสื้อแดงชุมนุมกันโดยไม่มีกฎหมายกดหัวเอาไว้แน่ๆข้ออ้างในเรื่องของความเป็นห่วงจะเกิดความรุนแรง รวมทั้งถึงขนาดปล่อยข่าวออกมาเองว่า จะมีการขนคนต่างด้าวเข้ามาร่วมอยู่ในการชุมนุมของคนเสื้อแดงด้วย จึงยิ่งจำเป็นเข้าไปใหญ่ในการที่ต้องประกาศใช้ พ.ร.บ.

ความมั่นคงฯ รวมทั้งต้องเตรียมแผนถึงขั้นสลายและขั้นปราบกันเลยทีเดียว โดยใช้ข้ออ้างเรื่องต่างด้าวนั่นแหละแต่เมื่อถามว่ากระแสข่าวเรื่องต่างด้าวมาจากไหนก็อ้ำๆ อึ้งๆ แล้วก็โยนไปว่าเป็นรายงานจากหน่วยข่าวกรอง ... ปัญหาอยู่ที่ว่า เกมนี้กลุ่มคนเสื้อแดงอ่านอยู่แล้วว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องมีการประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ แน่ จึงไม่ได้กลัว แม้ว่าจะประหลาดใจนิดหน่อย ที่งวดนี้รัฐบาลกังวลหนักขนาดประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ปูพรมไปทั่วกรุงเทพฯประกาศ

เหวี่ยงแหหราแบบนี้คนเสื้อแดงไม่กลัว แต่คนทำธุรกิจและนักท่องเที่ยวผวาไปตามๆ กัน... บรรยากาศแบบนี้ที่หวังจะกระเตื้องหรือฟื้นตัวได้บ้างอย่างที่รัฐบาลโฆษณาชวนเชื่อ ก็เลยนึกไม่ออกว่า จะเป็นไปได้อย่างไรถ้ารัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ เขย่าขวัญไปทั่วเช่นนี้ธุรกิจท่องเที่ยวยิ่งไม่ต้องพูดถึง มองไม่เห็นอนาคตไฮซีซั่นอีกแล้วปีนี้ ... เคราะห์ซ้ำซ้อนซ้ำซาก จากการทำลายล้างทางการเมืองต่อเนื่องจากรัฐประหาร 19 กันยายน ปี 2549 มาจนถึงปัจจุบันปี

2552 ก็ยังไม่จบแถมไม่มีอะไรดีขึ้น นี่ถ้าคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ หรือ คมช. ไม่ได้มีกระบอกปืนและรถถังอยู่ในมือ แต่เป็นเด็กๆ คงโดนจับมาฟาดก้นกันระนาวไปแล้ว... ที่ทำบ้านเมืองเจ๊งยับขนาดนี้ความแตกแยกทางการเมืองไม่เพียงทำให้ภาคธุรกิจเอกชนเสียหาย แต่ยังทำให้บรรดาคนในแวดวงเศรษฐกิจหลายคนพลอยเสียไปด้วย เพราะแทนที่จะเป็นกลาง กลับแสดงออกจ๋าว่าเชียร์ขั้วนั้นขั้วนี้อย่างในสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาหอการค้าไทย

ซึ่งนายสันติ วิลาสศักดานนท์ และนายดุสิต นนทะนาคร อาศัยหมวกแล้วเชียร์ออกหน้าออกตา ชนิดที่นายสันติพูดหน้าตาเฉยว่า การประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ไม่กระทบกับเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวสภาอุตสาหกรรมฯ ก็เลยป่วน ชนิดที่แตกแยกแบ่งขั้วความคิดตามเทรนด์ฮิตของการเมืองไปด้วย ยังดีที่กำลังจะมีการเลือกตั้งประธานฯ คนใหม่ หลายคนก็เลยมองว่าหลังได้ประธานคนใหม่อะไรๆ อาจจะดีขึ้นเพราะนายสุรพร สิมะกุลธร ประธานกิตติมศักดิ์ กลุ่มไฟฟ้า

และอิเล็กทรอนิกส์ 1 ใน แคนดิเดท ประธานสภาอุตสาหกรรมคนใหม่ ยังยอมรับเลยว่าในช่วงที่ผ่านมาประสบปัญหา มีความแตกแยก และยอมรับด้วยว่า ระยะที่ผ่านมาสภาอุตสาหกรรมเข้าสู่ยุคตกต่ำงามหน้ามั้ยล่ะนี่คือผลงานทางการเมืองที่เกิดขึ้นจากการมุ่งทำลายล้างอย่างไม่ลืมหูลืมตา ภายใต้การขานรับอย่างเต็มอกเต็มใจของคนประชาธิปัตย์บางคนบางกลุ่ม ที่กำลังสร้างความหนักใจอย่างยิ่งให้กับบรรดาผู้อาวุโสของพรรค ที่ถึงกับหลุดปากออกมาด้วยความเอือมระอา

แล้วว่า“คนพวกนี้ไม่ใช่คนสร้างพรรค เป็นแค่คนที่เข้ามาเป็นสมาชิกพรรคในยุคปัจจุบันเท่านั้น ดังนั้นจะปล่อยให้พรรคที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศนี้ มามีปัญหาในยุคนี้ไม่ได้”สาเหตุที่ทำให้หลายๆ คนในพรรคประชาธิปัตย์เริ่มที่จะอึดอัด ก็เพราะขณะนี้บรรดากลุ่มคนที่ใกล้ชิดนายอภิสิทธิ์ ไม่ได้ใช้สไตล์ประชาธิปัตย์ที่สุขุมนุ่มลึก แต่กลับกลายเป็นโฉ่งฉ่างท้าตีท้าต่อยไม่หยุดยั้ง ไม่เลือกเรื่อง ไม่เลือกคน หรือแม้แต่กระทั่งไม่แบ่งแยกมิตรหรือพรรคพวกวันนี้บรรดากลุ่มคนที่ใกล้

ชิดอำนาจ เน้นความก้าวร้าว และยึดผลประโยชน์เฉพาะกลุ่ม เน้นการสร้างภาพเป็นหลัก จนกลายเป็นความปั่นป่วนไปหมด ไม่เพียงแค่เฉพาะในพรรคประชาธิปัตย์ด้วยกันเองที่อึดอัดแม้แต่บรรดาพรรคร่วมรัฐบาล วันนี้ก็ออกอาการอึดอัดจนเหลือทนแล้วเหมือนกันยิ่งหลังจากที่นายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ทำหน้าที่ประสานระหว่างรัฐบาลกับพรรคร่วมฯ ในฐานะเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ยังเจอพิษกรณีดึงดันจะตั้ง พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ เป็น ผบ.ตร.ให้ได้จน

นายนิพนธ์ต้องตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งเลขาธิการนายกฯ โดยที่กลุ่มคนรอบข้างนายอภิสิทธิ์พากันแอบยิ้มด้วยความคาดหวังว่าจะมีรายการส้มหล่น!!!ในขณะที่สายสัมพันธ์กับพรรคร่วมรัฐบาลกลับยิ่งย่ำแย่ลงไปอีกไม่ใช่แค่นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เท่านั้นที่ออกอาการไม้เบื่อไม้เมา และเซ็งเต็มทีกับวิธีการของคนประชาธิปัตย์ชุดปัจจุบันขนาดต้องจำยอมให้มีการส่งคนของประชาธิปัตย์มาเป็นส่วนหนึ่งในทีมที่ปรึกษาของนางพรทิวาแล้ว

แต่ก็ไม่สามารถที่จะลดความขัดแย้ง แย่งซีน และปัดแข้งปัดขาในการทำงานได้แต่ขณะนี้บรรดาพรรคร่วมทั้งหมดล้วนตกอยู่ในภาวะผะอืดผะอมกันทั้งสิ้นจึงทำให้ต้องมีรายการ “จับเข่าคุยปรับทุกข์กันของพรรคร่วมรัฐบาล” เกิดขึ้นโดยบรรดาแกนนำตัวจริงของพรรคร่วมรัฐบาล อย่างนายบรรหาร ศิลปอาชา นายปรีชา เลาหะพงศ์ชนะ นายสุวัจน์ ลิปตะพัลลภ นายเนวิน ชิดชอบ และนายอนุทิน ชาญวีรกูล ได้นัดหารือเพื่อประเมินสถานการณ์การเมืองและที่สำคัญส่งสัญญาณ

ความไม่พอใจในการทำงานร่วมกับแกนนำรัฐบาลอย่างพรรคประชาธิปัตย์ พุ่งเป้ากระแทกใส่นายอภิสิทธิ์ และคนใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ ที่ไม่เห็นแก่หน้าพรรคร่วมรัฐบาล และมักจะคอยปัดแข้งปัดขาการทำงานเป็นประจำนอกจากจะเป็นการหารือข้อคับข้องใจแล้ว ยังเตรียมที่จะแสดงให้เห็นถึงพลังของพรรคร่วม โดยจะเร่งทวงสัญญาการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามที่พรรคประชาธิปัตย์ได้รับปากเอาไว้ แต่กลับไม่มีการเดินหน้าแต่อย่างใดงานนี้นาย

บรรหาร ซึ่งในระยะก่อนหน้าก็ได้มีการออกมาเตือนออกมาสะกิดเป็นระยะๆแล้ว แต่พรรคประชาธิปัตย์ โดยเฉพาะนายอภิสิทธิ์ และกลุ่มไม่เคยให้ความสำคัญ ครั้งนี้จึงโดนเตือนตรงๆ อีกระลอกว่า“การเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ถ้ามันขุ่นข้องหมองใจอะไรกันก็ต้องพูดกับแกนนำรัฐบาลเขา มีปัญหาอะไรขอให้พูดกันตรงๆ ผมว่าคนเราอยู่ด้วยกัน ก็ต้องคุยกันอย่างตรงไปตรงมา ตอนนี้สถานการณ์อะไรมันก็ไม่ค่อยแน่นอน ดังนั้นก็ขอให้พวกเราต้องเป็นปึกแผ่น มีอะไรก็ต้องอยู่ด้วยกัน

นะ”แน่นอนว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ซึ่งเป็นผู้ทำหน้าที่ผู้จัดการรัฐบาลเมื่อครั้งดันนายอภิสิทธิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี และเป็นคนที่ไปเชิญพรรคร่วมรัฐบาลเข้ามาหนุนประชาธิปัตย์ ย่อมต้องรับหน้าเสื่อ รับเผือกร้อนไปเต็มๆ เพราะนายอภิสิทธิ์ ไม่ได้ให้ราคาหรือรู้ร้อนรู้หนาวกับท่าทีของพรรคร่วมรัฐบาลแต่อย่างใดนายสุเทพต้องแก้เกี้ยวว่า เท่าที่ทราบ ยังไม่มีใครบอกว่า ไม่พอใจเรื่องอะไร“ตามปกติ หากพรรคร่วมรัฐบาลมีปัญหา จะพูดคุยกับผม แต่ขณะนี้ยังไม่มีการส่งสัญญาณ

ใดๆ และไม่ว่าพรรคร่วมรัฐบาลจะมีความคิดความเห็นอย่างไร ผมพร้อมรับฟัง” ปัญหาก็คือนายสุเทพฟัง แล้วนายอภิสิทธิ์ฟังหรือไม่ ยิ่งระยะหลังๆ นายสุเทพแทบไม่ได้อยู่ในสายตาของนายอภิสิทธิ์เลยด้วยซ้ำ ซึ่งลึกๆ แล้วนายสุเทพรู้ดีอยู่เต็มอกดังนั้นหากท่าทีของนายอภิสิทธิ์ และกลุ่มใกล้ชิด ยังมีสายตามองสูงไม่เห็นหัวพรรคร่วมรัฐบาล ดีไม่ดี อาจจะกลายเป็นว่า รัฐบาลนี้อยู่ไม่ได้ ไม่ใช่เพราะกลุ่มคนเสื้อแดงขับไล่แต่พังเพราะไม่มีใครคบอีกแล้วมากกว่า

วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

หายนะเศรษฐกิจ บนเวทีหอการค้า


ที่มา:บางกอกทูเดย์

ไม่รู้ว่าสมาชิกหอการค้าจังหวัดเชียงใหม่ ในฐานะเจ้าภาพจัดประชุมหอการค้าทั่วประเทศ ครั้งที่ 27 ในระหว่างวันที่ 27-29 พฤศจิกายน 2552 จะรู้สึกอย่างไรบ้าง ไม่รู้ว่าสมาชิกหอการค้าทั่วประเทศจะรู้สึกอย่างไรบ้างน้อยเนื้อตำใจหรือเปล่า กับข่าวที่ดังกระหึ่มในวันนี้แทนที่จะมีการนำเสนอว่าเนื้อหาสาระที่จะมีบนเวทีการประชุมประกอบด้วยอะไรบ้าง กลับกลายเป็นว่ารายงานข่าวบนสื่อทุกแขนงขายข่าว “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรีจะถูกปองร้ายทั้งในรูปแบบการคาร์บอมบ์ และการลอบสังหารนํ้าหนักและความสนใจของคนเลยไปอยู่กับเรื่องดังกล่าวแทน แล้วแบบนี้คำคุยโวโอ้อวดว่าเศรษฐกิจชาติจะโตเท่านั้น

เท่านี้จะเป็นไปได้อย่างไรขนาดงานประชุมหอการค้าทั่วประเทศที่มีเอกชนชั้นนำทั้งระดับส่วนกลางและภูมิภาคนับพันคนทั่วประเทศมารวมตัวกัน กำลังจะเปิดฟลอร์ในวันพรุ่งนี้ ยังไม่รู้เลยว่าเขานำเสนอเรื่องอะไรในที่ประชุมกันบ้างแต่กลับปล่อยให้กลายเป็นประเด็นทางการเมือง ทำให้เวทีอันทรงเกียรตินี้ด้อยค่าลงในพริบตาทั้งที่โดยปกติการประชุมหอการค้าทั่วประเทศในระยะหลัง โดยเฉพาะในช่วงที่เกิดความขัดแย้งทางการเมือง3-4 ปีมานี้การขับเคลื่อนก็แทบจะไม่มีอยู่

แล้ว ข้อเสนอที่สะท้อนจากเหล่าสมาชิกซึ่งบันทึกลงในสมุดปกขาวนำเสนอต่อนายกรัฐมนตรีเพื่อขอให้ช่วยแก้ไขปัญหาอุปสรรค ถูกวางแหมะไว้ตรงไหนก็ไม่รู้ไม่ได้รับการแก้ไข เพราะประชุมหอการค้าแล้วเสร็จไม่ทันไร ก็มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เปลี่ยนนายกรัฐมนตรี แล้วก็จัดประชุมกันใหม่เวทีประชุมหอการค้าเลยกลายเป็นเวทีพบปะสังสรรค์สมาชิก กินข้าวร่วมกัน จัดประกวดมอบรางวัลหอการค้าดีเด่น มากกว่าจะหวังได้เนื้อหาสาระเป็นชิ้นเป็นอันแล้วยิ่งมาเจอ

บรรยากาศการประชุมปีนี้ที่นายกรัฐมนตรีกลายเป็นพระเอกผู้น่าสงสารในความรู้สึกของผู้สนับสนุนและกลายเป็นผู้ร้ายในสายตาของผู้ต่อต้าน ต่างฝ่ายต่างติดตามความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นในวันที่ 29พฤศจิกายน ไม่เว้นแม้กระทั่งสมาชิกหอการค้าทั่วประเทศที่ไปร่วมการประชุมครั้งนี้มีสมาชิกสักกี่คนที่ตอนนี้กำลังสนใจว่าข้อเสนอบนเวทีปีนี้จะมีเรื่องอะไรเป็นไฮไลท์ มากกว่าติดตามว่าจะเกิดปรากฏการณ์อะไรทางการเมืองนายกรัฐมนตรีจะเดินทาง

ไปเป็นประธานปิดการประชุมจริงหรือไม่เดินทางไปแล้วจะเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงหรือเปล่านี่คือความบอบชํ้าอย่างที่สุดบนเวทีการประชุมหอการค้าทั่วประเทศในยุคของ“ดุสิต นนทะนาคร” ประธานกรรมการหอการค้าไทยเวทีหอการค้าที่ควรร้อนแรงด้วยประเด็นทางเศรษฐกิจ การค้า การลงทุนกลับเป็นได้เพียงหมากทางการเมืองแล้วเราจะหวังความเจริญรุ่งเรืองในยุคที่ข้อมูลข่าวสารถูกบิดเบือนเช่นนี้ได้อย่างไรข้อเสนอของประธานหอการค้าจังหวัดเชียงใหม่ให้

รัฐบาลสร้าง “รถไฟรางคู่”ช่วยประหยัดงบการขนส่งของผู้ประกอบการและขนคนไปเที่ยวเชียงใหม่ก็คงเป็นได้แค่ข้อเสนอที่เบาบาง เพราะขนาดนายกฯ จะเดินทางไปปิดงานยังต้องใช้กองกำลังมหาศาลในการดูแล คงไม่มีแรงสนองตอบเป็นแน่แท้ข้อเสนอทั้งหลายที่ถูกนำเสนอใส่พานให้นายกรัฐมนตรีในวันปิดการประชุมก็คงไม่ได้รับการเหลียวแล เพราะต้องแก้ปัญหาทางการเมืองแต่จะว่าไปแล้ว การจัดงานประชุมหอฯทั่วประเทศครั้งนี้จะไม่มีประโยชน์เสียทีเดียวก็คง

ไม่ใช่ อย่างน้อยการที่เอกชนกระเป๋าหนักๆ เดินทางไปรวมตัวกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาเช่นนี้ ย่อมเกิดการจับจ่ายใช้สอย ทั้งการซื้อสินค้า การท่องเที่ยวภายในจังหวัด จึงคาดว่าจะมีเงินสะพัดในจังหวัดเชียงใหม่ช่วงสัปดาห์การประชุมไม่ตํ่ากว่า 100 ล้านบาทหรือว่านี่คือ “ไฮไลท์” ของการจัดงานประชุมหอการค้าทั่วประเทศ!!! 

"ทักษิณ"สั่งแดงถอย ประกาศหันหน้าคุย"ป๋า" นปช.แก้เกมปรับแผนเลื่อนชุมนุม ครม.วอน"มาร์ค"งดไปเชียงใหม่



ที่มา:มติชน

"ทักษิณ"สั่งเสื้อแดงถอย เตือนชุมนุมช่วงนี้ไม่เหมาะสมกระแสค้านเยอะ แกนนำ นปช.ปรับแผนแก้เกมทันที คาดเลื่อนชุมนุมใหญ่ไปก่อน รมต.หลายคนวอน"มาร์ค"งดไปเชียงใหม่ แต่เจ้าตัวยังกั๊ก สั่ง ครม.พร้อมประชุมประกาศใช้ กม.มั่นคงที่เชียงใหม่ กอ.รมน.ปรับแผนคุมม็อบทั่วกรุง

"ทักษิณ"ประกาศหัน180องศาคุย"ป๋า"

เวลา 20.30 น. วันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จัดรายการวิทยุผ่านทาง Thaksinlive ระบุตอนหนึ่งว่า ยังไม่สายที่ทุกฝ่ายจะหันหน้าเข้าหากัน ตนดีใจที่ป๋า (พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ) บอกว่าจะหันหน้าเข้าหากัน บ้านเมืองบอบช้ำ ความน่าชื่อถือของบ้านเมืองไม่มี

"เมื่อป๋าพูดว่า อยากให้ทุกคนหันหน้าเข้าหากัน ก็ขอให้มันจริงเถอะ ถ้าบอกอย่างนี้ ผมหันมาเต็มๆ เลยครับหันมา 180 องศาเลยครับ เพราะประชาชนก็ล้า ประเทศก็ช้ำ ไม่มีประโยชน์ มวยเฮฟวี่เวท คนแชมป์ก็ยังเจ็บได้ จึงควรที่จะหันมาคุยกันแบบภาษาไทย" พ.ต.ท.ทักษิณกล่าว

"แม้ว-พท."เบรกแดงชุมนุมช่วงนี้

นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย (พท.) เปิดเผยว่า ในการประชุม ส.ส.พรรคเพื่อไทย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ วิดีโอลิงก์มายังที่ประชุมกำชับให้ ส.ส.ลงพื้นที่เตรียมพร้อมสำหรับการเลือกตั้ง มั่นใจว่าครึ่งปีแรกของปี 2553 จะมีการเลือกตั้งแน่นอน ดังนั้นช่วงปิดสมัยประชุมสภาให้ออมกำลังเพื่อทำงานหนักต่อไป โดยตัวท่านเองก็จะออกเดินทางไปท่องเที่ยวพักผ่อนเช่นกัน โดยวันที่ 28 พฤศจิกายนนี้จะออกจากเมืองดูไบ เพื่อไปท่องเที่ยวหลายที่ แต่ไม่ได้บอกว่าจะไปประเทศใดบ้าง แต่ช่วงปีใหม่อาจจะเดินทางมาใกล้ๆ ประเทศไทย

นายสุรพงษ์กล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณยังบอกกับแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงไปแล้วว่า การชุมนุมระหว่างนี้ อาจเป็นช่วงเวลาไม่เหมาะสม เพราะฟังจากกระแสคนก็ไม่เห็นด้วยเยอะ จึงอยากให้แกนนำกลับไปลองคิด และปรึกษากันดู ขณะเดียวกันส.ส.ส่วนใหญ่ของพรรค พท.ก็ไม่เห็นด้วยกับการชุมนุมช่วงเวลานี้ ดังนั้น เชื่อว่า คนเสื้อแดงอาจจะเลื่อนการชุมนุมออกไปก็ได้

"นปช."นัดถก-เล็งเลื่อนชุมนุม

นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)-แดงทั้งแผ่นดิน กล่าวเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน ถึงกรณีที่ ครม.มีมติประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงใน กทม. ตั้งแต่วันที่ 28 พฤศจิกายน-14 ธันวาคมว่า เป็นสิ่งที่คาดไว้อยู่แล้ว แต่คิดไม่ถึงว่ารัฐบาลจะกล้าประกาศใช้นานขนาดนี้ เพราะหมายถึงประชาชนต้องการเฉลิมฉลองวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม ภายใต้การประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคง แสดงให้เห็นถึงความไม่เหมาะสม และไม่สมพระเกียรติ ที่จริงหากรัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงวันที่ 28 พฤศจิกายน-2 ธันวาคม ที่คนเสื้อแดงจะชุมนุมก็ได้ และคนเสื้อแดงไม่เคยผิดคำพูด จึงน่าสงสัยว่าเหตุใดรัฐบาลจึงประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคงยาวนานเช่นนี้

"จากเหตุการณ์ทั้งหมดทำให้ นปช.ต้องนัดประชุมกันในวันที่ 25 พฤศจิกายน เพื่อกำหนดท่าทีที่ชัดเจนอีกครั้งว่าจะยังนัดชุมนุมต่อไปหรือไม่ ผลอาจออกมาได้ทุกทาง ไม่ว่าจะเป็นการเลื่อนการชุมนุม ยกเลิก หรือจะชุมนุมต่อ" นายจตุพรกล่าว

"นพดล"ปัด"แม้ว"อยู่เขมรสั่งม็อบ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ทวิตข้อความผ่านเว็บไซต์ Twitter.com ถึงการครบรอบ 1 ปีที่กลุ่มพันธมิตรยึดสนามบินสุวรรณภูมิว่า "วันนี้ครบรอบ 365 หรือ 1 ปีที่พันธมิตรเข้ายึดสนามบินโดยการช่วยเหลือของทหาร พอรัฐบาลขณะนั้นออกคำสั่งให้ทหารเข้าไปจัดการก็ใบ้รับประทาน ประเทศเสียหาย จนป่านนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ชาวนาปิดถนนต่างจังหวัดถูกจำคุก 6 เดือน ถือว่าเป็น 2 มาตรฐานที่หน้าด้านที่สุด ป.ป.ช.ถูกยื่นให้หยุดงานตามรัฐธรรมนูญก็เฉย แถมยังนั่งห้ำหั่นซีกเดียวตลอดเวลา แล้วจะหาความสงบได้อย่างไรครับป๋า ความยุติธรรมเป็นเงื่อนไขสำคัญของความสันติ ยิ่งแกล้งยิ่งบื้อ เสื้อแดงยิ่งเยอะ ปี 2535 เกิดความรุนแรงจนเป็นพฤษภาทมิฬ เพราะทั้งปิดข่าวและบิดเบือนข่าว ที่ไทยเกิดปัญหาซ้ำแล้วซ้ำอีกเพราะเราหนีความจริง ไม่ยอมเรียนรู้จากอดีต"

นายนพดล ปัทมะ อดีตที่ปรึกษากฎหมายของ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวถึงกระแสข่าวที่ระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะเดินทางไปประเทศกัมพูชาช่วงที่เสื้อแดงชุมนุมใหญ่ เพื่อสั่งการการชุมนุมได้ง่ายขึ้น ว่า ไม่มีข้อมูลในเรื่องนี้ ส่วนตัวคิดว่าน่าจะเป็นการปล่อยข่าวของฝ่ายตรงข้ามเพื่อดิสเครดิต แต่เบื้องต้นทราบว่า พ.ต.ท.ทักษิณบอกว่าจะอยู่ที่ดูไบ ในช่วงที่มีการชุมนุม

ใช้กม.มั่นคงทั้งกทม.รับมือ"แดง"

ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน มีมติให้ประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงในราชอาณาจักร ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) เพื่อควบคุมดูแลสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง

ทั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุม ครม. เมื่อเวลา 13.30 น. ที่ทำเนียบรัฐบาลว่า ที่ประชุมหารือกันถึงการประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง ในเขตพื้นที่ กทม. เห็นว่าช่วงที่รัฐบาลต้องเตรียมจัดงานพระราชพิธีและรัฐพิธี รวมไปถึงงานเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ต้องใช้พื้นที่กลางเมืองและพิธีต่างๆ ตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายนถึงต้นเดือนธันวาคม โดยเฉพาะกรณีทหารที่ต้องรวมพลและซ้อมสวนสนาม

"เพราะฉะนั้นเพื่อให้เกิดความเรียบร้อยในการชุมนุมเคลื่อนไหวทางการเมือง ครม.ต้องการจะใช้กฎหมายความมั่นคงเป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการสถานการณ์ให้อยู่ในความเป็นระเบียบเรียบร้อย จึงมีมติให้พื้นที่กรุงเทพฯตั้งแต่วันที่ 28 พฤศจิกายน-14 ธันวาคม เป็นพื้นที่ประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง" นายกฯกล่าว

อ้างสกัด"แดง"ดาวกระจายทั่วกรุง

เมื่อถามว่า ทำไมจึงประกาศใช้ พ.ร.บ.รักษามั่นคงทั่ว กทม. นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เนื่องจากตามแผนของผู้ชุมนุมจะกระจายไปตามพื้นที่ต่างๆ รัฐบาลต้องการดูแลทุกอย่างให้อยู่ในความสงบเรียบร้อย ไม่ให้มีผลกระทบต่อประชาชน หากจะไปรอให้ผู้ชุมนุมกระจายไปตามพื้นที่ต่างๆ แล้วจึงออกประกาศตามมาจะไม่ทัน เมื่อถามว่า มีรายงานการขนคนต่างด้าวมาร่วมชุมนุมหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า บางพื้นที่มีข่าวความเคลื่อนไหวลักษณะนี้อยู่ แต่กระทรวงแรงงาน เข้มงวดกวดขันอยู่แล้ว เมื่อถามว่า รัฐบาลกำลังท้าทายคนเสื้อแดงหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า รัฐบาลไม่ได้ท้าทายเลย การประกาศใช้ พ.ร.บ.ฉบับนี้ทุกครั้งก็ไม่ได้ละเมิดสิทธิเสรีภาพใครเลย แต่สามารถบริหารจัดการการชุมนุมให้ผ่านพ้นได้ด้วยดี 3-4 ครั้ง เป็นความรอบคอบ การประกาศนั้นไม่ได้ห้ามการชุมนุมเพียงแต่ให้อำนาจเจ้าหน้าที่บริหารจัดการสถานการณ์ได้ดีกว่า

เมื่อถามว่า การประกาศใช้ พ.ร.บ.หลายครั้งสูญเสียงบประมาณจำนวนมาก นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า การประกาศหรือไม่ประกาศใช้ พ.ร.บ.มั่นคง การระดมกำลังเข้ามาต้องใช้งบประมาณทั้งสิ้น เมื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองได้ก็ต้องคุ้ม เวลาที่เกิดเหตุไม่สงบแต่ละครั้ง กระทบรุนแรงมากกว่าค่าใช้จ่ายหลายเท่าตัวŽ

สั่งครม.พร้อมใช้กม.มั่นคง"เชียงใหม่"

เมื่อถามถึงแนวคิดการประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง ใน จ.เชียงใหม่ ช่วงที่นายกฯลงไปร่วมประชุมหอการค้าทั่วประเทศ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ฝ่ายความมั่นคงกำลังคุยในรายละเอียด จะทราบข้อมูลชัดเจนปลายสัปดาห์นี้ หากจำเป็นจริงๆ ต้องเรียกประชุม ครม.ในวันที่ 27 พฤศจิกายน เพื่อประกาศใช้ เมื่อถามว่า นายกฯอาจยกเลิกเดินทาง และประชุมผ่านระบบวีดีโอคอนเฟอร์เรนซ์แทนหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ไม่ได้มีการพูดถึงขั้นนั้น

เมื่อถามว่า เรื่องนี้จะกระทบการท่องเที่ยวหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า มั่นใจว่าไม่กระทบ เพราะเคยใช้ พ.ร.บ.ฉบับนี้มาแล้วและเป็นเป็นกฎหมายที่มีไว้ป้องกันเหตุการณ์ต่างๆ นอกจากนี้ตนเพิ่งพบกับผู้ประกบอการธุรกิจการท่องเที่ยวที่อยากให้ประกาศใช้ พ.ร.บ.ฉบับนี้เพื่อให้มั่นใจว่ารัฐบาลมีเครื่องมือในการจัดการสถานการณ์ได้ดีกว่า

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนนายอภิสิทธิ์ จะเข้าประชุม ครม. มีชาวบ้านชาวราษีไศล จ.ศรีสะเกษ กว่า 200 คนมาให้กำลังใจพร้อมชูข้อความชื่นชมนายอภิสิทธิ์ บริเวณริมถนนข้างคลองผดุงกรุงเกษม โดยนายอภิสิทธิ์ ไปรับดอกไม้จากชาวบ้านด้วยตัวเอง ซึ่งแกนนำชาวบ้านขอบคุณนายอภิสิทธิ์ที่ช่วยแก้ไขปัญหาฝายราษีไศล และขอให้นายอภิสิทธิ์อย่าทิ้งชาวบ้าน โดยนายอภิสิทธิ์ รับปากว่าจะไม่ทิ้งชาวบ้าน แล้วจะเดินทางไปเยี่ยมชาวราษีไศลด้วย

"มาร์ค"ขอเองให้คลุมทั่วกทม.

รายงานข่าวจากแจ้งว่า ที่ประชุม ครม. นายสุเทพเป็นผู้เสนอประกาศ พ.ร.บ. มั่นคง ใน 3 พื้นที่ คือ เขตดุสิต และ 2 แขวง คือ แขวงบางขุนพรหม เขตพระนคร และแขวงวัดโสมนัส เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย แต่นายกฯ ได้เสนอควรประกาศให้คลุมพื้นที่กรุงเทพฯ ทั้งหมด โดยมีรัฐมนตรีหลายคนสนับสนุน

ขณะที่นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ วิเคราะห์ว่ากลุ่มคนเสื้อแดงตั้งเป้าล้มรัฐบาลให้ได้ หากประกาศ พ.ร.บ.มั่นคงเพียงบางส่วน แล้วค่อยนัดประชุม ครม. เพื่อประกาศพื้นที่เพิ่มเติมภายหลังอาจไม่ทันกาล รัฐบาลจะปล่อยให้เกิดเรื่องเหมือนในอดีตไม่ได้อีกแล้ว รู้สึกเป็นห่วงสถานการณ์ในการชุมนุมครั้งนี้มาก เพราะพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทยกับพวกไปอยู่ตรงนั้นแล้ว ต่างจากเมื่อเดือนเมษายนที่ยังไม่มี พล.อ.ชวลิต

ขณะที่นายอลงกรณ์ พลบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ระบุว่ากลุ่มคนเสื้อแดงต้องการรบขั้นแตกหัก เชื่อว่าอาจมีแผนเคลื่อนไปปิดสนามบินสุวรรณภูมิด้วย ด้านนายอิสระ สมชัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ คาดว่าจะมีคนมาร่วมชุมนุมเป็นล้านคน

"ปณิธาน"หวั่นซ้ำรอย"เมษาเลือด"

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ฝ่ายความมั่นคงประเมินสถานการณ์ว่ากลุ่มคนเสื้อแดงตั้งใจจะระดมคนให้ได้มากหวังสร้างเงื่อนไขหลังวันที่ 30 พฤศจิกายนเป็นต้นไป โดยจะกระจายกำลังคนไปตามสถานที่ต่างๆ ซึ่งมีทั้งแรงงานต่างด้าว คนที่ผ่านการฝึกอบรม แกนนำรุ่นใหม่ที่เป็นพวกหัวรุนแรง ดังนั้นถ้ามีการดาวกระจายแล้วภาครัฐจัดระบบไม่ดี อาจเกิดการปะทะกัน และทำให้ประชาชนลุกฮือขึ้นมาได้ เพราะวัตถุประสงค์ของกลุ่มคนเสื้อแดงคือทำให้เห็นว่ารัฐบาลไม่อยู่ในสถานะที่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ โดยเฉพาะการไม่สามารถดูแลการจัดพระราชพิธีสำคัญให้ผ่านพ้นไปด้วยความเรียบร้อยได้ ยอมรับว่าการชุมนุมกลุ่มเสื้อแดงครั้งนี้มีแนวโน้มเหมือนเหตุการณ์ชุมนุมเดือนเมษายนที่ผ่านมา

นายปณิธานกล่าวว่า หลังประกาศ พ.ร.บ.มั่นคง จะกระจายกำลังเจ้าหน้าที่ดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยบริเวณสถานีขนส่ง จุดเข้า-ออก กทม. บ้านพักบุคคลสำคัญ สถานที่ราชการ

"สุเทพ"แจงป้องกันคนร่วมงานฉลอง

นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯด้านความมั่นคง กล่าวก่อนประชุม ครม.ว่า ที่ประกาศใช้ พ.ร.บ.มั่นคง เพราะต้องการปกป้องประชาชนที่ออกมาเฉลิมฉลองร่วมใจกันจัดงานถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หากไม่ป้องกันเอาไว้ก็เป็นห่วงพี่น้องประชาชนที่มางาน เมื่อถามว่า จะขีดวงให้กลุ่มคนเสื้อแดงชุมนุมเฉพาะบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยใช่หรือไม่ นายสุเทพกล่าวว่า ควรจะเป็นอย่างนั้น เพราะคนมางานเป็นแสนหากเจอคนที่มาชุมนุมก็จะทำให้คนที่มางานลำบากใจ

นายสุเทพกล่าวว่า ส่วนมาตรการรักษาความปลอดภัยนายกฯ หากจะเดินทางไป จ.เชียงใหม่นั้น จากการเดินทางไปดูพื้นที่ จ.เชียงใหม่ คิดว่าวิธีการที่จะทำให้ทุกอย่างสงบเรียบร้อยได้ก็ต้องใช้การประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง ซึ่งสามารถประกาศห้ามชุมนุมบางถนน บางท้องที่ได้ ใครมาชุมนุมก็จะถูกจับกุมดำเนินคดี

เมื่อถามว่า กลัวอะไรถึงประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง นายสุเทพกล่าวว่า 1.จำนวนคน เพราะทราบว่าเขาพยายามให้ ส.ส.ขนคนมา ภาคเหนือตอนบนเขามี ส.ส.ตั้ง 34 คน 2.เหตุการณ์ที่ จ.เชียงใหม่ เคยมีความรุนแรงถึงขนาดฆ่าคนตายบนถนน 3.ปลุกระดมทางวิทยุชุมชนทุกวัน ส่วนกรณีที่มีการประโคมข่าวลอบสังหารนายกฯนั้นประเมินไม่ได้ แต่เมื่อมีข่าวก็ไม่ประมาท
ที่พรรคประชาธิปัตย์ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงภายหลังการประชุม ส.ส.พรรคว่า นายสุเทพชี้แจงว่าเป็นเพียงการชุมนุมช่วงแรกเท่านั้น แต่หลังจากงานวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาแล้ว คาดว่ากลุ่มคนเสื้อแดงจะชุมนุมระลอกสอง โดยเป้าหมายเพื่อเร่งเร้าให้รัฐบาลยุบสภา

ภท.หวั่นซ้ำรอย"พฤษภาทมิฬ"

นายศุภชัย ใจสมุทร โฆษกพรรคภูมิใจไทย (ภท.) แถลงว่า ที่ประชุมพรรค ภท.มีความเป็นห่วงการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง ที่เชื่อได้ว่าจะมีประชาชนที่ได้รับการจัดตั้งมาร่วมชุมนุมมากกว่าทุกครั้ง แต่ที่เป็นห่วงคือการก่อความรุนแรง

"วันนี้กลุ่มเสื้อแดงมีความใกล้ชิดกับพรรคเพื่อไทย ที่ไม่ได้เคลื่อนไหวแค่เพียง ส.ส. แต่ยังมี พ.ต.ท.ทักษิณ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี และกลุ่ม ตท.10 เพื่อน พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งหลายท่านมีแนวคิดที่ต่างจากคนอื่น อาจจะมีแนวคิดใช้ความรุนแรง ย้อนไปถึงเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ที่มีการก่อจลาจล ซึ่งว่ากันว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ดังกล่าวนั้นอยู่ในพรรคเพื่อไทย" นายศุภชัยกล่าว

ครม.ขอร้อง"มาร์ค"งดไปเชียงใหม่

แหล่งข่าวกล่าวว่า ในที่ประชุม ครม. รัฐมนตรีส่วนใหญ่ อาทิ นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการมหาดไทย นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ฯลฯ เสนอให้นายกฯยกเลิกเดินทางไป จ.เชียงใหม่ ในวันที่ 29 พฤศจิกายน โดยนายบุญจงระบุว่า จ.เชียงใหม่ เป็นรังเสื้อแดง อยากให้นายกฯถนอมเนื้อถนอมตัวเอาไว้ เป็นห่วงกันว่ากลุ่มคนเสื้อแดงอาจใช้เหตุการณ์วันที่ 29 พฤศจิกายน เป็นตัวจุดชนวนแล้วลามมาก่อความวุ่นวายในกรุงเทพฯ แม้แต่นายสุเทพให้ความเห็นว่า "ถ้าถามในความเห็นของผม ผมก็เห็นว่าท่านไม่ควรไป แม้จะมั่นใจในการทำหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ก็ตาม แต่ก็ไม่อยากให้เกิดการปะทะและสูญเสีย"

ท้ายที่สุดนายกฯจึงสรุปว่า ครม.จะยังไม่ประกาศ พ.ร.บ.มั่นคงใน จ.เชียงใหม่ เว้นแต่ตนจะเดินทางไป จ.เชียงใหม่ ก็ค่อยมาพิจารณาเรื่องนี้ ส่วนจะไปหรือไม่ ขอรอดูสถานการณ์อีกครั้งก่อน

ที่พรรคภูมิใจไทย (ภท.) นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า จ.เชียงใหม่ ถือเป็นพื้นที่ล่อแหลม ซึ่งนายชวรัตน์ก็ได้รับเชิญไปเช่นกัน แต่จะใช้วิธีวิดีโอคอนเฟอเรนซ์แทน

ที่พรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) นายชุมพล ศิลปอาชา หัวหน้าพรรค ชทพ. และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า โดยส่วนตัวเห็นว่าไม่ควรประกาศ พ.ร.บ.มั่นคงที่ จ.เชียงใหม่ และใจของตนก็ไม่อยากให้นายกฯไปร่วมประชุม น่าจะใช้วิธีประชุมผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์แทน

แดง3

กอ.รมน.ปรับแผนคุมม็อบทั่วกรุง

ที่กองบัญชาการกองทัพบก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เรียกประชุมหน่วยความมั่นคง เพื่อเตรียมแผนปฏิบัติงานการดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยกรณีที่กลุ่มคนเสื้อแดงจะชุมนุมในกรุงเทพ และจ.เชียงใหม่

พล.ต.ดิฏฐพร ศศะสมิต โฆษก กอ.รมน. กล่าวว่า พล.อ.อนุพงษ์ เป็นประธานการประชุมปรับรายละเอียดในการเตรียมการรักษาความสงบเรียบร้อย หลังจากที่ครม.มีมติประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงเต็มพื้นที่กรุงเทพฯ ทำให้ทาง กอ.รมน.ต้องปรับแผน และปรับกำลังใหม่ เพื่อให้ครอบคลุมในทุกพื้นที่ โดยพล.อ.อนุพงษ์เน้นย้ำว่า ในการชุมนุมทั้ง 2 ที่ คือ กรุงเทพฯและเชียงใหม่จะต้องไม่มีเหตุรุนแรงเกิดขึ้น แม้จะมีการยั่วยุใดๆ ขอให้เจ้าหน้าที่อดทน และวันที่ 25 พฤศจิกายน นายสุเทพจะเรียกประชุมคณะกรรมการ กอ.รมน. เพื่ออนุมัติตั้ง ศอ.รส. และอนุมัติแผนการปฏิบัติของ ศอ.รส.

ก.ม.ม.ปูดปฏิญญาดูไบบันได5ขั้น

นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และว่าที่เลขาธิการพรรคการเมืองใหม่ (ก.ม.ม.) กล่าวว่า เชื่อว่าหลังแกนนำ นปช.หลายคนบินไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณที่เมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ มีความเป็นไปได้ที่จะมีปฏิญญาดูไบ เพื่อให้แกนนำกลับมาเคลื่อนไหวก่อความวุ่นวายในประเทศไทย เท่าที่ทราบมีการออกแบบบันได 5 ขั้นไว้แล้วคือ ขั้นแรก ม็อบนาฬิกาปลุก จะมีมวลชนมากกว่าทุกครั้ง อาจจะถึงแสนคน เพื่อรอสัญญาณรุกจากนายใหญ่ ขั้นที่ 2 คือ รุกฆาตรัฐบาล โดยจะกดดันเข้มข้น จัดกำลังดาวกระจาย บีบให้นายกฯ ประกาศหรือกำหนดช่วงเวลายุบสภา โดยจะปิดล้อมหรืออาจถึงขั้นยึดทำเนียบ รัฐสภา กองบัญชาการกองทัพบก กรมประชาสัมพันธ์ และเอเอสทีวี รวมทั้งใช้แท็กซี่จอดล็อคเกียร์ทิ้งไว้เพื่อขวางถนนในหลายๆ จุดสำคัญ เพื่อให้การจราจรเป็นอัมพาต

ยั่วยุปฏิวัติ-ดันตั้งรบ.แห่งชาติ

ส่วนขั้นที่ 3 คือ ก่อการป่วนเมือง หากนายกฯไม่ประกาศยุบสภาจะเพิ่มแรงกดดันด้วยการสร้างสถานการณ์ความรุนแรง เช่น อาจวางระเบิด ลอบสังหารบุคคลสำคัญ บันไดขั้นที่ 4 คือ เอาเรื่องอำมาตย์ โดยเฉพาะโจมตี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ส่งผลอย่างมีนัยยะต่องานเทิดพระเกียรติ 5 ธันวามหาราช สถานการณ์เช่นนี้จะบีบให้กองทัพเลือกข้างจนอาจต้องรัฐประหาร บันไดขั้นที่ 5 คือตั้งรัฐบาลแห่งชาติ โดยหลังรัฐประหาร พ.ต.ท.ทักษิณจะต่อรองเพื่อจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติตามแนวคิด พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย หวังเจรจาแบ่งปันอำนาจ เพื่อนิรโทษกรรมตัวเองและเครือข่าย หากคณะรัฐประหารปฏิเสธ จะใช้มวลชนขับไล่ต่อต้าน

ศาลตีกลับอีกขอจับ"เพชรวรรต"

วันเดียวกัน ที่ สภ.เมืองเชียงใหม่ พล.ต.ต.สิทธิพร ศรีจันทร์ทับ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 เรียกสำนวนคดีที่พนักงานสอบสวน สภ.เมืองเชียงใหม่ ที่รวบรวมพยานหลักฐานเสนอขอหมายจับนายเพชรวรรต วัฒนพงศ์ศิริกุล แกนนำกลุ่มเสื้อแดงรักเชียงใหม่ 51 ต่อศาล จ.เชียงใหม่ แต่ศาลให้กลับมาทบทวนข้อกล่าวหา เพื่อตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง

ต่อมาผู้สื่อข่าวรายงานว่า พ.ต.อ.ยุทธชัย พัวประเสริฐ์ ผกก.สภ.เมืองเชียงใหม่ พร้อมพนักงานสอบสวน สภ.เมืองเชียงใหม่ เดินลงจากศาล จ.เชียงใหม่ ด้วยท่าทางเหนื่อยล้าหลังนำสำนวนขอนุมัติออกหมายจับนายเพชรวรรตเข้าพบผู้พิพากษาศาล จ.เชียงใหม่ เพื่อขอหมายจับอีกครั้ง โดยใช้เวลานานกว่า 5 ชั่วโมง แต่ทั้งหมดปฏิเสธให้ความเห็นใดๆ คาดว่า ศาลยังไม่ออกหมายจับอีกครั้ง เพราะสำนวนคดีอ่อนเกินไป

"สุเทพ"ซุ่มไปเชียงใหม่คุยทหาร

พล.ท.ทนงศักดิ์ อภิรักษ์โยธิน แม่ทัพภาคที่ 3 กล่าวว่า สั่งการให้ทหารทุกหน่วยติดตามสถานการณ์ข่าวสาร และความเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ชุมนุมอย่างใกล้ชิด

พล.ท.วรรณทิพย์ ว่องไว แม่ทัพน้อยที่ 3 กล่าวว่า ภายหลังหารือร่วมกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ด้านความมั่นคง เมื่อค่ำวันที่ 23 พฤศจิกายน ซึ่งที่ประชุมเห็นว่าควรประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคง ในบางพื้นที่เท่านั้น ซึ่งตนเห็นด้วยเพราะประเมินสถานการณ์ไม่ออกว่าจะเป็นอย่างไร จากคำประกาศข่มขู่ค่อนข้างรุนแรงจึงไม่ประมาท

"ผมว่าที่นายกฯจะเดินทางมาปฏิบัติภารกิจใน จ.เชียงใหม่ เพื่อต้องการแสดงอำนาจรัฐเช่นกัน เพราะเมื่อเป็นรัฐบาลแล้วควรไปได้ทุกที่ หากไปไม่ได้สังคมไทยจะอยู่กันอย่างไร จะเลือกตั้งหาเสียงกันอย่างไร และนายกฯบอกเองว่าหากท่านมา ก็ไม่ได้ห้ามชุมนุม แต่ขอว่าอย่าให้มีความรุนแรงเท่านั้น" แม่ทัพน้อยที่ 3 กล่าว

แดงเชียงใหม่ยื่นจม.ต้าน"มาร์ค"

วันเดียวกัน กลุ่มแดงเชียงใหม่เพื่อประชาธิปไตยจำนวน 50 คน นำโดยนายพีรพล มรกต เดินทางไปชุมนุมชูป้ายไม่ต้อนรับนายอภิสิทธิ์ ที่หน้าศาลากลาง จ.เชียงใหม่ พร้อมยื่นหนังสือถึงผู้ว่าราชการ จ.เชียงใหม่ รวมทั้งสถานที่พักและที่จัดการประชุมหอการค้าทั่วประเทศ อาทิ โรงแรมเลอเมอริเดียน โรงแรมอิมพิเรียลแม่ปิง โรงแรมเซ็นทาราดวงตะวัน โรงแรมรอยัลล้านนา และโรงแรมรอแยลปรินซ์เซส ขอให้ยับยั้งนายกฯไม่ให้มา จ.เชียงใหม่

นายพีรพลกล่าวว่า ชาวเชียงใหม่ไม่ต้องการให้นายอภิสิทธิ์เดินทางมา เพราะเกรงจะมีกระแสต่อต้านที่รุนแรง ส่วนข่าวการปองร้ายนายกฯไม่เกี่ยวกับกลุ่มของเรา เพราะไม่สนับสนุนใช้ความรุนแรง

ด้านนายสุริยันต์ ทองหนูเอียด ที่ปรึกษากลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จ.เชียงใหม่ กล่าวว่า ขอสนับสนุนการประชุมหอการค้าทั่วประเทศ ที่ จ.เชียงใหม่ ที่เชิญนายกฯปาฐถกาพิเศษ เพราะเชื่อว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ จ.เชียงใหม่ ขอเรียกร้องพี่น้องประชาชน จ.เชียงใหม่ ร่วมกันแสดงออกถึงวุฒิภาวะของเจ้าภาพการประชุมหอการค้าทั่วประเทศ

-----------------------------------------------------------------
-----------------------------------------------------------------

เหตุผล-ข้อกำหนด พ.ร.บ.มั่นคงทั่วกทม.

กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) เสนอเหตุผลประกอบการประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคงในพื้นที่ กทม. ดังนี้

ด้วยสถานการณ์ทางการเมืองในช่วงตั้งแต่วันที่ 28 พฤศจิกายนเป็นต้นไป มีแนวโน้มจะเกิดความวุ่นวายทางการเมืองจากการที่มีกล่มบุคคลบางกลุ่มได้ประกาศเจตนารมณ์ชัดเจน ในการปลุกระดมและนัดชุมนุมให้เข้าร่วมในการเรียกร้องความต้องการตามแนวทางและผลประโยชน์ของกลุ่ม มุ่งหวังเพื่อกดดันให้นายกฯยุบสภาหรือลาออก โดยกำหนดให้มีการชุมนุมและเคลื่อนไหวตามถนนและสถานที่สำคัญในเขต กทม.

ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวนั้นจะส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตโดยปกติของประชาชนโดยทั่วไป รวมทั้งการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล ประกอบกับการชุมนุมดังกล่าวมีเจตนาดำเนินการในลักษณะยืดเยื้อ และอยู่ในห้วงการจัดงานพระราชพิธี เนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งอาจมีกลุ่มผู้ไม่หวังดีบางกลุ่มก่อเหตุระหว่างการชุมนุม และขยายลุกลามจนเกิดสถานการณ์ความรุนแรงมากยิ่งขึ้น

จึงเสนอประกาศพื้นที่ปรากฏเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ในพื้นที่ กทม. ระหว่างวันที่ 28 พฤศจิกายน-14 ธันวาคม 2552 โดยให้ กอ.รมน.เป็นผู้รับผิดชอบในการป้องกัน ปราบปราม ระงับ ยับยั้ง และแก้ไขหรือบรรเทาเหตุการณ์ที่กระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร และจัดทำแผนการดำเนินการในการบูรณาการ กำกับ ติดตาม และเร่งรัดหน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้อง ให้ดำเนินการให้เป็นไปตามแผนที่กำหนด รวมทั้งจัดตั้งศูนย์อำนวยการหรือหน่วยงานเพื่อปฏิบัติภารกิจนี้เป็นการเฉพาะ

ทั้งนี้ มอบให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง เป็นประธานศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการเหล่าทัพ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเป็นกรรมการ เพื่อดำเนินการต่อไป

ข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 18 พ.ร.บ.ความมั่นคง

เพื่อให้สามารถป้องกัน ควบคุม และแก้ไขสถานการณ์เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ผอ.รมน. โดยความเห็นชอบของ ครม. ออกข้อกำหนด ดังนี้
1.ให้เจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องปฏิบัติการหรืองดเว้นการปฏิบัติการอย่างหนึ่งอย่างใด เพื่อช่วยเหลือหรือสนับสนุนการดำเนินการในอำนาจหน้าที่ของ กอ.รมน.ตามแผนการ เพื่อดำเนินการป้องกัน ปราบปราม ระงับ ยับยั้ง แก้ไขบรรเทาเหตุการณ์
2.ห้ามบุคคลใดเข้าออก หรือต้องออกจากบริเวณพื้นที่ อาคาร หรือสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ของกอ.รมน.
3.ห้ามนำอาวุธออกนอกเคหสถาน
4.ห้ามใช้เส้นทางคมนาคมหรือการใช้ยานพาหนะ
5.ให้บุคคลปฏิบัติหรืองดเว้นการปฏิบัติอย่างใดอันเกี่ยวกับเครื่องมือหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ตามชนิด ประเภท ลักษณะการใช้ หรือภายในบริเวณพื้นที่ที่ ผอ.รมน.ประกาศกำหนด เพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิดแก่ชีวิต ร่างกาย หรือทรัพย์สินของประชาชน

นอกจากนี้ ยังกำหนดให้พนักงานเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ความมั่นคง เป็นเจ้าพนักงานหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายจำนวน 14 ฉบับ โดยการใช้กฎหมายให้ดำเนินการเท่าที่จำเป็น ไม่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ประชาชนเกินสมควรแก่เหตุ อาทิ พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ.2551 พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2547 พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 พ.ร.บ.ควบคุมยุทธภัณฑ์ พ.ศ.2530 พ.ร.บ.ควบคุมการโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียง พ.ศ.2493 พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2493 พ.ร.บ.อาวุธปืน เครื่องกระสุน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 ประมวลกฎหมายอาญาวิธีพิจารณาความอาญา เฉพาะบทบัญญัติที่เกี่ยวกับการใช้อำนาจสืบสวนสอบสวน และการใช้อำนาจของพนักงานฝ่ายปกครอง หรือตำรวจ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550


---------------------------------------------------------

วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ถึงแก่อสัญกรรม อาลัยสมัคร มะเร็งคร่าชีวิต



ร่วมไว้อาลัย"ลุงมัคร"



อดีตนายกรัฐมนตรี 'สมัคร สุนทรเวช' ถึงแก่อสัญกรรมที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ด้วยโรคมะเร็ง เตรียมนำศพบำเพ็ญกุศล ที่ศาลา 100 ปี วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม และ จะมีพิธีพระราชทานน้ำหลวงอาบศพในวันพรุ่งนี้ ...

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลาประมาณ 08.48 น. วันนี้ (24 พ.ย.) นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 25 ได้ถึงแก่อสัญกรรมด้วยอาการสงบ ที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ หลังเข้าพักรักษาตัวด้วยโรคมะเร็งขั้วตับ เป็นเวลาประมาณ 1 ปี

ทั้งนี้เมื่อวานนี้นายสมัคร มีอาการทรุดหนัก แพทย์ได้นำเข้ารักษาตัวในห้องไอซียู แต่อาการไม่ดีขึ้น ในที่สุดจึงถึงแก่อสัญกรรม ด้วยวัย 74 ปี

ขณะนี้ ญาติได้เตรียมนำศพไปบำเพ็ญกุศลที่ศาลา 100 ปี วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม และ จะมีพิธีพระราชทานน้ำหลวงอาบศพในวันพรุ่งนี้ (25 พ.ย.)

สำหรับนายสมัคร เกิดเมื่อวันที่ 13 มิ.ย. 2478 ที่กรุงเทพมหานคร เป็นบุตรคนที่ 4 ในจำนวนพี่น้อง 6 คน ของ เสวกเอกพระยาบำรุงราชบริพาร (เสมียน สุนทรเวช) และคุณหญิงบำรุงราชบริพาร (อำพัน จิตรกร) ภรรยาชื่อ คุณหญิงสุรัตน์ สุนทรเวช มีบุตรสาวฝาแฝด 2 คน

นายสมัคร เริ่มเล่นการเมือง เมื่อปี 2511 โดยเข้าเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ และเป็น ส.ส.กทม. เรื่อยมาทุกสมัยการเลือกตั้ง นอกจากนี้ ยังเคยได้รับตำแหน่งที่สำคัญทางการเมืองอีกมากมาย ต่อมาได้ก่อตั้งพรรคประชากรไทย นั่งตำแหน่งหัวหน้าพรรค และเมื่อวันที่ 29 ม.ค. 2551 นายสมัคร ขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดทางการเมือง โดยเป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 25ของประเทศไทย และควบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

จับตา! แดงเดือด


28 พ.ย. วันดีเดย์ที่กลุ่มคนเสื้อแดงนัดรวมพลเพื่อออกมาเคลื่อนไหวทางการเมือง อีกหนึ่งคำรบและเป็นอีกหนึ่งวันที่หลายฝ่ายจับตาการเคลื่อนไหวครั้งนี้อย่างใกล้ชิดโดยเฉพาะฟากฝั่งรัฐบาลที่มอนิเตอร์ทุกจังหวะก้าว หลังมีข่าวขู่เอาชีวิต นายกฯ จากแดนล้านนา จนทำให้คนรัฐบาลอยู่ไม่เป็นสุขจ้องจะปิดวิทยุชุมชนขณะที่ศูนย์ปฏิบัติการ กองบัญชาการตำรวจนครบาล(ศปก.น.) รับผิดชอบในการติดตามสถานการณ์ของกลุ่มผู้ชุมนุมเรียกร้องทางการเมืองรายงานสถานการณ์ด้านการข่าวล่าสุดให้ผู้บังคับบัญชาใน นครบาลทราบโดยระบุว่า...กลุ่มผู้ชุมนุม นปช.โดย วีระ มุสิกพงศ์ จตุพรพรหมพันธุ์ และ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นัดชุมนุมใหญ่

ที่ กทม.เพื่อกดดันให้รัฐบาลยุบสภาวันที่ 28 พ.ย. ตั้งเวทีปราศรัย ชุมนุมค้างคืนที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย วันที่ 29 พ.ย.ตั้งเวทีปราศรัยชุมนุมค้างคืนที่บริเวณทำเนียบรัฐบาลวันที่ 30 พ.ย.-1 ธ.ค. จะเดินทางไปตามถนนสายต่างๆ(ดาวกระจาย) ใน กทม.คาดว่าจะดาวกระจายไปที่ต่างๆประกอบด้วย กระทรวงการต่างประเทศ บ้านพักนายกรัฐมนตรี ถ.สุขุมวิท สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานป.ป.ช. ศาลรัฐธรรมนูญ ที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์ สถานีโทรทัศน์ ASTV

บ้านพักสี่เสาเทเวศน์ ฯลฯรายงานระบุว่า...แกนนำ นปช.นำโดย นายวีระ กับพวกจะเดินทางไปปราศรัยตามภาคต่างๆ ทุกภาค ตั้งแต่วันที่ 23 – 26พ.ย.เพื่อปลุกระดม ชักชวนให้มวลชนเข้าร่วมชุมนุมใน กทม.คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมชุมนุมจำนวนมาก“จะต้องติดตามความเคลื่อนไหวว่าจะมีผู้ร่วมชุมนุมจำนวนเท่าใด จะมีการสร้างสถานการณ์หรือจะมีความรุนแรงหรือไม่” รายงานจาก ศปก.น. รายงานด้าน รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่าการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงในวันที่ 28 พฤศจิกายนนี้มีจุดประสงค์เพื่อต้องการล้มรัฐบาลให้ได้โดยอ้างว่าเพราะที่ผ่านมา...รัฐบาลรวมทั้งพรรคร่วมมีผลงานเป็นที่ประจักษ์ และยิ่งเดือนหน้าจะมีการลงทะเบียนให้กับผู้เป็นหนี้นอกระบบ อาจยิ่งเป็นเงื่อนไขที่กลุ่มคน

เสื้อแดงต้องเร่งเคลื่อนไหวเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเร็วที่สุดนอกจากนี้ การที่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย เดินสายไปยังประเทศต่างๆ เพื่อต้องการให้ประเทศต่างๆ เข้ามาเคลื่อนไหวด้วย เพื่อเร่งจุดแตกหัก“การเร่งเดินเกมของกลุ่มคนเสื้อแดงในขณะนี้เพราะต้องการหวังผลก่อนที่จะมีการตัดสินคดียึดทรัพย์ของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งรัฐบาลก็คงต้องมีการเตรียมความพร้อม เพื่อป้องกันเหตุร้ายให้รัดกุมมากขึ้น” รศ.ดร.ปณิธาน

กล่าวเช่นเดียวกัน พล.ต.ดิฏฐพร ศศะสมิต โฆษกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) กล่าวถึงการชุมนุมใหญ่ของกลุ่มคนเสื้อแดงในวันที่ 28 พฤศจิกายนนี้ว่า…ยังไม่มีการสั่งการใดๆ เพราะต้องตกลงกันในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ก่อนว่า จะประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงหรือไม่ แต่เราติดตามสถานการณ์ตลอดอย่างไรก็ตาม การดูแลการชุมนุมมีเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นผู้ดูแลหลักอยู่แล้ว เราเพียงทำงานให้สอดคล้องกับตำรวจเท่านั้นขณะเดียว

กันกลุ่มคนเสื้อแดงก็จับตาการเคลื่อนไหวของภาครัฐเช่นกัน โดยเฉพาะการประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง ที่จะหารือในช่วงเช้าวันที่ 24 พ.ย.ระหว่างการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ซึ่งมีความเป็นไปสูงที่รัฐบาลจะเลือกใช้พ.ร.บ.คู่บุญฉบับนี้มาให้ควบคุมสถานการณ์สิ่งที่ “รศ.ดร.ปณิธาน” โฆษกประจำสำนักนายกฯ ได้กล่าวเป็นข้อมูลแก่สื่อมีทั้งคำพูดที่ “ถูกต้อง” และ “ไม่ถูกต้อง”ที่ถูกต้อง คือ คนเสื้อแดงมีเป้าหมายเคลื่อนไหวเพื่อ“ล้มรัฐบาล” จริง...แต่อยู่ที่ว่า

รัฐบาลจะดำเนินมาตรการใดในการเข้าควบคุมสถานการณ์เป็นสิ่งที่ประชาชนกำลังเฝ้าติดตามส่วนคำพูดที่ “ไม่ถูกต้อง” คงเป็นเรื่อง...รัฐบาลรวมทั้งพรรคร่วม มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ซึ่งหากเป็นการกระทำที่จริงดังว่า...ประชาชนคนไทยมีความ“กินดีอยู่ดี” ไม่ตายอดตายอยากอย่างที่เป็นอยู่ในเวลานี้เชื่อเถิดว่า...เหล่ามวลชนคงไม่ลุกขึ้นมาต่อต้านรัฐบาลซึ่งหมายถึง “พวกท่าน”จริงหรือไม่? รศ.ดร.ปณิธาน!

ที่มา.บางกอกทูเดย์