สดศรีเผยมติยุบ ปชป.เป็นไปตามขั้นตอน กม. เสียงโหวต 4:1 อภิชาตลงคะแนนเสียงข้างน้อยในฐานะ กกต. ไม่ใช่นายทะเบียนพรรคการเมือง เนื่องจากเสียงส่วนใหญ่คณะทำงานให้ยุบ จึงเท่ากับเป็นเสียงนายทะเบียนไปแล้ว คณะทำงานด้านกฎหมายประชาธิปัตย์ระบุห่วงเรื่องเทคนิคทางบัญชีกรณี 29 ล้าน มากกว่าปม 258 ล้าน
นางสดศรี สัตยธรรม กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) รับผิดชอบงานด้านกิจการพรรคการเมือง ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 17 เมษายน กรณีมติกกต. เสียงข้างมาก 4 ต่อ 1 เสียง เห็นควรให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์กรณีอาจมีพฤติกรรมอำพรางเงินบริจาค 258 ล้านบาทจากบริษัททีพีไอโพลีน จำกัด(มหาชน) และให้ส่งเรื่องดังกล่าวให้อัยการสูงสุด ยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยต่อไป ทั้งที่นายทะเบียนพรรคการเมือง คือนายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานกกต. เป็นเสียงข้างน้อยที่ไม่เห็นควรให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ ว่า เรื่องนี้จะต้องแยกแยะออกเป็น 2 เรื่อง เนื่องจากว่านายอภิชาต สวมหมวก 2 ใบ คืน ประธานกกต. และนายทะเบียนพรรคการเมือง ก่อนหน้านี้นายอภิชาตในฐานะนายทะเบียนได้ตั้งคณะทำงานขึ้นมาเป็นตัวแทนของนายทะเบียน 9 คน เพื่อพิจารณารวบรวมหลักฐานทั้งหมดเพื่อสอบสวนเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว ซึ่งในวันที่ 12 เมษายน ในช่วงเช้า กกต. ได้ถามไปยังนายทะเบียนว่าคดีดังกล่าวพิจารณาแล้วเสร็จหรือไม่ นายทะเบียนได้ตอบมาว่าคณะทำงานของนายทะเบียนได้ประชุมและพิจารณาเสร็จแล้ว ซึ่งคณะทำงานนายทะเบียนได้มีมติ 7 ต่อ 2 ให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งถือเป็นมติของนายทะเบียน
นางสดศรี กล่าวว่า จากนั้นเมื่อนายทะเบียนมีมติให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ จึงได้มีการเรียกประชุมกกต. ชุดใหญ่ ในช่วงบ่ายวันเดียวกัน เนื่องจากเรื่องนี้เป็นปัญหาสำคัญ นายทะเบียนจึงได้ขอให้มีการพิจารณาร่วมกัน และในการประชุมของ กกต. ได้มีการเปิดโอกาสให้คณะทำงานของนายทะเบียน นำเสนอขอมูลรายละเอียดเป็นรายบุคคล จนครบทั้ง 9 คน จากนั้น กกต.ทั้งหมดจึงนำข้อมูลที่ได้รับมาพิจารณาก่อนที่จะลงมติ ซึ่งในการประชุม กกต. นายอภิชาตลงมติในฐานะ กกต.คนหนึ่ง ไม่ใช่ในฐานะนายทะเบียน เพราะถือว่าหน้าที่ของนายทะเบียนได้แล้วเสร็จ และมีมติเห็นควรให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ ดังนั้น การที่นายอภิชาตมีมติไม่เห็นควรให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ จึงถือเป็นมติของ กกต. ไม่ใช่มติของนายทะเบียน ทั้งนี้ หากคณะทำงานของนายทะเบียนมีความเห็นเสียงข้างมากไม่สมควรยุบพรรคประชาธิปัตย์ กกต.ไม่จำเป็นที่จะต้องนำเรื่องดังกล่าวมาพิจารณาอีก ดังนั้น ทุกอย่างถือว่าได้เป็นไปตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนด
ส่วนเรื่องการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงถือเป็นการกดดันให้ กกต. มีมติยุบพรรคประชาธิปัตย์หรือไม่นั้น นางสดศรีกล่าวว่า การชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงไม่มีผลกดดันใดๆ ต่อ กกต. เพราะที่ผ่านมากลุ่มคนเสื้อแดงได้มาชุมนุมที่อาคาร กกต.ถึง 3 ครั้ง หากเป็นเพราะการกดดันคงจะต้องรีบพิจารณาให้เสร็จตั้งแต่ในครั้งแรกที่กลุ่มผู้ชุมนุมเดินทางมา อย่างไรก็ตาม คดีการใช้เงินกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง 29 ล้านบาท ที่พรรคประชาธิปัตย์ได้รับและอาจดำเนินการผิดวัตถุประสงค์ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ที่ประชุม กกต.มีมติเป็นเเอกฉันท์ 5 ต่อ 0 เสียง ให้ยุบพรรค และเชื่อว่าในสัปดาห์หน้านายทะเบียนจะยื่นเรื่องไปยังอัยการสูงสุดเพื่อส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาต่อไป ซึ่งจะใช้เวลาเท่าใดนั้นขึ้นอยู่กับศาล เพราะถือว่า กกต.ได้ทำหน้าที่เสร็จสิ้นแล้ว
ขณะที่นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานคณะทำงานด้านกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ไปพบนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรค ที่ จ.ตรัง เมื่อวันที่ 16 เมษายนที่ผ่านมา นายชวนได้กล่าวถึงข้อเสนอให้มาเป็นหัวหน้าทีมสู้คดียุบพรรค ว่า เมื่อพรรคมีปัญหา ก็ต้องช่วยเหลือกัน จึงคิดว่าไม่น่ามีปัญหา ทั้งนี้ ในการประชุมคณะทำงานด้านกฎหมาย วันที่ 20 เมษายน เบื้องต้นจะทำความเข้าใจประเด็นข้อกฎหมายก่อน และเชิญฝ่ายเหรัญญิกและนายทะเบียนพรรคสมัยนายบัญญัติ บรรทัดฐาน เป็นหัวหน้าพรรคมาให้ข้อมูล สำหรับนายบัญญัติ และนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ อดีตเลขาธิการพรรค และนายนิพนธ์ บุญญามณี อดีตรองเลขาธิการพรรคในช่วงนั้น จะให้มาชี้แจงในการประชุมครั้งต่อไป
นายนิพิฏฐ์กล่าวว่า จะหารือเรื่องการทำหนังสือยื่นคำร้องคัดค้านคำสั่งนายทะเบียนไปยังศาลปกครอง โดยจะขอให้ระงับการส่งฟ้อง และขอให้ศาลไต่สวนว่ามติ กกต.ดังกล่าวมิชอบ คาดว่าจะใช้ระยะเวลาหนึ่งในการสืบพยาน ถือเป็นการต่อสู้ยกแรกก่อนไปว่ากันในศาลรัฐธรรมนูญ โดยจะสอบถามว่านายทะเบียนพรรคมีหลักฐานอะไรจึงได้ตัดสินให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ ยืนยันว่าการคำสั่งนายทะเบียนพรรคถือเป็นคำสั่งทางปกครอง เพราะศาลปกครองเองก็เคยยกเลิกการเลือกตั้งทั่วไป เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2548 เพราะหันคูหาผิดด้านมาแล้ว ส่วนตัวไม่ห่วงกรณีเงิน 258 ล้านบาท เท่ากรณีเงินสนับสนุนพรรคการเมือง 29 ล้านบาท
กรณีเงิน 29 ล้านบาท เป็นเรื่องทางเทคนิคในการทำบัญชี ที่อาจต้องไปว่ากันในชั้นศาลรัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ตาม พรรคมีอายุ 64 ปี ไม่มีเหตุผลที่จะถูกยุบด้วยเรื่องทำบัญชีผิดพลาด ที่ผ่านมา ผมยังไม่เคยเห็นพรรคการเมืองใหญ่ๆ ถูกยุบด้วยเรื่องนี้มาก่อน อย่างพรรคไทยรักไทย พรรคชาติไทย และพรรคมัชฌิมาธิปไตย ก็ถูกยุบด้วยข้อหาทุจริตการเลือกตั้ง ขณะที่พรรคเล็กส่วนใหญ่ ถูกยุบด้วยข้อหาหาสมาชิกได้ไม่ครบ
50,000 คน ไม่จัดตั้งสาขาพรรค 4 ภาค หรือไม่ประชุมใหญ่สามัญพรรคตามที่กฎหมายกำหนด ไม่เคยเห็นพรรคไหนถูกยุบเพราะทำบัญชีผิดมาก่อน นายนิพิฏฐ์กล่าว
ที่มา.มติชนออนไลน์
************************************************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น