
สัมภาษณ์พิเศษ
แนวร่วม ′เสื้อแดง′ มีหลากหลายชนชั้น
ทั้งลูก-หลาน นักการเมือง ทายาทตำรวจ หลานนายพล เครือข่าย ′เขย-สะใภ้′ นักธุรกิจ-เจ้าสัว
อีเวนต์-สงครามครั้งสุดท้ายจึงมีทั้งว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.-ส.ส.เพื่อไทย คลาคล่ำทั้งหลังเวที-บนเวที และในวงวอร์รูม
วงสนทนาถ่ายทอดเนื้อหาการประชุมภาคภาษาอังกฤษ จึงมักมี ′ดร.จารุพรรณ กุลดิลก′ ทายาท ′พล.ต.ท.ชัชจ์ กุลดิลก′ มิตรในดงสีกากีของ ′ทักษิณ′ ปฏิบัติหน้าที่ ′ล่าม′ ประจำ ′ม็อบไพร่แดง′
ในแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) จึงมีภาพซ้อน-เหลื่อม ทั้ง ′ไพร่-ข้าราชการ-นักธุรกิจ-พ่อค้า′ คลุกวงในทั้งแดงแก่-แดงอ่อน
หนึ่งในแดง-ว่าที่ ส.ส.เพื่อไทย จึงมีชื่อทายาทอดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง อาจารย์พิเศษภาควิชาวิศวกรรมเคมี คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ขึ้นไฮด์ปาร์กบนเวทีทุกค่ำคืน
เธอคืออดีตผู้ร่วมงานกับ น.พ.ประเวศ วะสี ในโครงการจิตวิวัฒน์
อายุงานการเมือง นอกสภา ยังไม่ถึงขวบปี
หาก ′ยุบสภา′ ทันทีจะมี
′ดร.จารุพรรณ′ เป็นผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งพื้นที่กรุงเทพมหานคร
ฟังเธอปราศรัยผ่าน ′ประชาชาติธุรกิจ′ ล่วงหน้า...
@ มีมุมมองปัญหาการเมือง เชิงโครงสร้างที่เสื้อแดงปราศรัย เป็นข้อต่อสู้หลักอย่างไร
มองว่าการใช้อำนาจอธิปไตยทั้ง 3 ขาคือ บริหาร ตุลาการ นิติบัญญัติ ไม่มีความสมดุลกัน เพราะตอนนี้ฝ่ายตุลาการ มีอำนาจมากถึงขนาดทำให้ฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติไม่มีบทบาทในการบริหารประเทศ เพราะการเมืองแบบอำมาตยาธิปไตยซึ่งเป็นอำนาจนอกระบบเข้ามามีบทบาทต่อฝ่ายตุลาการและกองทัพ ทำให้ดุลอำนาจไม่สมดุล ประเทศบริหารงาน ไม่ได้ ฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติถูกลดทอนบทบาทลงไป สุดท้ายความลำบากจะอยู่ที่ประชาชน เพราะปัญหาต่าง ๆ ไม่ได้แก้ไข รวมทั้งปัญหาเดิมคือเรื่องความยากจนก็ยังคงทวีคูณมากยิ่งขึ้น
@ คุณมีความเข้าใจเกี่ยวกับคำว่าอำมาตย์อย่างไร ในขณะที่ตัวเองเติบโตมาจากครอบครัวตำรวจ
ส่วนตัวเห็นว่าต้องแบ่งเป็น 2 อย่าง ระหว่าง 1.ผู้ที่มีอำนาจบารมีทางทุนทรัพย์และอำนาจบารมีทางสังคม กับ 2.อำมาตย์คือผู้ที่มีอำนาจบารมีทั้งทุนทรัพย์กับบารมีทางสังคม และจะอยู่ในอำนาจนั้นตลอดไปโดยที่ประชาชนไม่ได้เลือกให้อำมาตย์มีอำนาจในการกำหนดบทบาทขนาดนั้น อันนี้คืออำมาตย์ตามความเข้าใจส่วนตัว
ตลอดชีวิตที่เป็นลูกหลานของครอบครัวซึ่งมีทั้งทหารและตำรวจ เราเห็นปัญหาโครงสร้าง ผู้ที่เป็นผู้ปฏิบัติงานระดับล่างค่อนข้างจะมีโอกาสนำเสนอหรือเปลี่ยนแปลงอะไรน้อยมากในการบริหารงาน เพราะมีการสั่งการแบบ top-down จากบนลงล่าง เป็นโครงสร้าง functional แนวดิ่ง คือคนที่อยู่ลำดับบนจะมีอำนาจตัดสินใจ ขณะที่คนข้างล่างซึ่งต้องอยู่หน้างานไม่มีอำนาจตัดสินใจ ฉะนั้นจะเกิดสภาวะเฉื่อยงาน ไม่ทำงาน เพราะเขาไม่รู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของระบบ
คนระดับล่างเป็นคนที่เข้าใจปัญหาเพราะอยู่กับหน้างานตลอดเวลา จึงเข้าใจว่าปัญหาที่แท้จริงคืออะไร ซึ่งบางทีอาจจะไม่มีเวลานำเสนอให้เป็นขั้นตอนตรรกะ แต่คนระดับล่างเป็นคนที่เข้าใจปัญหาและคนเหล่านี้ควรมีสิทธิเลือกผู้บังคับบัญชา มีสิทธิที่จะเลือกใครที่เขามั่นใจว่าเข้าใจในปัญหาภาพองค์รวมมาปกครองเขา เพราะฉะนั้นไม่เพียงแต่โครงสร้างทหาร-ตำรวจ แต่รวมทุกองค์กร แม้แต่มหาวิทยาลัยจนไปถึงระดับประเทศ ท้ายที่สุดก็กลับมาเรื่องระบอบประชาธิปไตยที่คนทุกคนในฐานะสมาชิกของระบบน่าที่จะมีเสียงอย่างเท่าเทียมกัน
@ โครงสร้างขององค์กรทหาร-ตำรวจ ไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงง่ายตามสภาพความเป็นกลไกของรัฐ
ในอนาคตน่าจะเป็นไปได้ที่แต่ละองค์กรแต่ละคนจะมีส่วนเลือกผู้บังคับบัญชาให้มีเสียงแม้อาจจะไม่ถึง 100 เปอร์เซ็นต์ แต่คิดว่าจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้น อาจเริ่มจาก 30 เปอร์เซ็นต์ก่อนก็ได้ ฉะนั้นแต่ละองค์กรควรมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างในการบริหารงานให้เปลี่ยนแปลงจากเดิมที่ความคิดแบบอำมาตย์ มักให้คนปฏิบัติงานระดับล่างรับแต่ความผิด ส่วนคนระดับบนรับแต่ความชอบ
ส่วนตัวจึงคิดว่าสังคมควรจะเปลี่ยนแปลงไปสู่การให้คนระดับบนซึ่งเป็นผู้บริหารจัดการในสายงานต้องรับผิดชอบด้วย ไม่ใช่ปล่อยให้คนหน้างานต้องโดน โยกย้ายได้รับผลกระทบทุกครั้งเวลาเกิดเรื่องอะไรขึ้น
@ ถึงตอนนี้พร้อมจะเป็นนักการเมืองแบบไหน
สิ่งหนึ่งที่อยากเปลี่ยนทัศนคติของสังคม คืออยากให้มองว่านักการเมืองไม่ได้เลวร้าย ถ้ามีทัศนคติว่านักการเมืองเลวร้ายเมื่อไร นักการเมืองก็จะเลวร้ายจริง ๆ ในฐานะที่เรียนวิศวกรรมจึงมองเป็นเรื่องการบริหารจัดการ เพราะประเทศอื่นก็ไม่ได้มองว่า นักการเมืองชั่วร้ายหรือต้องตกนรกหมกไหม้ในที่สุด และนักการเมืองที่ดี ๆ ทั่วโลกก็มีจริง สามารถนำพาประเทศไปเป็นมหาอำนาจและคนเคารพศรัทธาได้
นักการเมืองที่ดีคือคนที่มีความเชื่อมั่นศรัทธาประชาชน เพราะประชาชนเป็นผู้เข้าใจปัญหาในชีวิตประจำวันของตัวเอง และสามารถเลือกคนที่จะมาแก้ปัญหาของตัวเองได้ ฉะนั้นเมื่อเชื่อมั่นและเคารพเสียงประชาชน หลังจากนั้นในที่สุดทุกอย่างก็จะเข้าสู่ ′สภาวะสมดุลของระบบ′ อะไรที่เป็นปัญหาจำเป็นต้องแก้ไขก็จะมีพูดกันซ้ำ ๆ บ่อย ๆ และกลายเป็นเสียงส่วนใหญ่ เช่น ปัญหาความยากจน หากได้รับการแก้ไขแล้ว ปัญหาต่อไปก็มีสิ่งแวดล้อม พลังงาน ประชาชนจะเป็นผู้รู้ว่าจะแก้ไขกับปัญหาหน้างานอย่างไร เพราะฉะนั้นในทางกลับกันเราจะได้รับความร่วมมือจากประชาชนด้วย ระหว่างผู้แทนราษฎรกับประชาชนก็จะให้ความร่วมมือซึ่งกันและกัน ในที่สุดทุกอย่างจะแก้ไขไปได้ ทุกวันนี้จึงอยากปลุกให้ประชาชนตื่นตัวทางการเมือง มีความคิดเห็นทางการเมืองให้มาก เมื่อเรียนรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ในที่สุดก็จะเข้าสู่สมดุลเพราะเรารับฟังเสียงประชาชน
@ในทางการเมืองมีความถนัดด้านใด และเตรียมชูประเด็นอะไรสำหรับการหาเสียง
วางไว้ 3 เรื่องคือ ขั้นที่ 1 เรียกร้องประชาธิปไตยให้ได้ก่อน เรื่องที่ 2 คือการศึกษา ความเข้าใจเรื่องประชาธิปไตย สิทธิเสรีภาพและรัฐธรรมนูญ ส่วนเรื่องที่ 3 คือประเทศเราน่าจะทำเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพ เทคโนโลยีอาหาร ซึ่งเป็นเรื่องที่เรียoจบมาโดยตรง คิดว่าประเทศเรามีทรัพยากรมากมายแต่เรายังมองไม่เห็น เท่านั้นเอง เราขาดการบริหารจัดการ เรามีวัตถุดิบที่เป็นประโยชน์ในทางโภชนาการของโลก มีความหลากหลายทางชีวภาพที่สามารถนำมาผลิตเป็นยาได้ ประเทศไทยน่าจะเป็นผู้นำเรื่องเหล่านี้ เทคโนโลยีเหล่านี้จะมาช่วยแก้ปัญหาทั้งพลังงานและสิ่งแวดล้อม แต่ ณ วันนี้เรายังไม่สามารถไปถึงจุดนั้นได้เพราะเรายังไม่ฟังเสียงประชาชน
@ คิดอย่างไรที่ภาพการเคลื่อนไหวของ เสื้อแดง ไม่พ้นเรื่องคุณทักษิณ ชินวัตร
เป็นธรรมชาติ ไม่เป็นปัญหา เพราะคนหลายคนอยากฟังคุณทักษิณโฟนอิน ถ้าไม่ได้ยินคุณทักษิณโฟนอินก็เหมือนขาดอะไรไปอย่างหนึ่ง แล้วคนเสื้อแดงก็มีความต้องการที่หลากหลาย แต่สิ่งที่พูดซ้ำกันมากคือเราต้องการประชาธิปไตย นี่เป็นห้องเรียนประชาธิปไตยขนาดใหญ่ คนมีความต้องการหลากหลาย อาจจะพูดเรื่องคุณทักษิณมาก พูดเรื่องปัญหาคอร์รัปชั่นก็มาก แต่สิ่งที่พูดมากที่สุดคือเรื่องประชาธิปไตยที่ 1 คนมี 1 เสียงเท่ากัน
ถ้าลองทำวิจัยกันจริง ๆ ด้วยการไปเก็บความเห็นผู้ชุมนุมว่าเลือกจัดลำดับให้ความสำคัญอะไรใน 10 ข้อ ตั้งแต่เรื่องความเท่าเทียม ระบบความเป็นธรรม หรือเรื่องคุณทักษิณก็จะสามารถจัดลำดับได้ว่าเขามาเพราะอะไร และเชื่อว่า 100 เปอร์เซ็นต์คือต้องการประชาธิปไตยให้เลือกตั้งใหม่
@ บางคนมองว่าควรแยกคุณทักษิณออกจากขบวนการเคลื่อนไหว
เราไม่จำเป็นต้องตัดขาดจากใครสักคนเลย เพราะทุกวันนี้โลกมันอธิบายด้วยความสัมพันธ์ และสัมพันธภาพ หลักความจริงตอนนี้มันอธิบายด้วย 2 ทฤษฎีคือ หลักความสัมพันธ์ และความไม่แน่นอนในการเปลี่ยนแปลงได้เสมอ เพราะฉะนั้นเราไม่จำเป็นต้องตัดใครออกจากระบบสักคนหนึ่งเลย แต่สิ่งสำคัญคือเราจะมีระบบสื่อสารกันได้อย่างไรและจะอยู่ร่วมกันได้อย่างไรมากกว่า
@ ส่วนตัวคิดว่าครั้งนี้เป็นการต่อสู้เพื่อคุณทักษิณหรือไม่
เป็นการต่อสู้เพื่อระบอบประชาธิปไตย ส่วนคุณทักษิณเป็นตัวอย่างหนึ่งของผลพวงจากระบอบอำมาตยาธิปไตย ซึ่งเห็นได้ชัดทุกรูปแบบ ทำให้ประชาชนหวาดเสียวว่าขนาดคนที่ทำประโยชน์มากมายอย่างคุณทักษิณยังได้รับผลกระทบ เช่น ถูกศาลตัดสินในคดีที่ดินรัชดาฯ คดียึดทรัพย์ ขณะที่ยังมีการวิจารณ์ว่าเป็นความผิดด้วยตรรกะแบบไหน เป็นเรื่องคุณธรรมจริยธรรมหรือผิดกฎหมาย เป็นการผิดในมาตรฐานไหนกันแน่
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
**************************************************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น