ทำให้ทุกฝ่ายของรัฐบาลมองว่า รอบนี้น่าจะจบในช่วงสงกรานต์นี้แหละ...จึงได้ยืนกรานไม่แคร์เรื่องการเจรจา แต่หาทางที่จะบีบทุกวิถีทางแต่วิชามารที่ร้ายที่สุด ที่ถูกงัดมาเสนอแนวคิดว่าจะใช้ก็คือ จะยืมมือหน่วยงานกรุงเทพมหานคร หรือ กทม.ให้ตัดการสนับสนุนเรื่องน้ำ เรื่องความสะอาด และเรื่องของห้องน้ำ กับผู้ชุมนุมถือเป็นเกมโหดผิดมนุษย์มนาจริงๆ แต่ยังโชคดีที่หน่วยงานอย่าง กทม.ยืนยันไม่เห็นด้วยถึงวันนี้ การเรียกร้องประชาธิปไตย เรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภา ของกลุ่มคนเสื้อแดง ของ นปช. ได้กลายเป็นแรงกดดันอย่างหนักหน่วงสำหรับนายอภิสิทธิ์ เวช
ชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และรัฐบาลเป็นอย่างยิ่งโดยเฉพาะการเคลื่อนพลมายึดพื้นที่สี่แยกราชประสงค์เป็นจุดชุมนุมกดดันรัฐบาล นอกเหนือจากพื้นที่สะพานผ่านฟ้าฯเป็นการแสดงออก หลังจากที่มีการเจรจา 2 รอบ แล้วนายอภิสิทธิ์ ยังคงสไตล์เดิมตามคำแนะนำของผู้ชักใย และผู้หนุนหลังว่า ให้ยืนกรานว่าจะต้องอยู่จนถึง 9 เดือนก่อน เพื่อที่จะใช้งบประมาณไตรมาสแรกปี 2554 กับมือรัฐบาลชุดนี้เสียก่อน ถึงจะยอมยุบสภาเมื่อขีดเส้นยืนกรานโดยไม่ฟังแม้แต่ความ
เห็นของนักวิชาการ ที่บอกว่าระยะเวลาใช้แค่ 3 เดือนก็เพียงพอแล้ว... เลยทำให้กลายเป็นเส้นขนานที่ยากบรรจบและทำให้ต้องงัดยุทธศาสตร์มารับมือกันและกันอย่างเต็มที่ยุทธศาสตร์ของกลุ่มคนเสื้อแดงนั้น ชัดเจนง่ายๆ คือยึดกรอบของการชุมนุมโดยสงบ สันติ และปราศจากอาวุธส่วนการเพิ่มแรงกดดัน ก็ใช้การเคลื่อนพลไปชุมนุมในพื้นที่ซึ่งประเมินว่าน่าจะเรียกความสนใจจากสังคมโลก และทำให้รัฐบาลต้องทบทวนท่าทีแข็งกร้าวลงมาบ้างอ่านง่าย อ่านขาด รู้กัน
ชัดเจนทั่วโลกแต่ยุทธศาสตร์ของรัฐบาล ภายใต้กลุ่มคนเครือข่ายอำมาตยาธิปไตย ที่ชักใยอยู่เบื้องหลังรัฐบาลนอมินี และนายกรัฐมนตรี Good Boy นี่สิ งัดสารพัดวิชามารมาใช้ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อเล่นงานกลุ่มคนเสื้อแดง หรือเพื่อกดดันให้กลุ่มคนในสังคมกรุงเทพฯ ออกมาเผชิญหน้ากับกลุ่มคนเสื้อแดงแทนรัฐบาลและที่สำคัญที่สุด ก็คือ การเล่นกันเองในกลุ่มรัฐบาลและกลุ่มอำมาตย์ เห็นได้ชัดเจนก็คือ พอกลุ่มคนเสื้อแดงยึดสี่แยกราชประสงค์เป็นที่ชุมนุมใหญ่เรียกร้อง
ประชาธิปไตย ให้รัฐบาลยุบสภาทาง ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส) ออกประกาศฉบับที่ 5 ให้กลุ่มผู้ชุมนุมออกจากพื้นที่สี่แยกราชประสงค์งัดเอาพรบ.การรักษาความมั่นคงภายในแห่งราชอาณาจักร พ.ศ.2551 มาใช้ควบคุมพื้นที่ถนนราชดำริ ตั้งแต่ แยกราชประสงค์ ถึงแยกประตูน้ำ ถนนราชดำริ ตั้งแต่แยกราชประสงค์ ถึงสถานีรถไฟฟ้าราชดำริ ถนนพระรามที่ 1 ตั้งแต่แยกราชประสงค์ ถึงแยกปทุมวัน และถนนเพลินจิต ตั้งแต่แยกราชประสงค์ ถึงแยกชิด
ลม หากฝ่าฝืนไม่ยอมออกไปจากพื้นที่ จะเจอโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาทคนที่รับหน้าเสื่อในการออกโทรทัศน์ขู่ประชาชน แทนที่จะเป็นนักการเมือง ที่เป็นรัฐบาล กลับโยนภาพความเกลียดชังซ้ำเติมให้เกิดขึ้นกับทหาร โดยให้ เสธ.ไก่อู หรือ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด เป็นตัวชนเต็มใจหรือไม่เต็มใจไม่รู้ แต่เสธ.ไก่อู เปลืองตัวเป็นครั้งที่ร้อยได้แล้ว สำหรับการต่อสู้ทางการเมืองและการเรียกร้องประชาธิปไตยครั้งนี้ภาพลักษณ์ของนักการเมืองไม่มีการ
บอบช้ำ แต่ภาพลักษณ์กองทัพ โดยเฉพาะกองทัพบก ถูกทำลายภาพลักษณ์ป่นปี้หมดแล้ว กับภาพ 2 มาตรฐาน ที่เมื่อครั้งคนเสื้อเหลือง กองทัพบกไม่ทำอะไรเลย อยู่อย่างสงบเงียบเชียบในกรมกองที่ตั้ง ไม่หือไม่อือใดๆ ทั้งสิ้นแต่กับคนเสื้อแดงแล้ว กองทัพบกออกมาก๋าๆ ชนิดหนังคนละม้วนที่น่าสังเกตุมากไปกว่านั้น ก็คือ เมื่อกลุ่มคนเสื้อแดง ไม่ได้ยี่หระประกาศของ ศอ.รส. และยืนยันว่าจะชุมนุมต่อไป เพราะถือว่าชุมนุมโดยสงบ ไม่ได้ใช้ความรุนแรง ทุบทำลายสถานที่
แต่อย่างใดเมื่อครั้งม็อบเสื้อเหลืองยึดทำเนียบ ยังมีการทุบทำลาย รื้อค้น ขโมยข้าวของในทำเนียบ เป็นข่าวรู้กันไปทั่วโลก เช่นเดียวกับการยึดสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งสร้างความเสียหายเป็นแสนล้านบาท จากคำยืนยันของภาคธุรกิจเอกชนเองและในวันนี้กลุ่มผู้ประกอบการย่านราชประสงค์ ซึ่งถูกรัฐบาลขอให้ออกมาประเมินความเสียหาย หมายจะฟ้องสังคมให้รับรู้ว่ากลุ่มคนเสื้อแดงสร้างความเสียหายทางธุรกิจปรากฏว่า กลุ่มผู้ประกอบการสี่แยกราชประสงค์ ก็บอกว่า
ทำให้เสียโอกาสทางธุรกิจไปประมาณ 100–160 ล้านบาท... แตกต่างกันไม่เห็นฝุ่นกับความเสียหาย 100,000 ล้านบาทเมื่อครั้งม็อบเสื้อเหลืงยึดสนามบินซึ่งนอกจากรัฐบาลนายอภิสิทิ์ จะไม่เห็นความผิดแล้ว ยังให้แกนนำม็อบยึดสนามบินอย่างนายกษิต ภิรมย์ ได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ด้วยซ้ำฉะนั้นถ้ายึดสนามบินแล้วได้เป็นรัฐมนตรี หากมาชุมนุมที่แยกราชประสงค์แล้วโดนจับติดคุก ภาพ 2 มาตรฐานจะยิ่งติดตัวนายอภิสิทธิ์ และรัฐบาลประชาธิปัตย์
ไปนานเท่านานแน่ๆดังนั้นจะเห็นว่าไม่เพียงนายอภิสิทธิ์จะชิ่งหลบฉาก ด้วยข้ออ้างว่าติดภารกิจ ในขณะที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง ซึ่งก็นกรู้พอว่าจะโดนโยนเผือกร้อนมาให้ เพราะความสัมพันธ์ลึกๆระหว่างนายอภิสิทธิ์ กับ เทพเทือก ก็ไม่ได้สามัคคีกันสักเท่าไรนักที่สำคัญยิ่งมีกระแสอาถรรพ์เก้าอี้เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์หนักมากเท่าไร่ ว่านายสุเทพอาจจะต้องถูกเด้งหลุดเก้าอี้ จะเห็นว่าช่วงหลัๆ นายสุเทพ จะปล่อยให้นาย
อภิสิทธิ์เข้ารกเข้าพงทางการเมืองหลายรอบแล้วเมื่อต้องใช้อำนาจกฎหมายเล่นงานกลุ่มคนเสื้อแดงเข้าจริง นายอภิสิทธิ์ชิ่ง นายสุเทพก็เลยไม่ยอมเสียค่าโง่ทางการเมืองให้ใครแต่โยนไปให้ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะ รองผอ. ศอ.รส. เป็นผู้ตั้งทนายความยื่นคำร้องต่อศาลแพ่ง เพื่อพิจารณาสั่งให้กลุ่มผู้ชุมนุมออกจากสี่แยกราชประสงค์ รวมถึงให้ความคุ้มครองพื้นทื่ทางเศรษฐกิจอื่นๆ ด้วยงานนี้ทั้ง บิ๊กป็อก และ เสธ.ไก่อู เปลืองตัวไปเต็มๆ
ในสายตาประชาชน แต่ไม่รู้ว่าเป็นการเปลืองตัวด้วยภาวะจำยอม หรือด้วยภาวะเต็มใจกันแน่???แต่งานนี้ทั้งนายอภิสิทธิ์ ทั้งนายสุเทพลอยตัว สร้างภาพต่อไปได้เรื่อยๆ โดยเฉพาะเมื่อใช้เกมทหารบีบก่อน จากนั้นก็จะใช้เกมเปิดทางเจรจาตามการยืนกรานของรัฐบาลเป็นหลัก คืออีก 9 เดือนถึงจะยุบสภาเกมนี้ถูกจับตามองไปทั่วโลก เพราะเป้าหมายของรัฐบาลนั้นเห็นชัดว่า ต้องการที่จะอยู่เพื่อทำกรอบงบประมาณ ปี 2554 ให้ได้ตามที่ต้องการ และอยู่ใช้งบประมารไตรมาส
แรกคือ ตุลาคม–ธันวาคม 2553 นี้ให้เต็มที่เสียก่อนแล้วจึงไปเลือกตั้งใหม่ในเดือนมกราคม 2553 ซึ่งจะทำให้รัฐบาล โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ ได้เปรียบในการเลือกตั้งอย่างที่สุดที่สำคัญทั้งนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ หรือแม้แต่กระทั่งวอร์รูม ศอ.รส. ประเมินตรงกันว่า แม้กลุ่มคนเสื้อแดงจะมากันเยอะ แต่จะเป็นคนละสไตล์กับม็อบเสื้อเหลืองที่มีเส้นนึกจะทำอะไรก็ทำ ในขณะที่คนเสื้อแดงจะทำอะไรก็ยังยึดกรอบชุมนุมโดยสงบทำให้ทุกฝ่ายของรัฐบาลมองว่า รอบนี้น่า
จะจบในช่วงสงกรานต์นี้แหละ... จึงได้ยืนกรานไม่แคร์เรื่องการเจรจา แต่หาทางที่จะบีบทุกวิถีทางไม่ว่าจะเป็นการพยายามทำให้คนกรุงเทพฯเกิดความรู้สึกว่าเดือดร้อนทำให้ภาคธุรกิจเกิดความรู้สึกว่าเสียหาย... โดยที่มีแกนนำเชียร์รัฐบาลทั้งหลาย เป็นตัวคอยกระชุ่นซึ่งทำท่าว่าจะได้ผลในระดับหนึ่งด้วย เพราะมีกลไกสื่อโทรทัศน์ของรัฐบาลช่วยกระพือแต่วิชามารที่ร้ายที่สุด ที่ถูกงัดมาเสนอแนวคิดว่าจะใช้ก็คือ จะยืมมือหน่วยงานกรุงเทพมหานคร หรือ กทม. ให้ตัดการ
สนับสนุนเรื่องน้ำ เรื่องความสะอาด และเรื่องของห้องน้ำ กับผู้ชุมนุมถือเป็นเกมโหดผิดมนุษย์มนาจริงๆ แต่ยังโชคดีที่หน่วยงานอย่าง กทม.ยืนยันไม่เห็นด้วยยึดมั่นว่า หน้าที่ของ กทม. คือการให้บริการ และอำนวยความสะดวกกับประชาชน ไม่ใช่กลั่นแกล้งประชาชนเพราะหากไปกลั่นแกล้งจนเกิดความไม่สะอาด เกิดการเจ็บป่วย หรือเกิดการแพร่กระจายของเชื้อโรค นั่นคือพิบัติภัยในเขตชุมชนกรุงเทพฯ ที่ กทม. จะต้องรับผิดชอบเต็มๆแต่ที่ไม่น่าเชื่อว่า คนที่ขานรับเห็นด้วย
กับแผนเลวร้ายของวอร์รูม เรื่องการหยุดการให้บริการสารธารสุขกับคนเสื้อแดงคือ พ.ญ.มาลินี สุขเวชชวรกิจ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครที่บอกว่าไม่น่าเชื่อ ก็เพราะคนที่เรียนจบแพทย์ จะต้องได้รับการปลูกฝังให้เห็นความสำคัญกับคุณค่าของชีวิตผู้คน จะต้องเสียสละการทำงานเพื่ออุดมการณ์ทางการแพทย์ไม่ใช่มาขานรับความอำมหิตทางการเมืองแบบนี้จริงแล้ว พญ.มาลินี ควรจะต้องตระหนักว่า ในเมื่อเป็นประชาชนคนไทยด้วยกันเอง แม้ว่าวันนี้จะใส่เสื้อคนละสี
แต่ตามหลักสิทธิมนุษยชนแล้ว ก็ย่อมต้องได้รับการดูแลที่ทัดเทียมเสมอกันแต่นี่ กลับไปยึดติดกับการได้เป็น รองผู้ว่าราชการ กรุงเทพมหานคร ที่ประชาธิปัตย์แต่งตั้งมา เพราะเคยเป็น ส.ส. แบบสัดส่วนกลุ่ม 2 พรรคประชาธิปัตย์ และเคยเป็นสมาชิกวุฒิสภา จ.นครสวรรค์สิ่งที่ไม่น่าเชื่อที่สุดก็คือ พ.ญ.มาลินี เป็นถึงกรรมการสมาคมแพทย์สตรีแห่งประเทศไทย ซึ่งควรจะต้องให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตของสตรี แต่กลับไม่ใช่เลยเพราะในการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง มี
สตรีเข้าร่วมชุมนุมเกินกว่าครึ่ง หรือเป็นหมื่นๆคนเป็นอย่างน้อย แต่คนที่เป็นกรรมการสมาคมแพทย์สตรี กลับจะยอมรับที่จะให้ถอนการบริการสุขา ซึ่งสำหรับสุภาพสตรีไทยแล้ว ห้องสุขาถือว่าสำคัญอย่างที่สุดพ.ญ.มาลินี เอาอะไรมาคิด... การเมืองอำมหิต ทำให้คนที่เคยเป็นแพทย์เปลี่ยนวิธีคิดไปได้ขนาดนี้เชียวหรือ... อนิจจา
ที่มา.บางกอกทูเดย์
*********************************************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น