--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอังคารที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2553

เตือนจนปากฉีก แต่มิได้นำพา!

วันนี้ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล จะเป็นนปช.จะต้องลดทิฐิลงทั้ง 2 ฝ่าย เพื่อเจรจากันจริงๆ โดยต้องไม่ลืมหลักการเจรจาที่แท้จริง นั่นคือ จะต้องยอมรับให้ได้ว่า ไม่มีการเจรจาใดๆ ที่จะได้ 100% แต่หากคิดไว้ล่วงหน้าว่าจะยอมเสียอะไร จะยอมถอยแค่ไหน ทำเหมือนกันทั้ง 2 ฝ่ายๆ สุดท้ายก็จะหาจุดลงตัวในการเจรจาได้แต่หากขึงพืดไม่มียอมเสียหรือยอมถอยในการต่อรองเลย การเจรจาก็จะไม่มีประโยชน์สุดท้ายประเทศชาติก็จะแย่ถึงวันนี้ ยังคงยืนยันว่า การเจรจาเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดและเป็นหนทางเดียวที่เป็นทางออกของประเทศชาติในสถานการณ์ที่ขึงพืดกันอยู่เช่นนี้หากยังปล่อยให้เด็กๆ ละเลงกันเละ โดยที่ผู้ใหญ่นั่งดูเฉย โอกาสที่จะเกิดการสูญเสียเช่นเมื่อวันที่ 10 เมษายนก็จะเกิดขึ้นซ้ำรอยขึ้นมาอีก...แล้วถามว่า

ประเทศชาติจะได้อะไรการปะทะกันระหว่างกำลังเจ้าหน้าที่กับผู้ชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตย บนแนวคิดที่ว่าอะไรจะเกิดก็ต้องปล่อยให้เกิด ไม่ใช่วิถีทางแห่งการแก้ปัญหา แต่จะกลายเป็นทับถมปัญหาจนสุดท้ายทุกสิ่งจะเหลือเพียงซากปรักหักพังของประเทศชาติจงอย่างได้ลืมสิ่งที่ ดร.ปริญญา เทวานฤมิตร แห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พูดชัดเจนหลังเหตุการณ์สูญเสียและเศร้าสลดเกิดขึ้นกับสังคมไทย ว่าไม่มีการสลายการชุมนุมใดที่จะไม่มีการปะทะ และไม่มี

การสูญเสียดังนั้นแม้จะไม่ได้ตั้งใจหรือได้มีเจตนาที่จะให้เกิดความรุนแรงดังที่รัฐบาลยืนยัน แต่รัฐบาลก็ยากที่จะปฏิเสธความรับผิดชอบต่อความสูญเสียที่เกิดขึ้นได้นั่นคือความรู้สึกและมุมมองที่เป็นกลางของอาจารย์มหาวิทยาลัย ที่พูดตรงๆฉะนั้นเมื่อบทเรียนวันที่ 10 เมษายนมีแล้วที่สี่แยกคอกวัว ไยจะให้เกิดเหตุการณ์ที่แยกราชประสงค์ หรือแม้แต่กระทั่งถนนสีลมขึ้นมาอีก... ประเทศไทยยังสูญเสียไม่พอหรือ???สิ่งที่ พยายามเตือนมาตลอดก็เพราะ

ไม่ต้องการให้เกิดเหตุการณ์รุนแรงนั่นเองคอลัมนิสต์อาวุโสของบางกอก ทูเดย์ คือ พญาไม้ พยายามเตือนแล้วเตือนเล่าไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งผ่านข้อเขียนอย่างเปิดเผย และตรงไปตรงมาในจุดยืนของความห่วงใย ไม่อยากจะให้เกิดเหตุการร์รุนแรงและสูญเสียเช่นที่เกิดขึ้นแต่แน่นอนว่า คำเตือนนั้นกลับถูกแปรเจตนาโดยคนรอบข้างกายนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ว่าเป็นคอลัมน์ที่ยืนอยู่ตรงข้ามรัฐบาลทั้งๆที่หากมองย้อนกลับไปในอดีต ไม่ว่าใครเป็นรัฐบาล ไม่ว่า

ใครเป็นนายกรัฐมนตรี หากเห็นว่ามีจุดบกพร่อง มีจุดอันตรายที่ไม่ควรปล่อยให้เกิดขึ้นมากับสังคม โดยหน้าที่ของสื่อมวลชนที่ดี ก็ต้องเตือน ก็ต้องให้แง่คิดด้วยกันทั้งสิ้นช่วงที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี พญาไม้ ก็เขียนตำหนิ ทักท้วงอย่างต่อเนื่อง ยาวนานถึง 6-7 ปีแต่แน่นอนว่าคำเตือนย่อมไม่เสนาะหูเท่ากับคำชม ตอนนั้นคนรอบข้าง พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ไม่ชอบใจ เช่นเดียวกับวันนี้ที่คนรอบข้างนายอภิสิทธิ์ไม่ชอบใจ จนทำให้คำท้วงติงต่างๆ กลายเป็น

สิ่งที่ไม่มีประโยชน์แถมยังมีคนประเภทที่มือไม่พายแต่ชอบที่เอาเท้าราน้ำ ให้ข้อมูลว่า พญาไม้ และบางกอก ทูเดย์ เป็นขั้วตรงข้ามกับรัฐบาล แถมยกเมฆโมเมหน้าตาเฉยว่า สงสัยว่าอาจจะมีการรับเงินสนับสนุนมาจาก พ.ต.ท.ทักษิณไปโน่นเลยซึ่งจริงๆ แล้วเราอยากจะท้าให้รัฐบาลดำเนินการตรวจสอบเส้นทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับบางกอก ทูเดย์ได้เลย แล้วจะได้พบความจริงว่าเราเป็นสื่อที่ไม่ได้ร่ำรวยในเรื่องเงินทอง แต่ร่ำรวยในเรื่องของจรรยาแห่งวิชาชีพมิตร

สหายที่ดีพึงต้องเตือนมิตรสหายเมื่อเห็นว่าจะก้าวไปสู่เส้นทางหายนะ แม้ว่าคำเตือนนั้นจะระคายหูสักเพียงใดก็ตามเช่นเดียวกับสื่อมวลชนที่ดี เมื่อเห็นลางหายนะจะเกิดขึ้นกับประเทศชาติ หากไม่เตือน ไม่ทักท้วง ก็ไร้ซึ่งวิญญาณแห่งสื่อมวลชนที่ดีแล้วดังนั้นตลอดมา จะเห็นว่าเราทำหน้าที่ด้วยความเป็นกลางในฐานะนักข่าวที่แท้จริงตลอดมาวันนี้หากนายอภิสิทธิ์ ตั้งสติให้นิ่ง ให้พ้นจากความตื่นตระหนกจากเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงว่า ที่เกิดเป็นลูกระนาดต่อเนื่องเรื่อยมา

จนขนาดว่ามีการสลายการชุมนุม มีการสูญเสียชีวิตกันทั้ง 2 ฝ่ายแล้ว เรื่องก็ยังไม่ยุติแถมวันนี้หน่วยข่าวกรองทางทหาร และการพิสูจน์ภาพของคนชุดดำปริศนา ก็รู้ชัดเจนแล้วว่า เป็นฝีมืออำมหิตของ คนชื่อ น. อีกครั้งหนึ่งแล้ว ที่สั่งการ และบัญชาการให้เกิดความรุนแรงถึงเลือดถึงชีวิตยังจะปล่อยให้ นาย น.คนนี้สร้างผลงานอุบาทว์ต่อไปอีกอย่างนั้นหรือ???วันนี้นายอภิสิทธิ์ จะต้องทบทวนกับข้อผิดพลาดต่างๆ รอบตัว แล้วคิดว่าจะหาทางออกที่ดีให้กับประเทศชาติได้

อย่างไรคำพูดของคนที่นายอภิสิทธิ์ ควรจะฟังคือ บรรดาผู้อาวุโสทางการเมือง ทั้งในพรรคประชาธิปัตย์ และนอกพรรคประชาธิปัตย์แต่ไม่ควรเป็นแก๊งเด็กๆ ที่อยู่รายรอบไม่กี่คน ซึ่งไม่มีประสบการณ์การเมืองใดๆเลย นอกจากคิดเอาเองว่ากูเก่ง กูแน่... โดยที่ไม่รู้ว่ากำลังจะทำให้ชาติบ้านเมืองพังการที่ นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และแกนนำพรรครวมชาติพัฒนา ออกมาเตือนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนับเป็นการสูญเสียที่มีผลต่อความสงบเรียบร้อยและต่อชื่อเสียง

ของประเทศเป็นอย่างมาก ฉะนั้นมาถึงจุดนี้ทุกฝ่ายจะต้องพยายามกันอย่างเต็มที่ ถ้าเลยจุดนี้ไปจะเป็นอันตรายอันใหญ่หลวงต่อประเทศ ฉะนั้นทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะต้องหาทางออกที่แท้จริง ที่ผ่านมามีการพูดคุยกันแล้ว 2 ครั้งโดยมีเป้าหมายการเจรจาก็ไม่ได้กว้างมาก เพราะถูกจำกัดไว้ในเรื่องของการยุบสภาเพียงเรื่องเดียว ฉะนั้นวันนี้น่าที่จะต้องมีการหารือเจรจากันอีกครั้งหนึ่งอย่างเร่งด่วน“และคิดว่าเรื่องนี้เป็นความต้องการของส่วนรวมด้วย ที่อยากจะเห็นการเจรจาที่

นำไปสู่การยุติ ถ้าเราคิดว่าแนวทางการเจรจาที่จะนำไปสู่การยุติ คือ การยุบสภาแล้วจะเป็นทางออกที่ดีต่อสถานการณ์ และอนาคตที่เรียบร้อยของประเทศ ก็ต้องรีบตกลงกันทั้ง 2 ฝ่าย” นายสุวัจน์ กล่าวขนาดนายบรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ยังพูดชัดเจนว่า ได้คุยกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ไปแล้วว่า ทางพรรคประชาธิปัตย์ต้องรีบประชุมว่า จะทำอย่างไร จะยุบสภาเมื่อไร จะแก้รัฐธรรมนูญกัน บอกให้ชัดเจน จะทำเฉยไม่ได้

เพราะเหตุการณ์ร้อนแรงขึ้นทุกวันนายบรรหารย้ำว่า เสียงของนายชวน มีมากในพรรค แต่ถ้าไม่ช่วยนายกฯ อภิสิทธิ์ เพื่อให้บ้านเมืองเดินไปได้ อะไรจะเกิดขึ้นก็ตอบไม่ได้ “อยากบอกว่า เหตุการณ์นี้คล้ายกับเสื้อเหลืองยึดสนามบินสุวรรณภูมิ นึกสังหรณ์ใจตลอดเวลา เหมือนตรงที่ว่าศาลรัฐธรรมนูญกำลังจะตัดสินยุบพรรคพลังประชาชน ยุบพรรคชาติไทย พรรคมัชฌิมาธิปไตย รุ่งขึ้นเสื้อเหลืองออกมายึดสนามบินสุวรรณภูมิแล้ว”นี่คือมุมมองอาวุโสที่นายอภิสิทธิ์ควรเปิดใจ

กว้างรับฟัง เพื่อหาทางออกให้กับประเทศชาติยิ่งวันนี้ แม้แต่นักวิชาการเองก็ยังเกิดความรู้สึก นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ อดีตคณบดีคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่เห็นว่าสถานการณ์ตึงเครียดมาก และอาจไม่เกิดรอบเดียว อาจจะมีรอบ 2 ซึ่งไม่รู้ว่าจะมีเมื่อไหร่ แต่ขอภาวนาว่า อย่าให้มีและอย่าให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโดยกระบวนการนอกรัฐธรรมนูญ สิ่งสำคัญที่สุดคือ การรักษาชีวิต ส่วนการรักษาพื้นที่หรือการใช้กฎหมายเด็ดขาดไม่ใช่เรื่อง

สำคัญ “ฉะนั้น ในฐานะที่รัฐบาลมีหน้าที่รับผิดชอบความเป็นไปของบ้านเมือง ประกอบกับการที่นายกฯพูดเสมอว่า นักการเมืองต้องมีจิตสำนึกที่สูงกว่าคนทั่วไป นายกฯ ก็ต้องแสดงให้สังคมเห็นว่า ได้รับผิดชอบอะไรไปแล้ว นอกจากนี้ ทุกฝ่ายต้องมีสติให้มั่น อย่ากดดันกันจนนำไปสู่ความรุนแรง” นายเอนกกล่าว นายเอนกแนะนำว่ารัฐบาลต้องยกเลิกประกาศ พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน และยุติการใช้ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรด้วย เพื่อ

คืนบ้านเมืองสู่สภาวะปกติ และต้องยกเลิกการเซ็นเซอร์ข่าวสาร เพราะตอนนี้เกิดความไม่เป็นธรรมมาก โดยเฉพาะสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที เมื่อไม่ให้อีกฝ่ายพูด ฝ่ายตนเองก็ต้องไม่พูดด้วย ฉะนั้น ขอให้ตระหนักในการเสนอข่าวสาร เพราะตอนนี้กลายเป็นการเสนอข่าวสารสร้างความเกลียดชังกัน นายสมชาย ปรีชาศิลปกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน กล่าวว่า ความขัดแย้งทางการเมืองไม่ควรจบลงด้วยความรุนแรง ทั้งนี้ รัฐบาลมีพันธกิจที่จะต้องรับผิดชอบชีวิตและ

ทรัพย์สินของประชาชน ไม่ว่าเหตุรุนแรงนั้นจะเกิดจากฝ่ายใด หรือใครเริ่มความรุนแรงก่อนก็ตามในฐานะเป็นผู้บริหารบ้านเมือง แต่ขณะนี้ รัฐบาลยังอยู่เฉยโดยไม่แสดงความรับผิดชอบทางการเมือง จึงเป็นปัญหา ฉะนั้น ต้องออกมาแสดงความรับผิดชอบ การยุบสภาก็คงต้องยุบเพราะความขัดแย้งลงลึกมากขึ้น ส่วนกติกาที่จะให้ทุกฝ่ายยอมรับผลการเลือกตั้ง เมื่อมีความขัดแย้งขนาดนี้คงรอให้แก้ไขก่อนคงไม่ได้ ซึ่งคงต้องให้นักการเมืองพยายามตกลงกัน ยุติการชักนำไม่

ให้มีคนออกมาต่อต้านในการหาเสียง“ถ้าตอนนี้ไม่แสดงความรับผิดชอบอะไรเลย รัฐบาลจะบริหารไม่ได้แม้จะอยู่ต่อ เพราะการชุมนุมก็ค้างคา รัฐบาลก็สลายการชุมนุมอีกไม่ได้ ทหารก็ไม่ยอมใช้กำลังตามคำสั่งของรัฐบาล ยิ่งโดนคณะกรรมการการเลือกตั้ง ตัดสินคดียุบพรรคจากเงินบริจาค ตอนนี้จึงเป็นเป็ดง่อย และเน่าทางการเมืองลงไปทุกทีจนกำลังจะเป็นซากการเมือง หากไม่รีบตัดสินใจ นายกฯ จะไม่เหลืออนาคตทางการเมืองอะไรเลย” นายสมชายกล่าวนี่คือมุมมองที่

เกิดขึ้นในเวลานี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรพิจารณามากกว่าคำพูดของคนรอบข้างไม่กี่คนแม้อาจจะเป็นการย้ำประโยคเดิมที่อาจจะน่าเบื่อในมุมมองของรัฐบาลว่าทุกอย่างเราเตือนคุณมาก่อนทั้งนั้นแล้วไม่ใช่หรือ?และวันนี้เราก็ยังขอเตือนเหมือนเดิมว่า ลดทิฐิหาทางออกเพื่อประเทศชาติเถอะวันนี้ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล จะเป็นนปช. จะต้องลดทิฐิลงทั้ง 2 ฝ่าย เพื่อเจรจากันจริงๆ โดยต้องไม่ลืมหลักการเจรจาที่แท้จริง นั่นคือ จะต้องยอมรับให้ได้ว่า ไม่มีการเจรจาใดๆ ที่จะได้

100% แต่หากคิดไว้ล่วงหน้าว่าจะยอมเสียอะไร จะยอมถอยแค่ไหน ทำเหมือนกันทั้ง 2 ฝ่ายๆ สุดท้ายก็จะหาจุดลงตัวในการเจรจาได้แต่หากขึงพืดไม่มียอมเสียหรือยอมถอยในการต่อรองเลย การเจรจาก็จะไม่มีประโยชน์สุดท้ายประเทศชาติก็จะแย่ เพราะวันนี้ ก็มีคนสีอื่นๆ ขยับเข้ามาทำให้สถานการณ์ยุ่งเหยิงมากขึ้นแล้วดังนั้นวันนี้ เหลือทางรอดทางเดียวคือการเจรจาโดยสันติ... เพื่อไม่ให้เกิดความสูญเสียรอบ 2


ที่มา.บางกอกทูเดย์
*************************************************

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น