เพียงแค่วันสองวันหลังจากการเจรจารัฐบาล-เสื้อแดงล่ม ก็มีการปั่นคำศัพท์ว่า "เหวง" ให้กลายเป็นคำที่ส่อไปในทางไร้สาระหรือก่อกวน
ชื่อ "ตู่" ของจตุพร พรหมพันธุ์ ก็พลอยโดนไปด้วย
สื่อต่างๆ ที่เอาใจช่วยรัฐบาลก็พร้อมใจรับลูกเอาไปขยายต่อ อย่างมีชั้นเชิงบ้าง เนียนบ้าง ทื่อบ้างตามพื้นฐานของแต่ละคนแต่ละฉบับ
ทีวีช่องหนึ่งก็ตาลีตา เหลือก ไปรูดเอาเนื้อจากอินเตอร์เน็ต หยิบเอาศัพท์มาขยาย ให้ความสำคัญระดับเป็นสกู๊ปร่วมๆ สองนาทีเลยทีเดียว
ไม่มีการประเมินเลยว่า ศัพท์ที่ว่านี้ ชาวบ้านร้านตลาดเขารู้เรื่องด้วยไหม ไม่ประเมินเลยว่าที่ว่าฮิตอยู่ตามเฟซบุ๊กหรือเว็บบอร์ดต่างๆ นั้น เป็นความนิยมโดยธรรมชาติหรือมีใครปั่นขึ้นมา
ในทางการเมือง วิธีการอย่างนี้เป็นเทคนิคทำลายความน่าเชื่อถือของคู่ต่อสู้ทางการเมือง
พูดถึงการเจรจาระหว่างรัฐบาลกับเสื้อแดง 2 วันที่ผ่านไป มีข้อดีและจุดอ่อน
เช่น การโต้เถียงหรือการใช้เวลาพูดแบบอภิปราย ซึ่งก็เข้าใจได้ว่า เกิดขึ้นเพราะมีการถ่ายทอดสด และไม่มี "คนกลาง" ทำหน้าที่คุมประเด็น
จึงมีการเสนอกันว่า การเจรจารอบต่อไป หากจะมีขึ้นอาจไม่ต้องถ่ายทอด และต้องมีคนกลางดูแล
กรณีหมอเหวงกับจตุพร เป็นความพยายามที่จะใช้โอกาสที่มีการถ่ายทอดสด นำเสนอประเด็นที่หมอเหวงกับจตุพรรู้สึกว่าถูกปิดกั้นและไปไม่ถึงประชาชนวงกว้าง
ถ้ามีคนกลางอยู่ด้วยอาจจะตัดบทได้ว่า ให้นายกฯ รับเอาไปก่อน แล้วค่อยไปออกทีวีชี้แจงคนเดียว 3 ชั่วโมงไปเลยก็ได้
แต่พอไม่มี คนไทยก็เลยได้เห็นนายกฯ หน้าดำหน้าแดงกับเรื่องที่ไม่ควรต้องมาเถียงกัน และหมอเหวงยังได้เตือนนายกฯ ในเรื่องนี้ด้วย
กรณีหมอเหวงที่กล่าวถึงปัญหาทางชนชั้น ซึ่งเป็นเรื่องจริงที่นักวิชาการรู้และหนักใจกันทั้งนั้น
แต่สังคมไทยเหินห่างจากแนวคิดแบบนี้มานาน ก็เลยไม่เข้าใจ เมื่อ ไม่เข้าใจก็กล่าวหาว่าเพ้อเจ้อไร้สาระ
การเจรจา 2 วันนั้น คนเสื้อแดงได้ส่งสารหลายอย่างที่สังคมไทยบางส่วนไม่รู้และไม่พยายามเข้าใจ
แถมยังยอมเป็นเหยื่อ "วิชามาร" หมูๆ โดยคิดว่าเท่เสียเต็มประดาอีกซะล่วย!!
ที่มา.ข่าวสดรายวัน
คอลัมน์. ทิ้งหมัดเข้ามุม
โดย.คาดเชือก คาถาพัน
*****************************************************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น