--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอังคารที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2553

อดีต ปธ.สมานฉันท์หนุนเจรจา ไม่คืบหน้าค่อยยุบ 16องค์กรภาค ปชช.เรียกร้องทุกฝ่ายใช้สันติวิธี-เจรจา

16 องค์กรภาค ปชช.ยื่นหนังสือ รบ. เรียกร้องทุกฝ่ายใช้สันติวิธี-เจรจา รัฐอย่าใช้วิธีรุนแรงสลาย ขณะเดียวกันม็อบก็อย่าติดอาวุธผู้ชุมนุม จี้เปิด พท.ราชประสงค์ ปรามทหารอย่าปฏิวัติจะยิ่งทำบ้านเมืองถลำลึก

16องค์กรยื่นรบ.อย่าใช้รุนแรง

ตัวแทนกลุ่มองค์กรภาคประชาชน 16 องค์กร ประกอบด้วย สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล สถาบันพระปกเกล้า ศูนย์สันติวิธีมหาวิทยาลัยมหิดล คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป. อพช.) เครือข่ายหยุดทำร้ายประเทศไทย ทุกฝ่ายหยุดใช้ความรุนแรง เครือข่ายสันติวิธี กลุ่มประชาชนผู้ไม่เอาสงครามกลางเมือง กลุ่มนักวิชาการประชาธิปไตยเห็นต่างกันได้ แต่อย่าใช้ความรุนแรง เครือข่ายจิตอาสา คณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 และเครือข่ายพุทธิกา นำโดย พล.อ.เอกชัย ศรีวิลาส ผู้อำนวยการสำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล สถาบันพระปกเกล้า เดินทางไปยังกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ร.11รอ.) เมื่อเวลา 15.30 น. วันที่ 19 เมษายน ยื่นหนังสือถึงรัฐบาล เรียกร้องให้ทุกฝ่ายใช้ สันติวิธีและการเจรจา ช่วยกันพาประเทศไทยออกจากวิกฤต โดยมีนายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้รับหนังเรียกร้อง

หนังสือกลุ่มองค์กรภาคประชาชน 16 องค์กร ระบุข้อเรียกร้องดังนี้ 1.ขอให้การสูญเสียเลือดเนื้อและชีวิตในเมื่อวันที่ 10 เมษายนที่ผ่านมา เป็นบทเรียนแก่ทุกฝ่ายว่า ความรุนแรงไม่ใช่หนทางที่จะพาประเทศไทยออกจากวิกฤตได้ อีกทั้งการชุมนุมของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่สี่แยกราชประสงค์ เป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องหาทางคลี่คลายแก้ไข แต่ขอให้ไม่ใช้วิธีการรุนแรงและการสลายการชุมนุม เพราะจะเกิดความสูญเสียยิ่งไปกว่าที่ผ่านมา และจะยิ่งทำให้เหตุการณ์ลุกลามบานปลายจนถึงขนาดอาจจะเกิดสงครามกลางเมืองได้ ส่วนด้านของผู้ชุมนุมก็ต้องไม่ใช้ความรุนแรงและไม่ให้มีอาวุธในที่ชุมนุม

ให้2ฝ่ายถอยคนละก้าว-อย่าปฏวิติ

2.ขอให้ทั้งสองฝ่ายถอยคนละก้าว เพื่อเปลี่ยนเส้นทางที่กำลังพาประเทศไทยมุ่งหน้าไปสู่การแตกหักและความพังพินาศของทุกฝ่าย โดยให้มาใช้แนวทางสันติวิธีในการแก้ปัญหา โดยขอให้รัฐบาลยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรง ส่วน นปช.ขอให้เปลี่ยนที่ชุมนุมจากสี่แยกราชประสงค์เป็นพื้นที่อื่น หรืออย่างน้อยต้องเปิดพื้นที่ให้ห้างร้านต่างๆ ในบริเวณนั้นสามารถทำการได้ตามปกติ และควรหลีกเลี่ยงการเคลื่อนไหวที่จะนำไปสู่การปะทะหรือการสูญเสีย 3.ขอให้ทุกฝ่ายใช้วิธีการเจรจาและการประนีประนอมกันในการแก้ปัญหา 4.ขอให้ทุกฝ่ายหยุดการนำเสนอข้อมูลที่เป็นด้านเดียว 5.ขอให้ทหารอย่าทำรัฐประหาร เพราะจะยิ่งทำให้ประเทศไทยยิ่งถลำลึกลงไปในวิกฤตการณ์ยิ่งขึ้น

อดีตปธ.สมานฉันท์ติงใช้รุนแรง

นายดิเรก ถึงฝั่ง ส.ว.นนทบุรี อดีตประธานคณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปการเมืองและศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ให้สัมภาษณ์ว่า ขณะนี้เป็นปัญหาการเมืองจึงต้องแก้ด้วยการเมืองตามที่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เคยพูดไว้ ดังนั้น รัฐบาลอย่าใช้กำลังทหารแก้ปัญหาเป็นอันขาด ต้องตั้งสติให้ดี และวิเคราะห์สถานการณ์ให้ออก ถ้าใช้มาตรการที่ใช้อยู่ขณะนี้ จะนำไปสู่ความรุนแรงเกิดสงครามระหว่างประชาชนได้ ณ เวลานี้ คนที่มาชุมนุม ไม่ได้ทำเพื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีแต่ชุมนุมเพราะอุดมการณ์ประชาธิปไตยและความไม่เป็นธรรมที่ได้รับ ตรงนี้รัฐบาลต้องมองให้ออกว่า ผู้มาชุมนุมไม่ได้มีเจตนาก่อการร้าย ส่วนเรื่องกองกำลังไม่ทราบฝ่ายปรากฏในเหตุการณ์วันที่ 10 เมษายน ฝ่ายทหารต้องวิเคราะห์เอง แต่อย่าไปเหมารวมกับผู้ชุมนุม เพราะถ้าใช้กำลังปราบ ถามว่าจะปราบทั้งประเทศหมดหรือ หากมีเสียงปืนดังขึ้นแม้ทหารอาจจะชนะตอนนี้ แต่ปัญหาไม่จบ อาจจะเจอการก่อความรุนแรงทุกจังหวัด แล้วผู้คนจะอยู่กันอย่างไร เกรงว่า จะกลายเป็น 3 จังหวัดภาคใต้ทั่วประเทศ

ย้ำให้เจรจา-ไม่ได้ผลก็ยุบสภา

"ขั้นแรกรัฐบาลต้องถอนทหารออกจากพื้นที่ และยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ แล้วเปิดเจรจาโดยรัฐบาลต้องลดเงื่อนไขทุกเรื่องให้ยอมกันให้ได้ ถ้าไม่ได้ผลจริงๆ ก็ต้องยุบสภา แม้เลือกตั้งใหม่ รัฐบาลใหม่เข้ามาอาจอยู่ได้ไม่นานแล้วต้องยุบสภาอีก ภาวะแบบนี้จะเกิดขึ้นในช่วงเปลี่ยนผ่านการเมืองหลายครั้ง แต่สุดท้ายจะลงตัวเอง แต่อย่าไปใช้กำลังสลายการชุมนุม เพราะจะกลายเป็นสงครามประชาชนที่ไม่มีฝ่ายใดเอาอยู่ ที่สำคัญรัฐบาลต้องทบทวนเรื่องเสรีนิยมประชาธิปไตย ปัญหาเรื่อง 2 มาตรฐานในเรื่องใหญ่ๆ และหยุดใช้สื่อของรัฐปลุกระดม" นายดิเรกกล่าว

ส.ว.ซัดใช้1ล./หัว ลวงร่วมชุมนุม

ขณะที่ ส.ว.ในกลุ่ม 40 ส.ว. อาทิ พล.ร.อ.สุรศักดิ์ ศรีอรุณ นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ ส.ว.สรรหา อภิปรายโจมตีแกนนำ นปช.ระหว่างการประชุมวุฒิสภา ในช่วงที่นายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา ประธานการประชุมเปิดให้สมาชิกหารือ โดยเนื้อหาการอภิปรายของ ส.ว.กลุ่มนี้ โจมตีว่าการชุมนุมขณะนี้ ไม่ยึดแนวทางสันติ และไม่ถูกต้องที่ใช้ประชาชนเป็นเบี้ยในการแย่งอำนาจรัฐ และเป็นห่วงว่า จะเกิดสงครามกลางเมืองคนไทยฆ่ากันเอง ขณะที่ น.ส.สุมล สุติวิริยะวัฒน์ ส.ว.เพชรบุรี กล่าวว่า การเจรจาสองฝ่ายเป็นเพียงพิธีกรรม เพราะกลุ่มคนเสื้อแดงตั้งเงื่อนไขที่ทำไม่ได้ เหมือนต้องการให้กฎหมู่เหนือกฎหมาย จนวันที่ 10 เมษายน เกิดเหตุสูญเสียชีวิต รัฐบาลต้องแยกผู้บงการและแกนนำออกจากประชาชนและดำเนินคดีให้ได้

ทพ.อนุศักดิ์ คงมาลัย ส.ว.สรรหา กล่าวว่า ได้รับข้อมูลจากประชาชนว่า มีขบวนการชักจูงคนไปร่วมชุมนุม โดยมีนายหน้ามาหาและให้ทำบัตรสมาชิกและให้นำคนไปชุมนุม ซึ่งถ้ามาชุมนุมแล้วเกิดบาดเจ็บหรือตาย ก็จะได้ 1 ล้านบาท แต่ถ้าไม่เป็นไรแล้วต่อไปเจ้านายของเขาสามารถกลับมาได้ ก็จะได้ 1 ล้านบาท ถือเป็นกลลวงให้ผู้ชุมนุมจำนวนหนึ่งเข้ามา และผู้ให้ข้อมูลยินดีเปิดเผยตัว

ส.ว.เลือกตั้งอยากเห็นภาวะผู้นำ

นางนฤมล ศิริวัฒน์ ส.ว.อุตรดิตถ์ ลุกขึ้นหารือโดยระบุว่า ขณะนี้ประชาชนส่วนใหญ่ต้องการเห็นภาวะผู้นำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่ชัดเจนมากกว่าช่วง 7 วันที่ผ่านมา และขอตั้งข้อสังเกต 3 เรื่อง คือ 1.ผู้เคราะห์ร้าย มีทั้งผู้ชุมนุม ทหาร สื่อ รวมถึงประเทศไทย 2.ที่รัฐบาลพูดถึงผู้ก่อการร้าย ตอนแรกบอกแค่คนชุดดำ ตอนหลังพูดในทำนองคนที่ใส่เสื้อสีแดงซึ่งไม่ควร และขอให้ระวังในการสร้างความเกลียดชังในหมู่ประชาชน 3.ผู้สุดวิสัย พยายามโบ้ยว่า ที่เกิดความรุนแรงเพราะผู้ไม่หวังดีทำ แต่คิดว่าประเด็นหลักคือ เมื่อมีผู้เสียชีวิตถึง 25 ศพ ใครจะรับผิดชอบ ทำไมนายกฯไม่ออกมาชี้แจงให้ประชาชนเข้าใจ เพราะประชาชนฟังปากต่อปาก และแต่ละแหล่งก็ไม่ได้ให้ข้อมูลเหมือนกันจึงสับสน และไม่ได้ดูคลิป ดูเว็บไซต์ของรัฐบาล รายการที่นายกฯพูดจ้อทุกวันอาทิตย์ ทำไมวันที่ 18 เมษายน จึงงด จึงขอเรียกร้องให้นายกฯออกมาชี้แจง อย่าให้ผู้สุดวิสัยออกมาพูด

จากนั้นนายประสพสุขชี้แจงว่า การเรียกประชุมวุฒิสภาด่วนพิเศษเมื่อวันที่ 9 เมษายน เพื่อพิจารณาญัตติ ได้หารือกับผู้เสนอญัตติเมื่อวันที่ 8 เมษายน แล้วว่า เรียกประชุมเร่งด่วน สมาชิกไม่น่าจะมาได้ครบองค์ประชุม ฝ่ายเสนอญัตติก็บอกว่าครบเพราะตรวจสอบแล้ว ผมก็บอกว่าจะรอถึง 11.00 น.ถ้าไม่ครบก็ไม่เปิดประชุม ซึ่งพอถึงวันที่ 9 เมษายน ตามเวลาที่กำหนดเมื่อไม่ครบองค์ประชุมจึงต้องเลื่อนการประชุมออกไป ส่วนเหตุวันที่ 10 เมษายน เป็นความสูญเสียจึงขอให้วุฒิสภายืนไว้อาลัย 1 นาทีให้ผู้เสียชีวิตŽ นายประสพสุขกล่าว

กลุ่ม24จี้นายกฯใช้สภาแก้ปัญหา

นายวิชาญ ศิริชัยเอกวัฒน์ ส.ว.สรรหา พร้อมด้วยตัวแทน 24 ส.ว.อาทิ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ นางกอบกุล พันธ์เจริญวรกุล ส.ว.สรรหา นายจิตติพจน์ วิริยะโรจน์ ส.ว.ศรีสะเกษ นายวิทยา อินาลา ส.ว.นครพนม ร่วมกันแถลงที่รัฐสภา กรณีที่ร่วมกันลงชื่อยื่นจดหมายเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรี ขอให้นำปัญหาการชุมนุมของ นปช.เข้าสู่การแก้ไขโดยกระบวนการรัฐสภา

นายวิชาญกล่าวว่า พวกตนทั้ง 24 คน กังวลกับวิธีการและมาตรการต่างๆ ที่รัฐบาลดำเนินการที่มีทั้งการยั่วยุโดยอาศัยสื่อของรัฐ การข่มขู่ โดยโฆษกต่างๆ และวิธีการอื่นที่รัฐบาลพึงคิดอันนำไปสู่การเผชิญหน้า ท้าทาย และสุดท้ายอาจนำไปสู่สูญเสียชีวิต ดังนั้น ขอเรียกร้องให้นายกฯตอบรับการเข้าชี้แจงในที่ประชุมวุฒิสภาตามที่ ส.ว.เคยยื่นญัตติอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 161ทันที หรือหากรัฐบาลเห็นว่าจะเป็นประโยชน์มากขึ้น ก็ขอให้รัฐบาลเปิดประชุมร่วมกันของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญมาตรา 179 เพื่อฟังเสียงทั้ง ส.ส.-ส.ว.ไปพร้อมกันโดยทันที อย่าคิดว่าประเทศไทยเป็นความรับผิดชอบของรัฐบาลฝ่ายเดียว เพราะยังมีรัฐสภาที่จะช่วยแก้ไขปัญหาให้กับประเทศด้วย

ส.ว.43-49เรียกร้องยุติปิดกั้นสื่อ

นอกจากนี้ยังมีความเคลื่อนไหวของกลุ่ม ส.ว.2543-2549 รวม 29 คน เช่น พนัส ทัศนียานนท์ อดีต ส.ว.ตาก นายนภินทร ศรีสรรพางค์ (ราชบุรี) นายวิบูลย์ แช่มชื่น (กาฬสินธุ์) นายมนตรี สินทวิชัย (สมุทรสงคราม) นายไสว พราหมณี (นครราชสีมา) นายบุญทัน ดอกไธสง (นครราชสีมา) นายประเกียรติ นาสิมมา (ร้อยเอ็ด) นายสุรชัย ดนัยตั้งตระกูล (ร้อยเอ็ด) นายบุญญา หลีเหลด (สงขลา) นายสมพงษ์ สระกวี (สงขลา) นายสมเกียรติ ศรลัมพ์ (นครสวรรค์) นางประทีป อึ้งทรงธรรม ฮาตะ (กรุงเทพมหานคร) พล.ต.อ.วิรุฬห์ ฟื้นแสน (เชียงราย) นายอดุลย์ วันไชยธนวงศ์ (แม่อ่องสอน) นายมนู วนิชชานนท์ (สุราษฎร์ธานี) นายศรีเมือง เจริญศิริ (มหาสารคาม) ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐบาลยุติการปิดกั้นสื่อและการใช้สื่อของรัฐเสนอข้อมูลข่าวสารเพียงด้านเดียวกรณีการสลายการชุมนุม เมื่อวันที่ 10 เมษายน โดยกลุ่มนี้มีข้อเรียกร้องดังนี้ 1.ประกาศยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉินและการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับความมั่นคงของรัฐโดยทันที เพราะเป็นการกระทำที่มิชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมาย 2.มีคำสั่งยกเลิกการปิดกั้นและตรวจสอบการเสนอข้อมูลข่าวสารโดยเสรีของสื่อทุกชนิดโดยทันที เพื่อคืนสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญอันสมบูรณ์ในการบริโภคสื่อและการแสดงความคิดเห็นโดยเสรีให้แก่ประชาชน 3.ขอเรียกร้องให้สถาบันและองค์การสื่อสารมวลชนทุกชนิดและผู้ประกอบวิชาชีพสื่อทุกคนรักษาจริยธรรมและจรรยาบรรณวิชาชีพของตน ด้วยการนำเสนอข้อมูลและข่าวสารตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น โดยเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 เสนอข้อมูลและพยานหลักฐานของตนโดยเสมอหน้ากัน

วิปรบ.ห่วงปะทะ-เล็งคุย พธม.

นายธนิตพล ไชยนันทน์ ส.ส.ตาก พรรคประชาธิปัตย์ เลขานุการคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) เปิดเผยผลการประชุมวิปรัฐบาลว่า วิปรัฐบาลหารือสถานการณ์บ้านเมือง แต่ยังไม่มีข้อสรุปถึงทางออก อย่างไรก็ดี ได้วิเคราะห์สถานการณ์เห็นว่าการที่แกนนำ นปช.นำผู้ชุมนุมมาอยู่ที่ราชประสงค์ ก็ทำให้มีแรงกดดันจากหลายฝ่าย การยกระดับการชุมนุมของ นปช.จึงถูกยกระดับด้วยตัวสถานการณ์เอง อย่างไรก็ดี การที่มีบางกลุ่มซ่องสุมกำลัง และยังมีกลุ่มเสื้อสีต่างๆ ออกมาคัดค้าน นปช.นั้น จุดนี้จึงเป็นจุดที่รัฐบาลห่วงที่สุด เพราะเกรงว่าจะเกิดการปะทะกันระหว่างประชาชนกลุ่มต่างๆ ซึ่งฝ่ายรัฐบาลก็พยายามประสานทุกฝ่ายที่ประสานได้ หากเจรจาได้ก็เป็นการดี โดยมองว่า กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยยังคุยกันได้เพราะยังไม่ได้เริ่มออกมาชุมนุม ส่วนกลุ่มเสื้อหลากสีก็เช่นกันที่มีความเข้าใจในสถานการณ์ซึ่งคุยไม่ยาก แต่กับกลุ่มเสื้อแดงคงยาก เพราะการชุมนุมยกระดับขึ้นและก็มัดตัวเองมากขึ้น รัฐบาลจะไม่ดำเนินการตามกฎหมายก็ไม่ได้ แต่การดำเนินการตามกฎหมายใดๆก็ยากลำบากเพราะนึกถึงคนที่มาชุมนุมโดยบริสุทธิ์ใจ

นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกลุ่มพันธมิตรขีดเส้นให้รัฐบาลแก้ปัญหาภายใน 7 วัน ไม่เช่นนั้นจะออกมาเคลื่อนไหวเองว่า พรรควิตก แต่รัฐบาลได้ใช้ความอดทนในการหลีกเลี่ยงในการปะทะกันมาโดยตลอด โดยแนวทางการแก้ปัญหารัฐบาลต้องมีวิธีการดำเนินการ เช่น การปรับโครงสร้าง การยกระดับคดีไปสู่ดีเอสไอ ดังนั้น เรื่องระยะเวลาจึงไม่สำคัญเท่ากับภารกิจต่างๆ ที่รัฐบาลได้วางโครงสร้างเอาไว้

พธม.โคราชไม่เห็นด้วยคำขาด7วัน

นางสารภี บุญประตูชัย ผู้ประสานงานภาคีมวลชนคนโคราชรักษ์ประชาธิปไตย แนวร่วมกลุ่มพันธมิตร จ.นครราชสีมา กล่าวว่า โดยส่วนตัวมองว่ากลุ่มพันธมิตรยังไม่ควรที่จะออกมาเคลื่อนไหวกดดันรัฐบาลให้แก้ปัญหาคนเสื้อแดงภายใน 7 วันในช่วงนี้ ควรรอดูท่าทีของรัฐบาลไปก่อนอีกสักระยะ เนื่องจากในขณะนี้เริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงในส่วนของการจัดการสถานการณ์บ้างแล้ว

นายศิริชัย ไม้งาม แกนนำกลุ่มพันธมิตร พร้อมด้วย ส.ส.ชลบุรี พรรคประชาธิปัตย์ อาทิ นายประมวล เอมเปีย นายสรวุฒิ เนื่องจำนงค์ รวมทั้งกลุ่มพันธมิตรและแนวร่วม จ.ชลบุรี ประมาณ 1,500 คน รวมตัวกันบริเวณหน้าพระบรมรูปรัชกาลที่ 5 หน้าศาลากลางจังหวัดชลบุรี เมื่อเวลา 10.00 น. เพื่อต่อต้านการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง พร้อมทั้งยื่นหนังสือคัดค้าน โดยมีนายสุนทร รัตนวราหะ รองผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี ลงมารับหนังสือ เพื่อส่งต่อนายกรัฐมนตรี หลังจากนั้นได้เดินทางทางไปให้กำลังใจทหารที่ค่ายนวมินทราชินี ต.บ้านสวน อ.เมือง จ.ชลบุรี

ขณะที่นายชุมพล ลีลานนท์ ผู้ประสานงานกลุ่มการเมืองใหม่ 17 จังหวัดภาคเหนือ เป็นแกนนำกลุ่มประชาชนพะเยารักประชาธิปไตย ประมาณ 100 คน รวมตัวบริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดพะเยาในช่วงบ่าย เพื่อแสดงพลังเรียกร้องให้ทุกฝ่ายยุติความรุนแรง ต่อต้านการยุบสภา พร้อมให้กำลังใจนายกรัฐมนตรี เจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจ ในการปฏิบัติหน้าที่ต่อไป และการบังคับใช้กฎหมายที่มีประสิทธิภาพกับทุกฝ่าย

กสม.เดินสายพบอดีตนายกฯ

นางอมรา พงศาพิชญ์ ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เปิดเผยว่า ในเวลา 13.30 น. วันที่ 20 เมษายน กสม.จะเข้าพบนายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตนายกรัฐมนตรี ที่พรรคชาติไทยพัฒนา เพื่อหารือหาทางออกให้กับบ้านเมืองในช่วงสถานการณ์บ้านเมืองวิกฤต เนื่องจากที่ผ่านมาเคยหารือกับอดีตนายกฯหลายคน อาทิ นายอานันท์ ปันยารชุน พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ หวังว่า คงจะได้รับคำตอบจากนายบรรหาร มากกว่าการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้วค่อยยุบสภา นอกจากนั้น ทาง กสม.จะไปพบกับนายชวน หลีกภัย และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี (ในวันที่ 21 เมษายน) เพื่อขอรับฟังความคิดเห็น ก่อนจะนำข้อมูลทั้งหมดนำมาสรุป เพื่อเสนอต่อนายกฯ และเผยแพร่ต่อสาธารณชนให้รับทราบต่อไป


ที่มา.มติชนออนไลน์
*********************************************

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น