--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอาทิตย์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2553

ศอฉ.รอกำลังพลฟื้น-อาวุธพร้อมหาจังหวะขอพท.คืน"สุเทพ"เปรยรู้ตัวกลุ่มป่วน 10เม.ย. เล็งจับแกนนำอีกรอบ

"สรรเสริญ"ปัดนายกฯปลด"สุเทพ"ตั้ง"อนุพงษ์"คุมแทน เตรียมรอเวลายึดราชประสงค์คืนฟื้นฟูกำลังพล -อาวุธยุทโธปกรณ์ ทำความเข้าใจกับผู้ชุมนุม "สุเทพ"เปรยเล็งจับแกนนำอีกรอบคุยรู้กลุ่มป่วนคืน10เม.ย. ยอมรับเกินจะรับมือ พล.อ.อนุพงษ์มามีส่วนรับผิดชอบร่วมกับฝ่ายการเมืองเต็มตัว

"สรรเสริญ"ปัดนายกฯปลด"สุเทพ"

หลังนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แถลงผ่านสถานีโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย เมื่อคืนวันที่ 16 เมษายนว่า มีคำสั่งเปลี่ยนให้ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) มารับผิดชอบศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุนเฉิน (ศอฉ.) แทนนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง นั้น ปรากฏว่า เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 17 เมษายน ที่กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ร. 11 รอ.) พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษก ศอฉ.ออกมาแถลงหลังประชุม ศอฉ.ที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการ ศอฉ.เป็นประธานว่าเป็นข้อมูลที่คลาดเคลื่อน

โดย พ.อ.สรรเสริญแถลงว่า ขณะนี้มีการนำเสนอข้อมูลที่คลาดเคลื่อนทางสื่อมวลชนเกี่ยวกับคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่พิเศษ 93/2553 ลงวันที่ 16 เมษายน จึงขอชี้แจงว่า นายสุเทพคือผู้รับผิดชอบภาพรวมของ ศอฉ. ในฐานะผู้อำนวยการ (ผอ.) ศอฉ. และผู้กำกับการปฏิบัติ เพียงแต่เปลี่ยนหัวหน้าผู้รับผิดชอบซึ่งทำหน้าที่สั่งการเรื่องการใช้กำลัง จากนายสุเทพเป็น พล.อ.อนุพงษ์เพื่อกระชับสายบังคับบัญชาให้สั้นลง ไม่ได้เป็นคำสั่งมัดมือ ผบ.ทบ.เพราะใส่เกียร์ว่างแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม หากเกิดปัญหาขึ้น กำลังพลทุกนายมีส่วนต้องรับผิดชอบ เพียงแต่สถานะของการรับผิดชอบแตกต่างกัน ไม่ใช่ว่าใครต้องเป็นหลัก หรือเป็นรอง

ยัน"พงษ์ศักดิ์"ต้องรายงานตัว

พ.อ.สรรเสริญยังกล่าวถึงความคืบหน้าการเข้ารายงานตัวต่อ ศอฉ.ของบุคคลที่อยู่ในข่ายสนับสนุนกลุ่มคนเสื้อแดงรวม 51 คน ว่า บุคคลที่เดินทางมารายงานตัวต่อ ศอฉ.จะถูกตำรวจและฝ่ายกฎหมายซักถามคำถามต่างๆ โดยเบื้องต้นตำรวจยืนยันว่าได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินการตามกฎหมายในอนาคต เมื่อถามว่า ในส่วนของนายพงษ์ศักดิ์ รักตพงษ์ไพศาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่อยู่ระหว่างเดินทางไปประเทศอังกฤษ ศอฉ.จะให้เวลารายงานตัวถึงเมื่อไหร่ พ.อ.สรรเสริญกล่าวว่า คงติดต่อกัน เพราะไม่ใช่การพำนักที่ต่างประเทศ แต่เป็นไปทำธุระบางอย่าง หากกลับมาเมื่อไรต้องมาให้ข้อมูล แต่ทั้งนี้คงจะต่อรองเงื่อนไขเรื่องเวลากัน และต้องมีเหตุผลชี้แจงได้ว่ามีความจำเป็นอะไรถึงติดภารกิจในต่างประเทศ

ผู้สื่อข่าวถามว่า พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก อดีตรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี 1 ใน 51 บุคคลที่ถูกออกหมายเรียกระบุว่า ศอฉ.เตรียมใช้กองบัญชาการทหารช่วยรบใน จ.ชลบุรี เป็นสถานที่ควบคุมตัวบุคคลที่ถูกออกหมายเรียก ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร พ.อ.สรรเสริญกล่าวว่า คงไม่ใช่ การออกหมายเรียกบุคคลต่างๆ เป็นเพราะมีข้อมูลว่าอาจมีส่วนเกี่ยวข้อง หรือสนับสนุนการกระทำที่ผิดกฎหมาย จึงต้องเรียกมาให้ข้อมูล ถ้าไม่ได้ทำอะไรผิดมาให้ข้อมูลแล้วกลับบ้านไป แต่ถ้าออกหมายจับ ต้องให้เขาอยู่ในสถานที่ที่กำหนดไว้ แต่ไม่ใช่ทัณฑถาน

เมื่อถามว่า ศอฉ.พร้อมการันตีความปลอดภัยให้แก่บุคคลทั้ง 51 ที่จะมาให้ข้อมูลรือไม่ โฆษก ศอฉ.กล่าวว่า มีความปลอดภัยอยู่แล้ว กลับบ้านไปก็ใช้ชีวิตได้ตามปกติ เมื่อถามว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่จะมีเฉพาะพวกกุ้งฝอยมาให้ข้อมูล แต่ไม่มีปลากะพง พ.อ.สรรเสริญกล่าวว่า "ธรรมดา ปลาใหญ่มายากหน่อย เพราะน้ำมันตื้น"

วอนเสื้อแดงให้ส่งอาวุธคืน

พ.อ.สรรเสริญกล่าวอีกว่า ที่ประชุมได้กำชับการสั่งการและทำความเข้าใจกับกำลังพล เพราะขณะนี้มีข่าวลือออกมาในทำนองว่าเจ้าหน้าที่ทหารรู้สึกเจ็บแค้นต่อผู้ชุมนุม จึงอยากชี้แจงว่าข้าราชการทุกคนทั้งตำรวจ ทหาร พลเรือนมีหัวใจ และรู้สึกเสียใจต่อกรณีที่ผู้ร่วมอาชีพต้องได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต แต่ยืนยันว่าไม่ได้เจ็บแค้น เราจะเจ็บแค้นกับประชาชนไม่ได้

"ในที่ประชุม ศอฉ.ทุกคนยังรู้สึกว่ากลุ่มคนเสื้อแดงเป็นคนไทย ไม่ใช่ศัตรูของตำรวจ ทหาร และข้าราชการพลเรือนทุกนาย เรามองว่าเขาเป็นเพื่อนร่วมชาติ เป็นคนไทย และอยากให้เขามองเราในลักษณะเดียวกัน แม้เราจะต้องปฏิบัติหน้าที่ในการบังคับใช้กฎหมาย เป็นเรื่องของสถานการณ์หนักเบา แต่โดยภาพรวมเราต้องรู้สึกกันอย่างนี้ เพราะเราคือคนไทย" พ.อ.สรรเสริญกล่าว

พ.อ.สรรเสริญกล่าวว่า จนขณะนี้อาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพที่ถูกกลุ่มคนเสื้อแดงยึดไป ยังไม่ได้รับคืนเลย เราเป็นห่วงว่าผู้ไม่หวังดี ผู้หวังสร้างสถานการณ์ความรุนแรงจะหยิบฉวยอาวุธเหล่านี้ไปใช้สร้างสถานการณ์แล้วโยนความผิดให้เจ้าหน้าที่ส่วนหนึ่ง และให้กลุ่มคนเสื้อแดงอีกส่วนหนึ่ง จึงอยากวิงวอนให้นำอาวุธทั้งหมดส่งคืนเจ้าหน้าที่โดยด่วน

เตรียมรอเวลายึดราชประสงค์คืน

ส่วนความคืบหน้าในการขอคืนพื้นที่ราชประสงค์จากกลุ่มคนเสื้อแดงนั้น พ.อ.สรรเสริญกล่าวว่า การขอคืนพื้นที่ราชประสงค์เป็นส่วนหนึ่งของการบังคับใช้กฎหมาย หลายคนถามว่าการขอคืนพื้นที่ คือจะเข้าไปการสลายการชุมนุมใช่หรือไม่ เอาเป็นว่า ศอฉ.จำเป็นต้องบังคับใช้กฎหมาย เพียงแต่เมื่อไรจะพร้อมเท่านั้น ขณะนี้เรากำลังเตรียมทุกอย่างให้พร้อม ไม่ว่าจะเป็นการฟื้นฟูกำลังพล ฟื้นฟูอาวุธยุทโธปกรณ์ ไปพร้อมๆ กับการทำความเข้าใจกับผู้ชุมนุม

ผู้สื่อข่าวถามว่า วางแนวทางอย่างไรไม่ให้เกิดเหตุชุลมุนขึ้นอีก พ.อ.สรรเสริญกล่าวว่า ความชุลมุนที่เกิดขึ้นในครั้งก่อนเป็นเพราะมีกลุ่มก่อการร้ายแฝงเข้ามา หากไม่ต้องการให้เกิดความชุลมุน ประชาชนทั่วไปต้องถอนออกมาจากการชุมนุม ถ้าออกเร็วก็จัดการกลุ่มก่อการร้ายได้เร็ว บ้านเมืองก็จบได้เร็ว แต่ถ้าออกช้ายิ่งมีความเสียหาย ดังนั้น ตัวแปรจึงอยู่ที่ประชาชนทั่วไปที่เข้าไปร่วมชุมนุม

เมื่อถามว่า พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร อดีต ผบ.ทบ.ออกมาระบุว่า การสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 10 เมษายนไม่เป็นไปตามหลักสากล เพราะเริ่มปฏิบัติการในเวลา 18.00 น. พ.อ.สรรเสริญกล่าวว่า ถือเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนของ พล.อ.ชัยสิทธิ์ เพราะเจ้าหน้าที่เริ่มปฏิบัติการตั้งแต่ช่วงกลางวัน และแจ้งกันตลอดว่ายามค่ำจะเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติการ จึงยุติปฏิบัติการทั้งหมดในเวลา 18.15 น. แต่กลุ่มผู้ชุมนมเป็นฝ่ายผลักดันเจ้าหน้าที่เข้ามาเอง

"สุเทพ"เปรยเล็งจับแกนนำอีกรอบ

เมื่อเวลา 19.45 น. สโมสรกองทัพบก นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงให้ พล.อ.อนุพงษ์เข้ามาเพราะต้องการให้การทำงานกระชับขึ้น และเพิ่มประสิทธิภาพมากกว่าเดิม เมื่อมีปัญหาการก่อการร้ายต้องขอให้ ผบ.ทบ.มาช่วยแก้ไขสถานการณ์จะเข้ามาทำงานเต็มตัว ในการปฏิบัติงานและการจับกุมตัวแกนนำ เมื่อถามว่า การดึง พล.อ.อนุพงษ์เข้ามาเพราะห่วงว่าทหารปฏิวัติ นายสุเทพกล่าวว่า อย่ามองอะไรแง่ร้าย มองแง่ดี เอามืออาชีพเข้ามาดูแลสถานการณ์ เมื่อถามว่า ก่อนจะถึงวันเปิดทำงานในวันที่ 19 เมษายน รัฐบาลจะทำอย่างไรกับการชุมนุม นายสุเทพกล่าวว่า "พยายามดูจังหวะเวลาที่เหมาะสม รัฐบาลเห็นใจประชาชนจริงๆ จะทำทุกอย่างเพื่อคืนความสงบ แต่เป็นคนไทยด้วยกัน ต้องดูความเหมาะสม"

เมื่อถามว่า มีแนวโน้มว่าจะจับตัวแกนนำและสลายการชุมนุม นายสุเทพกล่าวว่า "การจับแกนนำต้องทำเร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ เช่นเดียวกับการบุกค้นสถานที่ต่างก็ต้องทำ ผมยืนยันว่ารัฐบาลกับกองทัพไม่มีอะไรขัดแย้ง ผมนอนที่ราบ 11 ทุกคืน"

คุยรู้กลุ่มป่วนคืน10เม.ย.

รายงานข่าวจาก ศอฉ.แจ้งว่า ก่อนที่นายอภิสิทธิ์จะตัดสินใจลงนามคำสั่งนายกฯ เมื่อวันที่ 16 เมษายน มอบให้ พล.อ.อนุพงษ์เข้ามาเป็นหัวหน้าผู้รับผิดชอบแทนนายสุเทพเกี่ยวกับการใช้กำลังนั้น นายอภิสิทธิ์ได้หารือกับแกนนำรัฐบาลเพื่อสรุปบทเรียนจากการปฏิบัติที่ไม่บรรลุผลสำเร็จที่ผ่านมาทั้งการเข้าขอคืนพื้นที่เมื่อวันที่ 10 เมษายน ที่ทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก เนื่องจากไม่คาดการณ์มาก่อนว่าจะมีกองกำลังติดอาวุธใช้อาวุธสงครามร้ายแรงตอบโต้กำลังเจ้าหน้าที่จนเกิดการสูญเสีย และเจ้าหน้าที่เองก็เสียเปรียบเนื่องจากรับสั่งภารกิจแค่ไปขอคืนพื้นที่ จึงไม่มีการเตรียมการรับมือการโจมตีของกองกำลังติดอาวุธ ซึ่งฝ่ายความมั่นคงหารือเห็นตรงกันที่กำหนดนิยามการก่อการร้าย เพราะเป็นการกระทำที่อุกอาจชัดเจน เข้าฐานความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา โดยมีการใช้อาวุธสงครามและมีการเคลื่อนไหวตลอดจนชี้เป้าอย่างเป็นระบบ ซึ่งในทางการข่าวพอทราบแล้วว่าเป็นกลุ่มใด เนื่องจากผู้ที่เชี่ยวชาญการรบเต็มรูปแบบเช่นนี้มีเพียงไม่กี่กลุ่ม

เผย"สุเทพ"ยอมรับเกินจะรับมือ

รายงานข่าวแจ้งอีกว่า จากบทเรียนที่ได้เมื่อวันที่ 10 เมษายน ตลอดจนการคว้าน้ำเหลวในการเข้าจับกุมตัวแกนนำเมื่อวันที่ 16 เมษายน เป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้นายอภิสิทธิ์เรียกประชุมหน่วยงานประจำเมื่อช่วงเวลา 18.00 น. วันที่ 16 เมษายน ประกอบด้วย สมช. สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักข่าวกรองแห่งชาติ เพื่อหารือแนวทางการกระชับอำนาจการปฏิบัติงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น หลังจากที่นายสุเทพได้ยอมรับกับนายอภิสิทธิ์และแกนนำรัฐบาลว่า สถานการณ์ขณะนี้ถือว่าเกินกำลังตัวเอง เพราะมีกลุ่มติดอาวุธเป็นคู่ต่อสู้ปะปนในหมู่ประชาชน อีกทั้งความไม่สำเร็จของปฏิบัติการที่ผ่านมา โดยเฉพาะปฏิบัติการเมื่อวันที่ 10 เมษายน เป็นเครื่องบ่งบอกว่าตัวเองไม่มีอำนาจเบ็ดเสร็จและเป็นสายบังคับบัญชาสายตรงชัดเจนต่อกำลังเจ้าหน้าที่ เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์วิกฤตทำให้การสั่งการไม่เป็นเอกภาพและเกิดการสูญเสีย

ทั้งนี้ หน่วยงานกฎหมายรัฐบาลได้เสนอแนวทางกระชับอำนาจสั่งการใช้กำลัง โดยขอให้นายอภิสิทธิ์ตั้ง พล.อ.อนุพงษ์ ให้เป็นหัวหน้าผู้รับผิดชอบฯตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ซึ่งยังไม่ถือว่าเป็นการปลดนายสุเทพ เพราะนายสุเทพยังคงรั้งตำแหน่ง ผอ.ศอฉ.เช่นเดิม แต่มีการกำหนดพิเศษให้ พล.อ.อนุพงษ์เป็นหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการใช้กำลังโดยเฉพาะในการป้องกัน แก้ไข ปราบปราม ระงับ ยับยั้ง การกระทำความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้ายโดยเฉพาะ


ที่มา.มติชนออนไลน์
***********************************************

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น