
“โรดแมป” ความหวังในการปรองดอง เพื่อที่จะทำให้ประเทศชาติพ้นจากวิกฤติการเมืองเสียทีแต่โรดแมปก็เป็นเพียงสิ่งที่เขียน หรือสิ่งที่กำหนดขึ้นมา เพื่อหาจุดเริ่มต้นในการที่จะเดินไปสู่จุดหมายปลายทาง แต่จะไปได้จริงหรือไม่ เป็นเรื่องของคน เรื่องของจิตใจ เรื่องของผลประโยชน์และเรื่องของตัณหาทางการเมืองของคนบางคน ที่อยู่ในเกมสร้างความวิกฤติให้เกิดขึ้นในขณะนี้นี่เองฉะนั้นแม้จะมีโรดแมป ที่ดูสวย ดูเลิศหรู แต่หากไร้ซึ่งความจริงใจที่จะเดินไปข้างหน้าเพื่อร่วมมือกันแก้วิกฤติของชาติแล้ว โรดแมป ก็คงไม่ได้ช่วยอะไรๆ ให้ดีขึ้นมาได้เลยภาพที่เกิดขึ้นในวันนี้ก็เลย โทษกันนัวไปหมด แถมหลายๆฝ่าย โดยเฉพาะรัฐบาลก็ยังยืนอยู่ในจุดที่ทำให้ยากต่อการเจรจา เพื่อที่จะเดินไปข้างหน้าได้อย่างจริงๆ จังๆเหมือนคดีก่อเหตุด้วยอาวุธสงครามเกือบ 70 ครั้ง ทั้งในกทม.และ
ต่างจังหวัด รัฐบาลและศอฉ.ไม่สามารถจับคนร้ายมาลงโทษได้เลย ถ้าไม่ใช่คนมีสีมีเส้น จะทำได้อย่างไร???วันนี้ภาพที่เกิดจึงโทษกันมั่วซั่วไปหมด เป็นเพราะคนนั้น คนโน้น หรือฝ่ายนั้นฝ่ายนี้ สุดท้ายก็ลงอีหรอบเดิมๆ ที่เป็นมาตั้งแต่รัฐประหาร 19 กันยายน 2549คือถ้ายังไม่รู้จะโทษใครก็โทษ “แม้ว” เอาไว้ก่อนเพราะเวลานี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แม้จะเป็นอดีตนายกรัฐมนตรี แต่ก็ลี้ภัยการเมืองไปอยู่ต่างประเทศ ย่อมไม่สามารถที่จะมาเถียงอะไรได้ถนัดนัก จึงง่าย
ต่อการที่จะโยนบาปไปให้กรณีโรดแมปไม่มีความคืบหน้าในครั้งนี้ จึงเป็นอีกครั้งที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันโยนกลองไปให้อดีตนายกฯ ทักษิณ ว่าเป็นต้นตอขัดขวางแผนการปรองดองโดยที่ลูกกะโล่คอยประสานเสียงรับก็หนีไม่พ้นบรรดาแกนนำ ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ที่สวมวิญญาณลูกขุนพลอยพยักกันโดยพร้อมเพรียงอดรนทนไม่ได้ นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย เลยซัดตรงๆ ว่า
ความจริงไม่มีประเด็นอะไรที่จะไปเกี่ยวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ เพราะมีหลายเรื่องที่การเจรจานี้ไม่มีทางครอบคลุมไปถึงเรื่องของ พ.ต.ท.ทักษิณแต่สิ่งที่ทำให้ค้างคา คือ บทบาทที่ก้าวร้าวของ ศอฉ. ที่ทำให้แกนนำเสื้อแดงไม่สบายใจ และมวลชนคิดว่าถูกข่มขู่มากเกินไป จึงไม่อยากยุติการชุมนุมในลักษณะของการถูกรุกไล่มากเกินไปและการจะยุติชุมนุมแบบไหนจะให้เดินไปโรงพักพร้อมตำรวจหรือจะไปมอบตัวภายหลัง ซึ่งไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรแต่ ศอฉ.ไม่ค่อยมีท่าทีที่จะ
อำนวยความสะดวก หรือให้เกียรติกันนายจาตุรนต์ มองว่าการเจรจาที่ผ่านมาก็ไม่มีปัญหาอะไร เพียงแต่ตอนหลัง แกนนำ นปช. อยากจะเสนอความเห็นของตัวเองต่อสาธารณะที่จะคู่ขนาน หรือเทียบเคียงกับข้อเสนอของนายกฯ ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี เพราะบางเรื่องเป็นการแสดงเจตนาต่อสังคมให้สังคม และมวลชนสบายใจ เช่น เรื่องการตั้งคณะกรรมการอิสระขึ้นมาตรวจสอบข้อเท็จจริงเพราะประชาชนต้องการหาคนผิดที่สั่งสลายการชุมนุมมาลงโทษถ้าเรื่องเหล่านี้แกนนำ
นปช.ทำให้ชัดเจน ก็คิดว่าน่าจะสลายการชุมนุมได้ภายในวันสองวันนี้เพื่อป้องกันโรคแทรกซ้อน ทั้งๆ ที่การป้องกันการแทรกซ้อน ความจริงแล้วรัฐบาลควรจะให้ความสำคัญมากกว่านี้ เพราะถ้ายิ่งมีเรื่องแทรกซ้อนแล้วบานปลายจะไม่เป็นผลดีกับรัฐบาลเอง สิ่งที่รัฐบาลควรทำแต่ไม่ได้ทำคือสั่งให้ ศอฉ.ลดบทบาท แต่ศอฉ.ก็เลยยังมีบทบาทก้าวร้าวอยู่และเป็นอุปสรรคต่อการยุติการชุมนุมดังนั้นคำถามที่เกิดขึ้นในสังคมขณะนี้ก็คือ นายอภิสิทธิ์มีความจริงใจในการจะปรองดอง
อย่างแท้จริงมากน้อยแค่ไหน?!? ซึ่งนายจาตุรนต์ มองว่าถ้าดูจากสิ่งที่นายอภิสิทธิ์ทำ และกระบวนการที่จะยุติการชุมนุม ไม่ค่อยสอดคล้องกัน ถ้าจะปรองดองกันควรจะมีการมาร่วมตกลงกันอย่างเปิดเผย แต่นายอภิสิทธิ์คงกลัวเสียท่า กลัวเสียหน้า ในการที่ต้องมาเจรจากับคนที่จะต้องไปเป็นผู้ต้องหา และอยากได้ภาพว่าเป็นผู้ริเริ่มการปรองดองทุกอย่างทั้งหมด ทั้งๆ ที่ความจริงแผนการปรองดองมาจากการผลักดันของหลายฝ่าย รวมทั้ง นปช.ด้วย “ปัญหาอยู่ที่ว่า
นายกฯ ยังปล่อยให้ศอฉ.เล่นบทเกเร ก้าวร้าวมาก ทำให้คนสงสัยในความจริงใจของนายกฯ และทำให้สงสัยถึงความเป็นไปได้ของแผนปรองดอง” ที่สำคัญในเนื้อหา 4-5 ข้อที่นายอภิสิทธิ์เสนอหลายเรื่องเป็นปัญหาของรัฐบาลเอง ที่พูดสวยหรูมา ความจริงก็เท่ากับกำลังจะบอกว่าสิ่งที่รัฐบาลทำมามันผิด และจะต้องแก้อย่างจริงจัง เช่น เรื่องการใช้สถาบันไปโจมตีหรือกลั่นแกล้งคน เรื่องการแทรกแซงสื่อ นายอภิสิทธิ์อาจจะต้องหักลำฝ่ายเดียวกันที่เป็นพวกที่ชอบใช้สถาบัน
มากลั่นแกล้งคน และต้องทบทวนหรือเปลี่ยนคนที่ดูแลสื่อของรัฐ แผนปรองดอง 5 ข้อดูแล้วทำได้ไม่ง่าย และจริงๆ ก็ไม่ใช่ความริเริ่มสร้างสรรค์ที่ดีวิเศษอะไร แต่ เป็นแค่คำพูดหรูๆ เพื่อหาทางลงของตัวเอง เพื่อไม่ให้ถูกกล่าวหาตราหน้าว่าเป็นคนผิดที่สั่งให้มีการสลายการชุมนุมจนมีคนตาย นายจาตุรนต์ ระบุว่า การตั้งคณะกรรมการอิสระตรวจสอบข้อเท็จจริงนั้นจะมีปัญหามาก เพราะนายอภิสิทธิ์ต้องรับไปเต็มๆ ในเหตุการณ์ 10 เม.ย. ที่เป็นเรื่องใหญ่มาก มีคนตายกว่า 20
คน บาดเจ็บ 900 คน ไม่มีทางที่จะให้มีคณะกรรมการที่เป็นอิสระและเป็นที่เชื่อถือ ถ้าหากการแต่งตั้งทำโดยนายอภิสิทธิ์“ถ้าว่ากันตามเนื้อผ้าแล้วนายกฯ จะต้องไม่ปฏิบัติหน้าที่แล้ว ตั้งแต่เหตุการณ์วันที่ 10 เม.ย.จนถึงวันยุบสภา นายกฯ ไม่มีความชอบธรรมในการปฏิบัติหน้าที่แล้ว แต่ที่กลุ่มแกนนำ นปช. ไม่เสนอให้นายกฯพักการปฏิบัติหน้าที่เพราะเขาไปติดกับข้อเสนอเรื่องการยุบสภา หลังวันที่ 10 เม.ย.เป็นต้นมาข้อเสนอควรเป็นการเสนอให้นายกฯ ออกไป แต่เขาก็
อาจจะรู้สึกว่าถ้านายกฯ ออกก็จะมีนายกฯ คนใหม่เข้ามาอีกแล้ว การยุบสภาก็เลื่อนออกไปอีกจึงยอมแลกไม่เสนอให้นายกฯ ออกไป” นายจาตุรนต์กล่าวปัญหาก็คือ สิ่งเหล่านี้ นายอภิสิทธิ์ ศอฉ. และคนรอบข้างกายนายอภิสิทธิ์เห็นอย่างไร ยอมรับหรือไม่ว่าต้นตอปัญหาที่ทำให้การปรองดองล่าช้าเป็นเพราะรัฐบาลเองเพราะดูเหมือนวันนี้นายอภิสิทธิ์ ก็ยังมองว่าแกนนำ นปช. กลุ่มคนเสื้อแดง และ พ.ต.ท.ทักษิณ ทำให้แผนปรองดองไม่ราบรื่นในขณะที่ก็ไม่ได้รับฟังความไม่
เชื่อมั่นที่พุ่งย้อนเข้าใส่นายอภิสิทธิ์เอง ว่าเหตุการณ์วุ่นๆเวลานี้ เกิดขึ้นเพราะเป้าหมายทางการเมืองของกลุ่มนักการเมืองฝ่ายรัฐบาลบางกลุ่ม นายทหารยศนายพลบางคนรวมถึงกลุ่มที่ไม่ต้องการให้ยุบสภา และต้องการสลายการชุมนุม โดยใช้มาตรการทางกฎหมายที่เด็ดขาดกับผู้ชุมนุม หากนายอภิสิทธิ์จะฉุกใจคิดสักนิดว่าการก่อเหตุของกลุ่มไอ้โม่ง ที่ขนอาวุธสงครามร้ายแรงเข้ามาใจกลางเมืองหลวง สามารถนำอาวุธสงครามเล็ดลอดผ่านด่านทั่วกทม.และปริมณฑล
กว่า 400 ด่านมาได้ถ้าไม่มีหนอนบ่อนไส้ในรัฐบาลหรือหน่วยความมั่นคง และเป็นเจ้าหน้าที่หรือพวกเดียวกับรัฐบาลแล้ว จะทำได้อย่างไร???เหมือนคดีก่อเหตุด้วยอาวุธสงครามเกือบ 70 ครั้ง ทั้งในกทม.และต่างจังหวัด รัฐบาลและศอฉ.ไม่สามารถจับคนร้ายมาลงโทษได้เลย ถ้าไม่ใช่คนมีสีมีเส้น จะทำได้อย่างไร???และทุกครั้งที่เกิดเหตุ ศอฉ. ผ่านกระบวนการกลไกสื่อของรัฐ โดยเฉพาะสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 ก็จะอ้างทันทีว่าเป็นฝีมือผู้ก่อการร้ายที่แฝงตัวในกลุ่มผู้ชุมนุม
ตราบใดที่ ศอฉ. จะทำให้ผู้ชุมนุมระแวงว่า มีเจ้าหน้าที่หน่วยความมั่นคงเข้าไปปะปนอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุม หากนปช.สลายการชุมนุม และยังไม่ยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉิน แกนนำนปช. 24 คนจะถูกจับกุมทันที ผู้ชุมนุมบางรายจะถูกยัดเยียดอาวุธสงคราม ถูกตั้งข้อหาเป็นผู้ก่อการร้ายถ้ายังมีความหวาดระแวงกันเช่นนี้ นายอภิสิทธิ์คิดหรือว่าแผนปรองดอง ที่หวังให้เป็นผลงานสำคัญจะเกิดขึ้นได้อย่างราบรื่น???ดังนั้น ณ วินาทีนี้ หากนายอภิสิทธิ์ต้องการการเดินตามแผน
ปรองดอง ก็ควรที่จะต้องเร่งยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินได้แล้ว เพราะวันนี้พิสูจน์ชัดเจนแล้วว่า กลุ่มคนเสื้อแดงขานรับแนวทางของนายอภิสิทธิ์ เพียงแต่รอความชัดเจนในรายละเอียดผิดกับกลุ่มพันธมิตรฯซึ่งประณามทั้งนายอภิสิทธิ์และแผนปรองดอง โดยขึงพืดที่จะไม่ให้ยุบสภา และต้องการให้ใช้ความเด็ดขาดรุนแรงในการสลายการชุมนุมเช่นเดียวกับกลุ่มเสื้อหลากสี ซึ่งแกนนำอย่าง นพ.ตุลย์ สุทธิสมวงศ์ ซึ่งกลายร่างมาจากกลุ่มพันธมิตร รวมทั้งแกนนำคนอื่นๆ อย่างเช่น
นายบวร ยสินทร ล่าสุดก็ได้ไฮปาร์ค โจมตีนายอภิสิทธิ์ และคัดค้านการยุบสภาอย่างเต็มที่ฉะนั้นมาถึงวันนี้ นายอภิสิทธิ์ต้องยอมรับความเป็นจริงว่า กลุ่มไหนกันแน่ที่ไม่ยอมรับแผนปรองดองส่วนการที่กลุ่มคนเสื้อแดงยืดเยื้อไม่ยอมสลายการชุมนุมทั้งๆที่เห็นพ้องในหลักการแล้ว เป็นเพราะต้องการความชัดเจนในรายละเอียดโดยเฉพาะประเด็นของการสลายการชุมนุมในวันที่ 10 เมษายน จนทำให้มีผู้สูญเสียชีวิตและบาดเจ็บมากมายเมื่อจะดำเนินคดีกับแกนนำนปช.และคน
เสื้อแดงก็ไม่เป็นไร แต่ต้องดำเนินกับคนที่เกี่ยวข้องกับการสลายการชุมนุมด้วย เพื่อจะได้ไม่มีข้อครหาเรื่อง 2 มาตรฐาน เพราะต้องไม่ลืมว่าการสั่งสลายการชุมนุมจนมีผู้เสียชีวิตนั้น เป็นการกระทำความผิดตามป.อาญา ม.288, 289, 82, 83 และ 84 วันนี้ก็อย่างที่นายอภิสิทธิ์ระบุนั่นแหละว่า บ้านเมืองบอบช้ำมามากแล้ว ดังนั้นกล้าๆ ยุบสภาเลือกตั้งใหม่แบบอังกฤษ เมืองที่ไปร่ำเรียนมา.. นั่นแหละคือทางออกที่ดีที่สุดแล้ว
ที่มา.บางกอกทูเดย์
.......................................................................
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น