--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพุธที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ดร.โกร่ง ถอดรหัส ′5 อาการป่วยไข้ทางการเมือง′ จาก สงครามกลางเมือง สู่ Fail State


การต่อสู้ระหว่าง รัฐบาล กับ คนเสื้อแดง ยืดเยื้อยาวนาน จนถึงนาทีนี้ ยังหาทางลงไม่ได้ ยิ่งนานวันความเสียหายยิ่งลุกลามออกไปเรื่อยๆ ผู้ใหญ่หลายคนเริ่มเตือนเรื่อง "รัฐบาลล้มเหลว Fail State" ก่อนที่รัฐบาล จะล้มเหลว มีเหตุจากอะไร

ล่าสุด ดร.วีรพงษ์ รามางกูร อดีตรองนายกรัฐมนตรี คอลัมนิสต์ คนเดินตรอก แห่งประชาชาติธุกิจ ถอดรหัส ทฤษฎีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างรุนแรง ของ ดร.เครน บรินตัน ลองอ่านดู อาจเห็นภาพในสังคมไทยชัดเจนขึ้น

@ 5 อาการป่วยทางการเมือง
ดร. โกร่ง ถ่ายทอด ทฤษฎีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างรุนแรง จากเค้าโครงตำราเรียนของ ดร.เครน บรินตัน ถึงอาการป่วยเบื้องต้นทางการเมืองของสังคมที่จะพัฒนาไปสู่ความรุนแรงทางการเมืองต่อไป

อาการเบื้องต้นของการป่วยของสังคมที่ว่า ได้แก่
1.การเกิดความรู้สึกทางชนชั้นของสังคมเป็นคนชั้นสูงและคนชั้นล่าง แล้วก็เกิดความรู้สึกต่อต้านซึ่งกันและกัน หรือ Class Antagonism
2.รัฐบาลบริหารราชการแผ่นดินไม่ได้ อาจจะเป็นเพราะความสามารถของรัฐบาลเอง หรือกลไกของรัฐบาลไม่ทำงาน หรือ Government Inefficiency
3.มีผู้นำที่ซื่อบื้อ ซุ่มซ่าม งี่เง่า เต่าล้านปี ไม่ทันสถานการณ์ หรือที่ ดร.บรินตันใช้คำว่า Inept Ruler
4.ปัญญาชนซึ่งเคยเป็นคนชั้นสูงย้ายข้างจากที่เคยอยู่ฝ่ายชนชั้นสูงเข้ามาสนับสนุนและเห็นใจคนชั้นล่าง Intellectual Transfer of Loyalty
5.ประการสุดท้ายของอาการไข้เบื้องต้นคือความล้มเหลวในการใช้วาจาขู่ว่าจะใช้กำลังบังคับ หรือมีการใช้กำลังแล้วคนไม่กลัว การต่อต้านยังคงมีต่อไป หรือ Failure of Force

เมื่ออาการไข้ดังกล่าว ปรอทได้สูงขึ้นกว่า 100 องศาฟาห์เรนไฮต์ สังคมที่มีไข้ขึ้นสูงดังกล่าว สังคมนั้นก็จะเคลื่อนจากอาการตัวร้อนเป็นไข้ไปเข้าสู่การป่วยที่แท้จริง

ช่วงที่อาการจากการเป็นไข้กลายเป็นอาการป่วยอย่างที่แท้จริง "ขบวนการประชาชน" หรือ "People Movement ก็จะก่อตัวขึ้น พัฒนาตัวเองให้เข้มแข็งจนกลายเป็นขบวนการที่ถาวร

@ องค์ประกอบ 7 ประการของขบวนการประชาชน
ขบวนการดังกล่าว ถ้ามีองค์ประกอบครบ 7 ประการ ก็จะเป็นขบวนการประชาชนที่ถาวรยั่งยืน องค์ประกอบ 7 ประการดังกล่าว
ประกอบด้วย

1.อุดมการณ์ร่วมกัน หรือ Common Idealogy อุดมการณ์อาจจะเป็นอุดมการณ์ทางการเมือง เช่น อุดมการณ์ประชาธิปไตยพรรคเดียวหรือหลายพรรค อุดมการณ์ความเสมอภาค อุดมการณ์เรื่องความเป็นธรรม การปฏิบัติอย่างเท่าเทียม อุดมการณ์เรื่องความเท่าเทียมกัน หรืออุดมการณ์ทางเศรษฐกิจสังคมนิยม อุดมการณ์เศรษฐกิจเสรีนิยม อุดมการณ์ชาตินิยมทางการเมือง หรืออุดมการณ์ชาตินิยมทางเศรษฐกิจ อุดมการณ์ทางศาสนาจะเคร่งหรือไม่เคร่ง รัฐศาสนา รัฐที่ไม่ใช่รัฐศาสนา เป็นต้น อุดมการณ์เหล่านี้ ถ้ามีการหยิบยกขึ้นมาเป็นอุดมการณ์ทางการเมือง และสามารถทำให้มีผู้คนมาร่วมอุดมการณ์ได้มากขึ้นทุกปี ก็สามารถก่อกำเนิดเป็นขบวนการประชาชนได้

2.หัวหน้า หรือ Leaders ขบวนการทุกขบวนการย่อมมีหัวหน้าที่ใช้เป็นสัญลักษณ์ที่เป็นรูปธรรม เพราะอุดมการณ์ร่วมกันที่ใช้นำมาเป็นเครื่องมือปลุกระดมนั้นเป็น "นามธรรม" ส่วนที่เป็นรูปธรรมจับต้องได้ เห็นได้ทั้งภาพและเสียงที่ได้ยินได้

หัวหน้าอาจจะมีหลายระดับ อาจจะมีหัวหน้าใหญ่ รองลงมาเป็นผู้นำ หรือสมัยนี้ชอบเรียกกันว่าเป็น "แกนนำ" จำนวนไม่มาก แล้วก็อาจจะมีกลุ่มแกนนำรุ่นที่ 2 หรือรุ่นที่ 3 ต่อไป ซึ่งอาจจะมีบางส่วนเปิดตัวหรือบางส่วนไม่เปิดตัว ในสมัยสงครามเย็น การมีหัวหน้าที่เป็นรูปธรรมที่ชัดเจนเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จ เช่น รัสเซีย จีน คิวบา เวียดนาม ส่วนพรรคที่ไม่สามารถเปิดเผยหัวหน้าที่เป็นรูปธรรมได้ จึงไม่ประสบความสำเร็จและล้มเหลวในที่สุด

การที่ขบวนการสามารถเปิดเผยชื่อ "หัวหน้า" หรือกลุ่มหัวหน้าได้อย่างเปิดเผยได้อย่างเป็นรูปธรรม จึงมีส่วนสำคัญของระดับการพัฒนาของขบวนการ

ถ้ายังไม่สามารถเปิดเผยชื่อหัวหน้าหรือคณะบุคคลที่เป็นหัวหน้าได้ ก็ยังต้องพัฒนาตัวเองต่อไปจนกว่าจะหาหัวหน้าได้ เพราะมันสมองย่อมต้องมาจากกลุ่มผู้นำเหล่านี้

3.มีการจัดตั้ง หรือ Organization มีองค์กรที่เป็นศูนย์กลาง และมีสาขาเครือข่ายขยายตัวจากส่วนกลางกระจายไปยังส่วนภูมิภาค มีสายการบังคับบัญชาสั่งการเป็นเครือข่าย มีศูนย์กลางอยู่ในเมืองหลวงและในภูมิภาค มีการจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรม โรงเรียนฝ่ายโฆษณาการ โรงเรียนฝ่ายปฏิบัติการ ถ้าพัฒนาไปถึงกองกำลังติดอาวุธ ก็จะมีสายการบังคับบัญชาการที่ชัดเจนแน่นอน อาจจะเปิดเผยหรือปิดลับ

4.ทรัพยากร หรือ Resources ที่จะใช้ในการปฏิบัติการทั้งในด้านการโฆษณา การหาแนวร่วม การปฏิบัติการในกิจกรรมทางการเมือง ทรัพยากรที่สำคัญคือทรัพยากรทางการเงิน ซึ่งอาจจะได้จากการบริจาคหรือการหารายได้จากแหล่งต่าง ๆ อาจจะเป็นทรัพยากรอื่น ๆ ที่องค์กรกลางหรือสาขาจะระดมมาได้จากแหล่งอื่น ๆ ทรัพยากรต่าง ๆ เหล่านี้อาจจะระดมมาได้หลายทาง และก็เป็นของจำเป็น

5.ผู้ปฏิบัติงานในภาคสนาม หรือ Cadre เป็นสิ่งสำคัญในการดำเนินกิจกรรมในด้านต่าง ๆ เช่น เมื่อมีการจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมและโรงเรียนปฏิบัติการ ผู้ที่ผ่านการฝึกอบรมผ่านการปฏิบัติงานก็จะได้รับการยกฐานะขึ้นเป็น "แกนนำ" แกนนำก็จะทำหน้าที่ให้การอบรมสำหรับอาสาสมัครที่รับหน้าที่เป็นผู้ปฏิบัติงานของรุ่นต่อ ๆ ไป

6.สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการได้รับการสนับสนุนจากประชาชน หรือ Popular Support ขบวนการที่จะเติบใหญ่ได้ ต้องมีแรงสนับสนุนจากประชาชน การจะได้รับการสนับสนุนได้ ก็คงต้องทำให้ประชาชนเห็นด้วยกับอุดมการณ์ ได้รับการสนับสนุน เลื่อมใสศรัทธาในตัวผู้นำของขบวนการ

เมื่อองค์กรนำของขบวนการเข้มแข็ง มีประชาชนผู้มีอารมณ์ร่วมในความคิดเห็นที่เป็นอุดมการณ์ ขบวนการดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจากประชาชนมากขึ้น จำนวนคนเข้าร่วมขบวนการก็จะเติบใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ตามกระแสที่ได้ปลุกระดมขึ้นให้รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ

7.สิ่งสุดท้ายของขบวนการประชาชนก็คือการมีเป้าหมาย หรือ Goal and Target ที่ชัดเจนมากขึ้นตามลำดับ

เมื่อเกิดขบวนการประชาชนและกระแสอารมณ์ทางการเมืองถูกระดมให้รุนแรงมากขึ้น ดร.บรินตันได้กล่าวต่อไปถึงสถานการณ์ขั้นต่อไปของทฤษฎีการเปลี่ยนแปลงการเมืองครั้งใหญ่


@ สถานการณ์ขั้นแรกของการปฏิวัติ

สถานการณ์ขั้นแรกของการปฏิวัติ ก็คือ 1.การประท้วงต่อต้านรัฐบาล มีความรุนแรงเพิ่มขึ้น หรือ Government Protests Increase เมื่อขบวนการจุดไฟติด มีผู้เข้าร่วมขบวนการมากขึ้นทุกที มีองค์กรจัดตั้ง มีทรัพยากรทางการเงิน มีผู้ปฏิบัติงาน ก็จะมีการจัดให้มีการประท้วงต่อต้านรัฐบาล แต่ละครั้งในการประท้วงต่อต้านก็จะมีความรุนแรงมากขึ้น ทั้งในแง่จำนวนคนที่เข้าร่วมประท้วงและต่อต้าน และจำนวนความถี่ในการต่อต้าน การชุมนุมต่อต้านก็จะบ่อยมากขึ้น

ถ้ารัฐบาลใช้กำลังเข้าปราบปราม มีคนล้มตาย ก็จะเป็นรูปธรรมของความรุนแรงที่จะใช้ในการปลุกระดมต่อต้านมากยิ่งขึ้น ความโกรธแค้นชิงชังอีกฝ่ายหนึ่งก็จะถูกใช้ เพื่อเป็นการสร้างกระแสคัดค้านต่อต้านฝ่ายรัฐบาลมากยิ่งขึ้น

ครั้นรัฐบาลไม่ใช้กำลังรุนแรงเข้าปราบปราม ขบวนการดังกล่าวก็จะขยายตัวยิ่งขึ้น ทำให้ประสิทธิภาพในการบริหารราชการของรัฐบาลเสื่อมลง ความมั่นใจในความคงอยู่ของรัฐบาลก็จะเสื่อมลง ทำให้การบังคับใช้กฎหมายไม่ประสบความสำเร็จ

เมื่อการประท้วงต่อต้านรัฐบาลพัฒนามาถึงขึ้นที่มีมวลชนจำนวนมากเข้าร่วมการประท้วงต่อต้าน มีขบวนการประชาชนเข้ามาร่วมสนับสนุน ทั้งที่มีการแสดงออกและไม่ได้แสดงออก โดยที่ฝ่ายอำนาจรัฐมักจะเชื่อว่าฝ่ายที่ไม่แสดงออก หรือที่รัฐบาลทุกแห่งมักจะเรียกว่า "silent majority" นั้นจะมีจำนวนผู้คนที่มากกว่า และจริง ๆ แล้วผู้คนที่อยู่เงียบ ๆ นั้นก็ไม่มีใครรู้แน่ว่าเป็นฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายต่อต้านรัฐบาล

การประท้วงต่อต้านรัฐบาลที่ขยายจำนวนและแผ่กระจายไปในวงกว้างในท้องที่นอกเมืองหลวง รวมทั้งความบ่อยของการจัดการประท้วงต่อต้านจะนำไปสู่การปราบปรามอย่างรุนแรง มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก

เมื่อมีการปราบปรามผู้ที่แสดงออกผู้ประท้วงต่อต้านจนถึงขั้นรุนแรง หรือถ้าไม่มีการปราบปราม ความเชื่อมั่นในตัวผู้นำและต่อรัฐบาลเองก็เสื่อมลงอย่างมาก จนทำให้เกิดความล้มเหลวในการใช้กำลัง หรือ Failure of Forces กลายเป็นความล้มเหลวในการใช้อำนาจอธิปไตยของรัฐ สถานการณ์ก็กลายเป็นสถานการณ์ของรัฐที่กำลังล้มเหลว หรือ Failing State

ประการต่อไปก็คือการมีเหตุการณ์รุนแรง หรือเหตุการณ์ทางการเมืองเกิดขึ้นบ่อย ๆ หรือตำราเขาเรียกว่า dramatic events เช่น มีการก่อวินาศกรรมที่นั่นที่นี่ มีเหตุการณ์ทางการเมืองที่คาดไม่ถึงทั้งในวงการรัฐบาล วงการฝ่ายค้าน หรือรัฐสภา เกิดขึ้นเป็นข่าวใหญ่ทั้งในและต่างประเทศ

เช่น มีการฆาตกรรมผู้นำฝ่ายนั้นหรือฆาตกรรมฝ่ายนี้ รัฐสภาเกิดอลเวงมีการย้ายข้างของสมาชิกรัฐสภา สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้จะทำให้เกิดสถานการณ์ "อนาธิปไตย" ขึ้นโดยทั่วไป

@ ภาวะเศรษฐกิจและการเงินล้มเหลว
เมื่อเกิดสถานการณ์อย่างนี้ก็กระทบต่อการดำเนินการทางธุรกิจ การค้าขาย การลงทุน การบริโภค สิ่งที่ตามมาก็คือภาวะเศรษฐกิจและการเงินล้มเหลว หรือ "Economic and Financial Breakdown" ความล้มเหลวทางเศรษฐกิจทำให้ธุรกิจต้องปิดตัวเองลง ต้องลอยแพคนงาน การว่างงานเพิ่มขึ้น ความเสี่ยงทางการเมืองทำให้ไม่มีการลงทุน

ถ้าสถานการณ์เลวร้ายลงไปอีกก็จะเกิดภาวะเงินตราต่างประเทศไหลออกไปนอกประเทศ ค่าเงินตกลงอย่างรุนแรง การที่ค่าเงินตกลงอย่างรุนแรงทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ รายได้ของรัฐบาลลดลง รายจ่ายมีมากขึ้น ทำให้ฐานะทางการคลังเลวลง หลายประเทศที่ ดร.เครน บรินตัน ทำการศึกษา ก่อนจะเกิด "สงครามกลางเมือง" หรือ "civil war" ฐานะทางการเงินของรัฐบาลอยู่ในฐานะล้มละลาย รัฐบาลต้องชดเชยการขาดดุลงบประมาณโดยการกู้เงินจากธนาคารกลางจำนวนมาก ทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้ออย่างรุนแรง

หลังจากเกิดภาวะ "อนาธิปไตย" เศรษฐกิจและการเงินของประเทศล้มเหลว ก็จะมีการเรียกร้องให้มีคนกลางมาเข้ามาเป็นรัฐบาล หรือที่บรินตันเรียกว่า "Moderates Attain Power" รัฐบาลคนกลางส่วนมากมักจะเป็น "รัฐบาลมะเขือเผา" อย่างที่มีเสียงเรียกร้องให้ตั้ง "รัฐบาลแห่งชาติ" เมื่อตั้งมาแล้วก็แก้ไขอะไรไม่ได้ ปัญหาหลักไม่ได้รับการแก้ไข เหตุการณ์ก็เลวร้ายลงไปเรื่อย ๆ

กระนั้นก็ตาม คนก็พอใจระยะหนึ่ง กลายเป็น "Honeymoon Period" ก่อนที่จะมีการรัฐประหาร และผู้นำหัวรุนแรงก็จะเข้าสู่อำนาจ เช่นเดียวกับเยอรมนีและอิตาลี หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือเป็นช่วง "Redicals Take Control" แล้วก็เกิดสงครามกลางเมือง กลายเป็นรัฐบาลล้มเหลว หรือ Fail State

อ่านตำราฝรั่งแล้ว หวังว่าจะไม่เห็นในบ้านเรา


ที่มา. ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
"""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น