--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

โรดแมป (โรดมึง!...ไม่ใช่โรดกู!!)

ที่มา.วาทตะวัน สุพรรณเภษัช

สัปดาห์ที่ผ่านมา ผมเขียนบทความชื่อ “ลมแห่งกรรม...กำลังพัดย้อน!!!” ตอนท้ายของบทความชื่อว่า
“...ที่สำคัญคือ หากนายอภิแสบ ภักดีโพเดียม ยังคงดื้อดึงดันยึดตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป...
ชีวิตของผู้คนอีกกี่สิบ กี่ร้อย ที่ต้องทับถมกัน ลงไปอีก!!?...”
ปรากฏว่า บัดนี้ นายมาร์ค มุกควาย คงจะเห็นแล้วว่า หากยังขืนดึงดันต่อไป คงจะเป็นการซ้ำเติมชาติบ้านเมือง ให้บอบช้ำหนักเข้าไปอีก เขาจึงได้ตัดสินใจครั้งสำคัญ โดยไม่ต้องฟังเสียงพวกกระทกรกในพรรคเดียวกัน โดยยื่นขอปรองดองกับ น.ป.ช. และแสดงเจตจำนงชัดเจนว่า
จะให้มีการเลือกตั้งใหม่ วันที่ 14 พ.ย.2553
ผู้คนในบ้านนี้เมืองนี้ ที่ติดตามเหตุการณ์ ต่างรู้สึกโล่งใจไปตามๆกัน

สำหรับผู้เขียนแล้ว มีความมั่นใจมาตั้งแต่เหตุการณ์ 10 เม.ย.2553 แล้วว่า
นายอภิแสบ ภักดีโพเดียม คงไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้ เพราะรัฐบาลของเขา จะไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างแข็งแรงจากกองทัพอีกต่อไป ไม่เหมือนตอนที่จัดตั้งรัฐบาล ที่ต้องอุ้มกันไปจัดในค่ายของพวกทหาร
การปะทะระหว่างทหารกับผู้ชุมนุม ที่สี่แยกคอกวัว และถนนราชดำเนิน ซึ่งจบลงด้วยความพ่ายแพ้ของฝ่ายทหาร ทำให้ พล.อ.อนุพงศ์ ผู้บัญชาการทหารบกถอดใจ จนหลุดคำพูดออกมา อย่างชัดเจนว่า
“การเมือง ต้องแก้ไข...ด้วยการเมือง!”

ความเห็นส่วนตัวของผม กลับเห็นว่า แท้ที่จริงแล้ว นายพลหัวถลอก ‘อนุพงศ์’ นั้น ตื่นตระหนกอย่างแรง ที่กองทัพบกซึ่งมีตัวเขาเป็นผู้นำ ประสพความเสียหายอย่างหนัก ในการปราบปรามประชาชน
ความย่อยยับจากการพ่ายแพ้ของกองพลสำคัญ พร้อมการสูญเสียนายทหารตัวเด่น ที่มีผลงานในการปราบปรามประชาชนปีกลาย (แทนการปราบปรามอริราชศัตรู) ต้องบาดเจ็บสาหัส พรรคพวกต้องลากถูลู่ถูกังไปตามถนน และตายในเวลาต่อมา ส่วนตัวผู้บัญชาการกองพล ถึงกาลทุพพลภาพ อย่างน่าสังเวช
ปัจจัยเหล่านี้ มีผลกระทบอย่างแรง ต่อกองทัพ!
ที่ดูน่าทุเรศทุรังกาเป็นอย่างมาก คือ กองร้อยยานเกราะที่ยาตราสู่ถนน ด้วยความระเริงใจ เพราะมุ่งมั่นว่าจะไปกวาดล้างชาวบ้านที่มาชุมนุม ได้โดยง่ายดาย กลับถูกฟาดพ่ายยับ ยานเกราะถูกยึดไปเกือบทั้งหมด ที่ตาลีตาเหลือกหนีตายได้ มีเพียง 3 คัน นี่ยังไม่นับรวมอาวุธยุทธภัณฑ์ต่างๆ เป็นจำนวนมากมาย ที่ถูกยึดมากองประจานให้โลกได้เห็น
ขวัญทหาร...กระเจิดกระเจิง!
ชื่อเสียงของกองทัพไทย มีอันเสียหายไปทั่วโลก แต่ที่สำคัญนักหนาก็คือ
ทหารเกิดอาการ “เข็ดเขี้ยว” ในการจะต่อกรกับชาวบ้าน การแสดงออกระยะหลัง โดยเฉพาะพวกถือปืนลาดตระเวนในกรุงเทพดูเหมือนเป็นพวกประสาทเสีย ผู้คนเขาวิพากษ์วิจารณ์กันว่า
‘ขี้’...คงขึ้นไปอยู่หัวขมอง...เหมือนกุ้ง!!

การไล่ล่าสังหารประชาชน ถูกยับยั้งโดยกองกำลังไม่ทราบฝ่าย ที่สำนักข่าวหลายชาติ รายงานตรงกันว่า เป็นทหารที่ไม่เห็นด้วยกับการปราบปรามประชาชน ที่แค่มาชุมนุมกันทางการเมืองเท่านั้น แต่กลับโดนปราบปรามด้วยความหฤโหดสุดๆ

นี่เองเป็นสาเหตุสำคัญ ที่ทำให้นานาชาติได้ทำการกดดันรัฐบาลไทยอย่างต่อเนื่อง เพราะการใช้ทั้งอาวุธสงคราม และยานเกราะบรรทุกอาวุธเต็มอัตราศึก เข้าปราบปรามประชาชน รวมทั้งการใช้พลซุ่มยิง ลอบสังหารผู้คนบนท้องถนน เป็นอาชญากรรมร้ายแรง ที่น่าขยะแขยงอย่างยิ่ง ทำให้พลโลกถึงกับตกตะลึง กับความโหดเหี้ยมของรัฐบาลไทย และทหารที่ร่วมมือกัน ก่อกรรมทำเข็ญ ให้กับประชาชนคนในชาติเดียวกันแท้ๆ

การที่ทหารใช้ความรุนแรงกับประชาชนอย่างนี้ เป็นเครื่องชี้ให้เห็นได้ชัดว่า
ฝ่ายทหารขาดความรู้ในการจัดการกับฝูงชน แทนที่จะใช้ตำรวจที่ได้รับการฝึกฝนมา เข้าดำเนินการ เยี่ยงนานาอารยะประเทศ รัฐบาลกลับเลือกการใช้ทหารแทน จึงเป็นการผลักทหารไปยืนคนละฝั่งกับพลเมืองของประเทศ
อย่างโง่เขลาสุดๆ!
การที่ทหารถลำลึกเข้าไปยุ่งกับการเมือง สาเหตุสำคัญเกิดจากการทำ ‘รัฐประหาร’ ยึดอำนาจ เมื่อ 19 ก.ย.2549 นั่นเอง
เพื่อป้องกันไม่ให้พรรคพวกทักษิณ กลับเข้ามามีอำนาจ เพราะทหารกลัวจะโดนการรุกกลับ จากผู้ที่พวกตนเคยโค่นล้ม พวกผู้บังคับบัญชากองทัพ จึงจำต้องโอบอุ้มพรรคการเมือง ที่พวกตนพอไว้วางใจได้ โดยสนับสนุนและช่วยเหลือแบบ ‘ทั้งลากทั้งจูง’ อย่างสุดกำลังแล้ว แต่พรรคที่ว่า ดันไปพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งเสียอีก
ดังนั้น กองทัพจึงจำต้องอุ้มพรรคดังกล่าว ให้เข้ามาเป็นรัฐบาล ด้วยวิธีการซึ่งประชาชนส่วนใหญ่ เห็นว่าไม่ถูกต้อง
ผู้คนเขา...รับไม่ได้!
เมื่อรัฐบาลนี้เข้ามาแล้ว จึงปรากฏโครงการต่างๆ รวมตลอดถึงการจัดซื้อจัดจ้าง ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในสื่อสารมวลชนว่า
ทั้งทหารและรัฐบาลโลซก มีผลประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบร่วมกัน!
ตรงนี้นี่เอง ที่ผู้คนส่วนใหญ่ในบ้านเมือง ที่เขาเห็นว่าการดำเนินการของทหารและพรรคการเมือง ไม่ชอบธรรม พวกเขาจึงออกมาชุมนุมกันอย่างมากมาย อย่างที่เราเห็นกัน ทั้งยังเป็นการชุมนุมต่อเนื่อง ชนิดที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในชาติของเรา
กองทัพตัดสินใจผิดพลาดอย่างยิ่ง ที่ไปร่วมมือกับรัฐบาลอย่างแข็งขัน เข้าปราบปรามการชุมนุมด้วยกำลัง โดยหวังจะพิชิตชัยชนะ ในระยะเวลาอันสั้น แต่กลับถูกชาวบ้านตีแตกพ่าย เมื่อ 10 เม.ย.ที่ผ่านมา ด้วยสภาพที่บอบช้ำสุดๆ
ผบ.ทบ.จึงออกมาครวญคราง ด้วยเสียงอ่อยๆ ว่า “การเมือง แก้ไขด้วยการเมือง” ดังที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น นั่นเอง

นานาชาติที่เฝ้าสังเกตการณ์ ได้ประณามรัฐบาลไทยอย่างรุนแรง ในการคุกคามต่อเสรีภาพของพลเมือง ฆ่าฟันประชาชนอย่างไร้ความเมตตา
สำนักข่าว VOA (เสียงอเมริกา) สื่อคู่บ้านคู่เมืองของรัฐบาลอเมริกัน ซึ่งมีบทบาทเป็นกระบอกเสียงสำคัญ ของสหรัฐและโลกเสรี ตั้งแต่ยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้เสนอข่าวเมื่อวันจันทร์ ที่ 2 พ.ค.2553 อย่างที่ไม่เกรงใจรัฐบาลไทย
‘เสียงอเมริกา’ ว่าเอาไว้อย่างนี้ครับ
...International Crisis Group ซึ่งเป็นองค์กรอิสระที่ไม่แสวงผลกำไร ในกรุงบรัสเซลล์ของประเทศเบลเยี่ยม ระบุว่า
ระบบการเมืองของไทยได้ล่มสลายลง และไม่สามารถแก้ปัญหาความชัดแย้งได้ และการประจันหน้ากันครั้งนี้ อาจนำไปสู่สงครามกลางเมืองที่ไม่มีการประกาศได้ จึงเสนอให้มีคณะคนกลางจากภายนอก ซึ่งเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงและรวมถึงผู้ที่เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับประเทศไทยเข้าช่วยในการเจรจา
โดยกลุ่ม International Crisis Group นี้ ยังชี้ด้วยว่า สถาบันที่คนไทยให้ความเคารพ คงไม่อยู่ในฐานะที่จะช่วยคลี่คลายข้อขัดแย้งครั้งนี้ได้ เพราะเป็นความขัดแย้งซึ่งสลับซับซ้อนกว่าที่ผ่านมา...
สื่อสำคัญของโลก อย่างสำนักข่าว VOA หรือเสียงอเมริกา เขานำเสนอ
ตรงไปตรงมา อย่างนี้!

ดังนั้น การที่นายมาร์ค มุกควาย ได้ออกมายื่นข้อเสนอปรองดองนั้น แท้ที่จริงแล้ว เพราะเขารู้ตัวเองดีว่า กำลังย่ำแย่ เพราะพ่ายแพ้ในทุกแนวรบ โดยเฉพาะในสังคมระหว่างประเทศ
สำนักข่าวที่รู้ไส้ในรัฐบาลไทยเป็นอย่างดี คือ CNN ถึงกับถึงเอ่ยเสียงดังฟังชัด ในภาคข่าว 18 นาฬิกา วันพุธที่ 5 พ.ค.2553 ที่เพิ่งผ่านไปหยกๆนี้ว่า
The Red Shirts have brought Thai government to its knees.
ไม่อยากแปล เพราะสำนวนผมมันออกแนวสวิงสวาย จะไปกระเทือนใจกองเชียร์พรรคดักดาน จนลมจับกัน!
แปลเอาเอง ก็แล้วกันนะครับ
นอกจากนั้น สถานทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ยังออกแถลงการณ์ เรียกร้องรัฐบาลไทย ให้เร่งเจรจาหาข้อตกลงขั้นสุดท้าย เพราะเขาย้ำมาตลอดว่า ความแตกต่างทางการเมือง ควรได้รับแก้ไขด้วยการเจรจาอย่างสันติ มิใช่การใช้ความรุนแรงบนท้องถนน...
ความจริง...มันเป็นอย่างนี้ต่างหาก!!

ดังนั้น การที่ ศอฉ. (ศูนย์อีเฉาะ) ยังเสือกทำปากดีว่า หากฝ่ายเสื้อแดงไม่รับข้อเสนอ ก็คงจะมีการใช้กำลัง แถมยังมี ส.ว.สาย E-PED อภิปรายยุยงในสภา ให้ล้อมปราบประชาชนเข้าไปอีก
ผมฟังแล้ว...คลื่นไส้มาก!
คนพวกนี้ไม่เคยตีกับฝูงชนจำนวนมากๆ และไม่เคยออกรบเลย จึงได้แต่พูด เพราะนึกว่าการกระทำดังกล่าวนั้น ง่ายดายเสียเต็มประดา เหมือนพวกมันถูก E-PED ลากตั้งเข้ามาเป็น ส.ว. เลยลืมนึกถึงความพ่ายแพ้ของทหาร เมื่อ 10 เม.ย.2553 ไปเสียสนิท
เขียนถึงตรงนี้ อยากเล่าให้ฟังเพิ่มเติมสักนิด ว่า

เมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพอินทรีย์เหล็กของเยอรมัน ที่ทรงพลัง มีแสนยานุภาพและกำลังรบมหาศาล ได้กวาดต้อนชาวยิวเข้าไปอยู่ที่เก็ตโต (Ghetto) ที่มีสภาพคล้ายค่ายกักกันทั่วยุโรป และกระทำต่อยิว...
เหมือนสัตว์...ไม่ใช่มนุษย์!
เมื่อชาวยิวที่อยู่ในเก็ตโต ในกรุงวอร์ซอว์ (Warsaw Ghetto) ของประเทศโปแลนด์ ได้แข็งข้อต่อเยอรมัน กองทัพอาณาจักรไรซ์ (Reich) ที่สาม ไม่รั้งรอ ส่งทั้งกองพลรถถัง ปืนใหญ่ และทหารราบ เข้าปฏิบัติการล้อมปราบทันที
ฝ่ายเยอรมันใช้รถถังบุกเข้ากวาดล้าง โดยมีปืนใหญ่จำนวนมากยิงสนับสนุน ประเคนใส่เก็ตโตของพวกยิว ซึ่งเป็นเพียงแค่ชุมชนเล็กๆ และชัยภูมิก็ไม่เหมาะในการสู้ศึก (ซึ่งผิดจากสี่แยกราชประสงค์ลิบลับ)
คนยิวสู้รบแบบสุดใจขาดดิ้น (เหมือนคนไทยรบกับทหาร
ที่ย่านราชดำเนิน) ด้วยการสู้รบในแนวป้องกันหรือบังเกอร์ และไล่ยิงกันแบบ...
ตึกต่อตึก!
การรบแบบนี้ ทำให้กองทัพนาซี ต้องประสพกับความสูญเสียหนัก และต้องใช้เวลานานนับเดือน กว่าจะกำราบปราบปรามชาวยิวลงได้

ย่านราชประสงค์นั้น เป็นชัยภูมิที่มั่นทางการทหารชั้นดี ในการตั้งรับศึกแบบ ‘รบในเมือง’ แถมยังมีมูลค่ามหาศาล สุ่มเสี่ยงต่อการเสียหาย และถูกทำลาย ทำให้ยากต่อการตัดสินใจเข้าปฏิบัติการกวาดล้างทำลาย แต่กระนั้นโฆษกสากกระเบือของ ศอฉ. ก็ออกมาพูดจาในทำนองข่มขู่ว่า
จะใช้รถหุ้มเกราะ...เข้าล้อมปราบ!
(และคงตามด้วยทหาร เข้ากวาดล้างพลเมือง ที่ชุมนุมกันอยู่ตรงบริเวณนั้น)
ก็อยากรู้เหมือนกันว่า
ยานเกราะที่เข้ามาปราบ จะฉิบหาย หรือถูกยึดอีกกี่คัน!?

ผมวาดภาพการรบคร่าวๆได้ไม่ยาก เพราะเมื่อเริ่มเข้าปะทะ ตำรวจซึ่งไม่เห็นด้วยกับการปราบปรามประชาชน อาจ
ร่นถอย และเปิดทางให้ทหารเข้าดำเนินการเสียเอง จะเกิดการประจันหน้าระหว่าง
ทหารกับประชาชนโดยตรง!
การรบระหว่างพลเมืองไทยและทหาร จะต้องดำเนินไปในท้องถนน อาคารสูง ห้างสรรพสินค้า โรงแรมหรูๆ ซอกตึก ฯลฯและอาจมีกำลังไม่ทราบฝ่าย ที่ทนเห็นการเข่นฆ่าประชาชนไม่ได้ ออกมาร่วมสมทบ เหมือนเหตุการณ์ที่ราชดำเนิน
การต่อสู้จะขยายวงกว้างขวางออกไป แต่ทหารคงไม่สามารถใช้อาวุธหนักอย่างปืนใหญ่ ยิงถล่มย่านการค้าสำคัญนี้ เพื่อพิชิตศึกเด็ดขาด เหมือนพวกนาซีทำกับชาวยิว เพราะนานาชาติจับจ้องอยู่ โดยเฉพาะสถานทูตอเมริกัน และอังกฤษ ที่อยู่ใกล้สมรภูมิสู้รบ
ดังนั้น หากจะปราบปรามให้ได้ผล ตามแบบการรบในเมือง ก็จะต้องเข้ารบประชิด และหลายๆจุด อาจถึงขั้น
ตะลุมบอน!
ประชาชนที่แยกไม่ออกว่าเป็นสีแดง หรือสีใดๆก็ตาม ที่ตามมาชมการต่อสู้หลังแนวรบ ตั้งแต่ทหารเริ่มทยอยเข้าที่รวมพลก่อนการเข้าตี ชาวบ้านอาจมีอารมณ์ร่วมวงในการต่อสู้ ส่วนจะตีตลบหลังกองทหารหรือไม่นั้น
ยังไม่มีใคร...ทำนายได้
การต่อสู้จะกินเวลายืดเยื้อนานเท่าใด และฝ่ายทหารจะเป็นฝ่ายกำชัยเอาไว้ได้ หรือจะปราชัยซ้ำซ้อน นั้น
ก็ไม่มีใคร...ตอบได้เช่นกัน
ในโรงเรียนเสนาธิการนั้น เขาสั่งสอนกันนักหนา ซึ่งผู้เขียนยังจำติดหูว่า
ก่อนการรบ ใครจะเป็นฝ่ายชนะนั้น พูดไม่ได้เพราะ...
“ยังไม่ได้รบกัน!”
จึงอยากจะเตือนใจทุกคน ว่า
เมื่อยังไม่ได้รบกัน ก็ทำนายผลแพ้ชนะยาก ทายไปแล้วก็อาจผิดได้ง่าย แต่ถ้ารบกันแล้ว คำที่ทำนายล่วงหน้าไว้ อาจพลิกผันได้ง่ายๆ ตัวอย่างที่เห็นกันชัดๆ คือ
การรบกันที่ราชดำเนินเมื่อ 10 เม.ย.2553 นั้น หากพิจารณาถึงกำลังรบเปรียบเทียบแล้ว ใครๆก็ต่างทำนายว่า ฝ่ายทหารกินขาดทั้งนั้น เพราะผู้ชุมนุมมีเพียงมือเปล่า สู้กันไม่ได้เลย
แต่...พอเอาเข้าจริงๆ ความหาญกล้า ไม่กลัวตายของพี่น้องชาวไทยผู้ชุมนุมต่างหาก ที่เป็นเงื่อนไขสำคัญยิ่ง แค่เสริมด้วยกำลังไม่ทราบฝ่าย เพียง 3-4 คนเท่านั้น ก็สามารถทำลายทหารจำนวนมาก ลงได้อย่างราบคาบ
ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะทหารส่วนใหญ่นั้น ขาดการฝึกอบรม และรบในเมืองไม่เป็น แถมยังเห็นได้ชัดๆว่าตื่นกลัว จนตกเป็นฝ่ายพ่ายย่อยยับ อับอายทั้งในสายตาคนไทยและชาวโลก
หรือใครจะเถียงว่า...ไม่จริง!?
นี่ผมยังไม่ได้พูดถึงผู้คนในต่างจังหวัด จะพากันลุกฮือกันขึ้นฉับพลันทันทีที่ทหารลงมือ โจมตีพี่น้องเพื่อนร่วมชาติของเขาที่สมรภูมิราชประสงค์ โดยพลเมืองเหล่านั้น อาจบุกเข้าโจมตีเป้าหมายต่างๆ โดยเฉพาะที่เป็นหน่วยราชการ...
จากนั้น ไฟสงครามจะแผ่ขยาย ลุกลามไปทั่วประเทศ!

ท่านผู้อ่าน ที่เคารพครับ
เมื่อมีการเข้าปะทะกันอีก การสูญเสียทั้งชีวิตคนและสินทรัพย์มหาศาล ที่ย่านราชประสงค์ อาจมากมายจนสุดประมาณ
แต่ใช่ว่าฝ่ายพลเมืองจะสูญเสียเท่านั้น ฝ่ายทหารก็จะต้องตาย และฉิบหายอย่างย่อยยับด้วยเช่นกัน...
ไม่เชื่อคำพูดผม...ก็ลองบุกดู!
ถ้าการรบอุบัติขึ้น ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นประการใดก็ตาม ผมบอกได้เลยว่า ต่อจากนี้ไป ค่ายทหารทั่วประเทศ จะไม่มีความปลอดภัยหลงเหลืออีกแล้ว พวกทหารจะต้องหดหัวกันอยู่แต่ข้างในค่ายนั่นแหละ
สิ่งที่ฝ่ายทหารอาจยังไม่คำนึงถึง คือภาพพจน์ของประเทศไทยในสังคมโลก จะเป็นอย่างไร?
เคยคิดกันบ้างหรือเปล่า?
ฉะนั้น การที่นายอภิแสบฯตัดสินใจ ยอมอ่อนข้อปรองดองอย่างนี้ จึงเป็นการสำนึกบาป แม้จะไม่ทันเวลา เพราะได้ทำให้เกิดผู้คนล้มตายและความเสียหายมากมายไปแล้ว แต่ก็นับว่ายังดีกว่า
ไม่สำนึก...เอาเสียเลย!

อยากจะเคาะต่อมความรับผิดชอบชั่วดี ของผู้บริหารในคณะรัฐบาล และทหารทั้งหลาย แล้วบอกกับพวกเขาว่า
ตอนที่ชาวบ้านขับไล่กองทหาร ออกพ้นย่านราชดำเนิน หากพวกเขาเป็นผู้ก่อการร้ายจริงๆ อาคารทั้งสองฟากฝั่ง ริมถนนราชดำเนิน รวมทั้งโรงเรียนสตรีวิทย์ ซึ่งเป็นฐานปฏิบัติการสำคัญของฝ่ายทหาร คงวอดวาย
ราบพนาสูร...ไปเรียบร้อยแล้ว!
แต่นี่เป็นเพราะ ในกลุ่มผู้ชุมนุม ไม่มีผู้ก่อการร้ายอย่างที่ฝ่ายรัฐบาลกล่าวหา มิใช่หรือ? กลุ่มอาคารต่างๆของทางราชการและเอกชนบนถนนราชดำเนิน และย่านใกล้เคียง จึงอยู่รอดปลอดภัย ไม่ซ้ำรอยเหตุการณ์ 14 ต.ค.2516 ซึ่งอาคารกองสลาก และอาคารสำนักงาน กตภ. บนถนนสายประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นฐานที่มั่นของ พ.อ.ณรงค์ กิติขจร ถูกเผาวอดวายเป็นจุนไป เพราะอารมณ์ของผู้คนที่กำลังคั่งแค้น
หลักฐานก็มีปรากฏชัดอยู่!
ดังนั้น ด้วยเหตุที่ไม่มีผู้ก่อการร้ายในที่ชุมนุม ตามที่รัฐบาลพยายามใส่ความกล่าวหา อาวุธทั้งหลายที่ถูกยึดมาโดยชาวบ้าน ที่ทหารทิ้งไว้ เพราะรีบเอาตัวรอด หนีตายไปก่อน จึงได้ถูกส่งคืน กลับให้ทางราชการ
อย่างที่เราเห็นกัน!

ขอเตือนรัฐบาลและทหาร จงจำกันให้มั่นว่า...
หากมีความพยายาม ในการเข้าปราบปรามประชาชนอีกครั้ง ความบรรลัยวายวอด จะต้องเกิดขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัยเลย เมืองไทยอันงดงามของเรา จะกลายเป็น “แผ่นดินทมิฬ” ไปในทันที เพราะไม่ใช่แต่สงครามกลางเมืองเท่านั้น หากเมื่อการรบอุบัติแล้ว ก็จะลุกลามไปทั่วประเทศอย่างรวดเร็ว
เกินกำลังเทวดาหน้าไหน จะมาระงับยับยั้งได้!
ผมสงสัยจริงๆว่า ทำไมรัฐบาลนายอภิแสบ จึงดักดาน ไม่เลือกวิธีการเจรจาเสีย ตั้งแต่ต้นมือ กลับดื้อดึงแข็งขึง จนปล่อยให้มีคนล้มตายเยอะแยะ บาดเจ็บก็มากมาย ทรัพย์สินเสียหายมหาศาล จึงจะยอมไต่เล่าเต๊ง ลงมาพูดจา แต่ยังดันออกอาการ‘ยักท่า’ เสียอีก
การเจรจานั้น สร้างความสงบให้บ้านเมืองได้ หากเราเจรจาตอนเช้าไม่สำเร็จ ก็ไปพูดใหม่ตอนกลางวัน ถ้ายังไม่ลุล่วง ก็ไปอีกครั้งในตอนเย็น หากไม่เป็นผล ก็ให้รอไปถึงวันรุ่งขึ้น วันมะรืน และวันต่อๆไป
มันก็ต้องเห็น ‘ทางออก’ กันจนได้!

ไอ้ที่แย่กว่านั้นคนในพรรคดักดาน ที่แก่และเก่ากว่าหัวหน้าพรรค ยังดันทะลึ่ง ออกอาการไม่เห็นด้วย กับท่าทีของหัวหน้าตน ที่เอาชนะประชาชนไม่ได้ จึงยอมเลือกทางปรองดอง โดยพวกดานดักเหล่านี้ ออกมาพูดในทำนองว่า
“โรดแมปนั้น เป็นโรดของมึงคนเดียวนะโว้ย...ไอ้มาร์ค ไม่ใช่โรดของตาชวน โรดไอ้เทือก หรือโรดของพวกกู!”

แม้พวกเราประชาชนคนไทยส่วนใหญ่ จะไม่ได้สนับสนุนนายมาร์ค มุกควาย แต่ก็คราวนี้คงต้องกัดฟัน แล้วช่วยกันร้องตะโกนดังๆ ส่งเสียงไปถึงหัวหน้าพรรคเก่ากะลา ที่กำลังจะถูกยุบไปว่า
“อภิแสบฯ...เอ็งอย่าไปกลัวโว้ย...ไอ้พวกนี้มันกลัวโดนขุดเรื่องชั่ว เรื่องกิน เรื่องโกง ออกมาตีแผ่ บอกพวกมันไปเลยว่า...
...โรคแมปเป็นของกู พวกมึงมันเป็นแค่ ส.ส. ไม่มีโรดโว้ย
กูคนเดียวเท่านั้น ที่มีโรด ให้เดินไป ‘ยุบสภา’ ได้...
...เข้าใจๆไหม...ไอ้พวกโง่!!”
พูดมันไปแรงๆ อย่างนี้แหละ...ใครจะทำไม!?

ก่อนจะจบ มีคนเขาฝากบอกสมาชิกพรรคดักดาน เพื่อสื่อสารไปถึง ไอ้คนที่คิดจะปราบปรามชาวบ้าน ให้รู้กันชัดๆตรงนี้ว่า

“มึงจะบุกราชประสงค์ ไปฆ่าประชาชนนั้น มันไม่ง่ายเหมือนปิดประตู แล้วแอบตีตูด ‘เมีย’ เพื่อนร่วมพรรค...นะโว้ย!!!”

*************

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น