การปฏิวัติไทยกำลังยกระดับสู่ขั้นใหม่
ปัญญา แพร่พันธุ์
ปรัชญาการทหาร
ในทรรศนะส่วนตัวชองผู้เขียน นิพนธ์การทหาร ของเหมาเจ๋อตง ก็เป็นตำราสงคราม เล่มหนึ่ง ไม่ต่างไปจาก ตำราพิชัยสงครามของซุนหวู่ ที่เข้าใจว่าเป็นสรุปจากความจัดเจนจากสงครามในยุคโบราณซึ่งเป็นยุคทาสของจีน แต่ นิพนธ์การทหาร ของเหมาเจ๋อตง เกิดขึ้นจากการสรุปความรู้และความจัดเจนในสงครามยุคใหม่ของการปฏิวัติที่มีลักษณะเฉพาะของจีน กล่าวคือ ในสงครามที่นำโดยพรรคคอมมิวนิสต์จีนในสังคมที่มีลักษณะกึ่งเมืองขึ้นกึ่งศักดินาของจีน นิพนธ์การทหารทั้งสองมีลักษณะร่วมกันคือมีลักษณะเป็นปรัชญาการทหารที่เป็นวัตถุนิยม (จับต้องได้ มีสองด้าน เคลื่อนไหว และเปลี่ยนแปลง)
จากการนำหลักการทหารของเหมาเจ๋อตงไปปฏิบัติ และประสบความสำเร็จ อย่างไรก็ตาม หลักการทหารของเหมาเจ๋อตง ก็มีปัญหาในตัวของมันเอง นั้นคือ ไม่สามารถเอาหลักการนี้ไปใช้ด้วยจินตนาการเพียงอย่างเดียว อย่างตายตัว ไม่พลิกแพลง และไม่อยู่บนปฏิบัติการที่เป็นจริง และโดยปราศจากจิตสำนึกทางชนชั้น (ชนชั้นผู้ถูกกดขี่) ทำให้งานของเหมาเจ๋อตง มักฟังดูง่ายแต่เข้าใจยากหากไม่ใช้ความคิดวิทยาศาสตร์และจิตสำนักทางชนชั้น เอาไปจับ นี่คือเหตุผลว่า แม้มีการศึกษานิพนธ์การทหารของเหมาเจ๋อตงในสถาบันการศึกษาการทหารในประเทศตะวันตกอย่างเวสต์ปอยต์ ทหารอเมริกัน ก็ไม่สามารถเข้าใจและนำหลักการทหารนี้ไปต่อต้านสงครามประชาชนในประเทศต่าง ๆ ได้ พวกเขาจึงมักเริ่มต้นด้วยการเป็นฝ่ายรุกในตอนเริ่มแรก แต่ในเวลาไม่ช้าไม่นานก็จะตกเป็นฝ่ายรับ จะเป็นเพราะอะไรนั้นต้องขอรบกวนผู้อ่านให้ไปค้นคว้าดูอีกที
ไม่ต้องพูดถึง จปร. รบกับคอมมิวนิสต์อยู่ตั้งหลายปี และกองทัพไทยก็เคยชนะคอมมิวนิสต์มาแล้ว แต่ไม่ใช่ด้วยมาตรการทางการทหารแต่เป็นมาตรการทางการเมือง แค่ก็ลืมไปแล้ว ใช้วิธิคิดด้านเดียว เป็นอย่างนี้อยู่เสมอ
ความจริงที่เปิดเผยชึ้นภายหลัง 30 ปี
หลังจากเวลาผ่านไป 30 ปี จึงรู้ว่าทำไม กองทัพไทยจึงชนะคอมมิวนิสต์ได้ ความจริงแล้วหาใช่นโยบาย 66/23 ไม่ แต่หากเป็นเพราะ มีพวกทรยศแอบแฝงอยู่ภายในพรรค พวกเขาได้ใช้แนวทางฉวยโอกาสเอียงซ้าย ในเสื้อคลุมของความคิดเหมาเจ๋อตง มาทำลายล้างนักปฏิวัติลัทธิมาร์กซ-เลนินที่แท้จริงจำนวนมาก ภายในพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย จนกระทั่งพรรคอันเป็นกองหน้าอันมีเกียรติของมวลผู้ถูกกดขี่ขูดรีดต้องล่มสลายลงไปในที่สุด ความจริงนี้ได้เปิดเผยขึ้นเมื่อเหล่าผู้ทรยศซากเดนศักดินาแดงพากันไปร่วมมืออย่างเปิดเผยกับพวกศักดินาอมาตยาธิปไตย พลังกดขี่ขูดรีดปฏิกิริยาเก่าแก่ที่สุดของไทย ก่อการปฏิปักษ์ปฏิวัติ คัดค้านการเคลื่อนไหวปฏิวัติประชาธิปไตยของประชาชนไทย
แก้ว 3 ประการ
หลักการทหารของเหมาเจ๋อตง ไม่ใช่เป็นเพียงแค่ “เองมาข้ามุด เองหยุดข้าแหย่ เองแย่ข้าตี เองหนีข้าตาม” อย่างที่เสธ.แดง มักพูดถึง เท่านั้น (ทรรศนะของเขา เป็นทรรศนะแบบด้านเดียว หยุดนิ่ง และไม่เปลี่ยนแปลง) หลักการทหารของเหมาเจ๋อตงมีเป็นอะไรมากกว่านี้มาก แต่ที่สำคัญมันต้องเริ่มต้นจาก ความเป็นธรรมของสงคราม เป็นอันดับแรก ไปสู่ การสร้าวพรรคและกองทัพที่ปฏิวัติ ยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี ที่เป็นวัตถุนิยมวิภาษ ดังนั้น การท่องนิพนธ์การทหารเหมาเจ๋อตง โดยไม่มีพื้นฐานลัทธิวัตถุนิยมวิภาษ และทฤษฎีวิวัฒนาการสังคม (วัตถุนิยมประวัติศาสตร์) ตลอดจนความรู้เกี่ยวกับลักษณะเฉพาะของสังคมกึ่งเมืองขึ้นกึ่งศักดินาของจีน ก่อนปี 1949 และ ลักษณะทางภูมิศาสตร์ของจีน ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะสามารถยึดกุมหลักการทหารเหมาเจ๋อตงไปใช้ได้ทั้งหมด
แม้ผู้เขียนเอง ก็เพิ่งมาเข้าใจรายละเอียดบางอย่างเมื่อได้มีโอกาสไปเห็นภูมิประเทศจริง ๆ ของสถานที่ต่าง ๆ ที่กล่าวถึงในนิพนธ์การทหารเหมาเจ๋อตง ในหูหนาน เจียงซี ส่านซี หูเป่ย และเหลียวหนิง ซึ่งก็ไม่มีที่ไหนเหมือนกับเมืองไทยเลยสักที่
ไม่ต้องพูดถึงเรื่อง “แก้ว 3 ประการ” ได้แก่ พรรค – กองทัพ – แนวร่วม ที่ใครต่อใครพากันท่องจนกลายเป็น “คาถา” ไปแล้ว แต่ไม่มีใครพูดถึง ทฤษฎี ที่ชีนำ “พรรค – กองทัพ – แนวร่วม” ความจริงแล้ว ไม่มี จิตสำนึกที่ปฏิวัติ และไม่มีทฤษฎีที่ปฏิวัติ ก็จะไม่มีอะไรเลย “แก้ว 3 ประการ” ก็เป็นได้แค่ “คาถา” ทำให้ดูขลังเท่านั้นเอง ในเวลานี้กล่าวได้ว่าฝ่ายประชาธิปไตยเราก็ยังไม่มีเลยสักแก้ว
การประเมิน
การประเมิน เป็นความจำเป็นยิ่งยวดก่อนที่จะตัดสินใจกระทำการใด ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการสู้รบ ซึ่งเป็นปรกติที่ฝ่ายเรามักจะมีแต่ความขาดแคลนความอ่อนด้อยและความอ่อนแอ ความผิดพลาดย่อมหมายถึง ความพ่ายแพ้ที่อาจจะมีผลชี้ขาดการดำรงอยู่ของเรา ดังนั้นด้วยความสำนึกเช่นนี้บังคับให้เราไม่สามารถหลับหูหลับตากระทำการใด ๆ โดยไม่สำรวจและประเมินได้
อย่างเวลานี้ มีปรากฏการณ์ ความเคลื่อนไหวรัฐประหารที่ปฏิกิริยา ท่าทีทั่วไปของคนเสื้อแดงก็คือ ลุกขึ้นเผชิญหน้ากับมันในทันที ในทรรศนะของผม นั่นมันเป็นแต่ “หลักยุทธศาสตร์ทั่วไป”เท่านั้น แต่ในทางยุทธวิธี ผู้เขียนมีความเห็นเสนอให้ เริ่มต้นด้วย “การถอยถอยไปสู่พื้นที่หนึ่งที่เตรียมเอาไว้ล่วงหน้า ในขณะเดียวกันต้องกุมสภาพให้แจ่มชัด ว่า พวกปฏิกิริยามีการเคลื่อนไหวอย่างไร มีเป้าหมายอยู่ที่ไหน มีกำลังที่เปิดเผยและปกปิดเท่าไหร่ มาจากไหน ฯลฯ สำหรับคราวนี้ ผมมีสมมุติฐานว่า เขาจะใช้ยุทธวิธีดับเบิลเอนเวลลอบเม้นต์ กล่าวคือ ใช้กำลังเปิดเผยส่วนหนึ่งไปยึดจุดยุทธศาสตร์เป็นเป้าล่อ และวางกำลังที่ปกปิดไว้อีกส่วนหนึ่ง เพื่อซุ่มโจมตีตลบฝ่ายเราที่บุกเข้าตีโต้ ดังนั้นต้องพิสูจน์ทราบให้เห็นกำลังส่วนนี้ของศัตรูเสียก่อน ... อะไรทำนองนี้
การสู้รบของประชาชนเริ่มต้นด้วย “การถอย” เสมอ
ในความจัดเจนในสงครามปฏิวัติที่ผ่านมา ไม่เคยมีสักครั้งที่ เมื่อข้าศึกยกมาล้อมปราบแล้วเราจะสู้ไม่ถอย พอมันมาเราก็ถอยแล้ว ถอยเพื่อไม่ให้เราตกเป็นฝ่ายถูกกระทำ เปลี่ยนแปลงเงื่อนไขให้เราเป็นฝ่ายกระทำอยู่เสมอ เมื่อถอยไปสักพักเราจึงจะเห็นสภาพทั้งหมดของสถานการณ์ ข้าศึกก็จะเปิดเผยตัวออกมา จนกระทั่งเราลากพวกเขาให้ตามเราลึกเข้ามา แล้วเราก็จะพบจุดอ่อนของเขา เมื่อสภาพแจ่มชัดแล้วจึงตัดสินใจรวมศูนย์กำลังเข้าตีที่จุดอ่อนนั้น หากยังไม่พบจุดอ่อนของข้าศึกก็ต้องถอยต่อไป เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เราตกอยู่ในวงล้อมสูญเสียภาวะการเป็นฝ่ายกระทำ และหาโอกาสที่จะล้อมและทำลายข้าศึกที่กระจายตัวหลงติดตามมา ขอย้ำว่า ยุทธวิธีนี้เป็นยุทธวิธีที่ใช้ได้ผลเสมอ ไม่พลาดเลยสักครั้ง แต่พวกฮาร์ดคอร์ไม่ชอบไม่สะใจพวกเขาแน่ ๆ แต่ก็ต้องตามใจพวกเขา เพราะพวกเขาจะได้เป็น วีรชน รายต้น ๆ ในประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยไทยยุคใหม่
ดังนั้น เราจึงพอสรุปเป็น “กฎ ได้ว่า ให้ลากส่วนกำลังของข้าศึก ออกมาจากศูนย์กลางของพวกเขา (ให้กระจายออก) เมื่อถึงระดับหนึ่งแล้ว สภาพสนามรบจะแจ่มชัดจนสามารถประเมินสภาพได้ ค้นพบจุดอ่อนที่สำคัญของข้าศึก และข้าศึกก็อ่อนล้าเต็มที่ แล้วเราจึงรวมศูนย์กำลังของเราเข้าอย่างรวดเร็วให้มีความเหนือกว่าอย่างสมบูรณ์ต่อจุดอ่อนของข้าศึกนั้น แล้วเข้าโจมตีจุดอ่อนนั้นอย่างเต็มที่รุนแรง ในสภาพที่ข้าศึกกระจายออกไกลจากศูนย์กลางมากและอ่อนล้าที่สุดแล้ว ก็จะพ่ายแพ้อย่างรวดเร็ว กระบวนการรุกของข้าศึกก็จะพังทลายลง และการล้อมปราบก็จะยุติลง เป็นอย่างนี้มาโดยตลอด ในจีน ในอินโดจีน และในไทยในทุกเขตฐานที่มั่นและเขตจรยุทธ์ ข้อเสียอย่างเดียวก็คือ มันเริ่มต้นจาก “การถอย” ที่ทำให้มวลชนและผู้ปฏิบัติงานมีความยากลำบากที่จะต้องรักษาระดับทางการเมือง และต้องเคลื่อนย้ายพะรุงพะรัง ไปสู่จุดที่กำหนดเอาไว้แล้ว ซึ่งบางทีต้องเดินวกวนและก็ไกลมาก.....
ความสยดสยองสีแดง
ในสถานการณ์ปัจจุบัน ปัญหาที่จะเผชิญหน้าฝ่ายเสื้อแดง ก็คือ เมื่อเกิดรัฐประหารปฏิกิริยาขึ้น จะทำอย่างไรที่จะรักษาการนำพลังมวลชนเอาไว้ให้มีลักษณะเป็นกลุ่มเป็นก้อน ไม่มีการตัดสินใจสุ่มเสี่ยงเอามวลชนไปสูญเสียโดยไม่จำเป็น ในการต่อสู้ครั้งนี้ ศัตรูจะใช้ความรุนแรงจัดการกับฝ่ายเสื้อแดงแน่นอน เมื่อความขัดแย้งได้ยกระดับเป็นความรุนแรงแล้ว การต่อสู้แบบสันติอหิงสาของประชาชนก็จะสิ้นสุดลงไปในทันที ภายใต้สภาพที่ฝ่ายการนำจะไม่สามารถสื่อสารกับมวลชนไปชั่วขณะ เนื่องจากถูกกวาดล้างทำลายและอยู่ในสภาพถอยหนี อันตรายที่เกิดขึ้น ก็คือ สภาพไร้การนำ และเป็นอนาธิปไตยสมบูรณ์ แน่นอนว่าการต่อสู้แบบอนาธิปไตยนี้จะนำไปสู่การสูญเสียที่ไม่จำเป็นเป็นจำนวนมากในขอบเขตเขตกว้างใหญ่ ยิ่งเกิดข่าวลือว่าแกนนำสำคัญถูกจับถูกฆ่า (อันนี้เกิดขึ้นแน่นอน) จะสร้างความโกรธและเคียดแค้นขึ้นอย่างรุนแรง เมื่อประชาชนสู้กับกำลังติดอาวุธของศัตรูไม่ได้ ความเคียดแค้นทั้งหมดก็จะพุ่งไปสู่เป้าหมายที่เปราะบางกว่าของศัตรู อย่างสมาชิก พธม. องค์กรอิสระ ตุลาการ ส.ว. ส.ส.รัฐบาล สื่อ นักวิชาการ คนเสื้อเหลือง ฯลฯ ซึ่งอาจเลยเถิดไปถึงบุคคลใกล้ชิดของคนเหล่านั้น ลองนึกเอาเถิดว่า มันจะน่าสยดสยองแค่ไหน
เรื่องอย่างนี้ ไม่ถูกต้องและไม่เป็นธรรม แต่เป็นเหตุที่ช่วยได้ยาก เพราะสังคมเวลานี้ก็ไม่มีความเป็นธรรมอะไรเหลืออยู่แล้ว ขืนไปห้าม คนห้ามก็จะโดนไปด้วย พวกอมาตย์ไม่รู้ตัวว่า การรัฐประหารครั้งนี้ที่หวังว่าจะมากอบกู้ชีวิตของพวกเขาจะกลับกลายเป็นคำสั่งประหารชีวิตสังหารหมู่พวกเขาเองจำนวนมาก ... คิดทำอะไรคิดให้ดีเสียก่อน
เมื่อเกิดรัฐประหารโดยฝ่ายอมาตย์ พวกเขาทั้งหลายต้องรีบเดินทางหนีออกนอกประเทศทันที เพื่อความปลอดภัย ถ้าไม่รีบหนีไปเสีย ภัยจะถึงตัวอย่างเลี่ยงไม่ได้ เดี๋ยวจะว่าไม่เตือน
กองกำลังไม่ทราบฝ่ายปรากฏตัว?
ที่จริงแล้ว หากพวกปฏิกิริยาก่อรัฐประหารและปราบปรามขบวนการเสื้อแดงอย่างรุนแรง สงครามกลางเมืองย่อมเกิดขึ้นทันทีโดยไม่ต้องประกาศ และเมื่อสภาพกำลังฝ่ายปฏิกิริยาเปิดเผยออกมาหมดแล้ว กำลังฝ่ายประชาธิปไตย ก็จะเปิดเผยขึ้น ทั้งที่เป็นกำลังทางการเมือง อย่าง “รัฐบาลพลัดถิ่น” และที่เป็นกำลังติดอาวุธ ที่รู้จักกันในนามที่ นายเคทอง ดี.เจ.ไทยเสรี คู่ใจเสธ.แดง มักกล่าวถึงว่า “กองกำลังไม่ทราบฝ่าย” ที่จะกระทำรัฐประหารซ้อน (หากไม่สำเร็จ จึงกระเกิดกองทัพชนิดใหม่ขึ้น) อันที่จริงก็ไม่มีใครรู้ว่ามีกำลังส่วนนี้จริง ๆ หรือเปล่า
ผู้เขียนไม่เชื่อ และไม่หวังพึ่งพา “กองกำลังไม่ทราบฝ่าย” นี้เป็นอันขาด แต่ก็จะสมมุติว่า “มี” เอาไว้ก่อน ก็แล้วกัน ในยกแรกก็จะชี้ขาดกันที่ การปะทะกันครั้งนี้ ถ้าฝ่ายประชาธิปไตยชนะ ก็จะพอลดการสูญเสียที่ไม่จำเป็น และความสยดสยองแดงลงไปได้มาก แต่ถ้ายกแรกไม่ได้ผล มีแต่ “รัฐบาลพลัดถิ่น” ไม่มี “กองกำลังไม่ทราบฝ่าย” และการต่อต้านรัฐประหารของคนเสื้อแดงล้มเหลว ก็ยังถือว่า ยกที่หนึ่ง ฝ่ายประชาธิปไตย ได้คะแนนนำ ได้ “รัฐบาลพลัดถิ่น” เป็นองค์การนำที่แท้จริงของตนขึ้นมา และไม่มีการใส่เสื้อแดงกันอีกต่อไป เวลานี้แหละที่ “แก้ว 3 ประการ” จะเกิดขึ้นมาจริง ๆ
อำนาจรัฐแดง
ถ้ายกแรกไม่สำเร็จ คราวนี้ ช่วงแรก การต่อสู้จะเป็นการต่อสู้ใต้ดินที่รุนแรง จากนั้นจึงจะมีเงื่อนไขเกิด “กองทัพประชาชน” ขึ้น เกิดจรยุทธ์ เกิดเขตปลดปล่อย เกิดเขตจรยุทธ์จำนวนมากในชนบทและในเมืองที่ขึ้นต่ออำนาจรัฐรัฐบาลพลัดถิ่น อย่างที่พวกปฏิกิริยา-อมาตยาธิปไตยจะไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน มีสภาพเหมือน 3 จังหวัดภาคใต้ แต่จะรุนแรงกว่าทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความรุนแรงในการปราบของฝ่ายปฏิกิริยา แม้แต่ในทุกวันนี้ มีพื้นที่จำนวนมากที่ตำรวจทหารฝ่ายปกครองจะเข้าไปเคลื่อนไหวต่อต้านฝ่ายเสื้อแดงไม่ได้อยู่แล้ว ไม่ต้องพูดถึงสภาพทางสากลที่รัฐบาลอมาตยย์ไทยจะถูกโดดเดี่ยวอย่างหนัก และในที่สุดจะต้องยอมสงบศึกกับ “รัฐบาลพลัดถิ่น” แต่ทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
จะมีคนถามน่าเบื่อว่า “จะอีกนานไหม?” ... จะไม่ตอบก็ไม่ดี จะสวนกลับก็จะเสียมวลชน เอางี้ก็แล้วกัน ขอตอบว่า อีกไม่นานหรอกครับ ทุกอย่างจะจบลงเมื่อมีคนเลิกถามว่า “จะอีกนานไหม?”
ย้ำคำเตือนสุดท้าย
ขอเตือนว่าสภาพที่น่ากังวลที่สุดคือ สภาพอนาธิปไตยของการต่อสู้ของคนเสื้อแดงที่เกิดขึ้นหลังจากแกนนำเสื่อแดงถูกกำจัดลง ซึ่งไม่เพียงแต่จะทำให้คนเสื้อแดงมีความสูญเสียจำนวนมาก แต่การตอบโต้อย่างสยดสยองต่อ ฝ่ายปฏิกิริยา ของคนเสื้อแดงก็จะรุนแรงไม่แพ้กันหรืออาจรุนแรงยิ่งกว่าเสียอีก เนื่องมาจากความคับแค้นต่อความอยุติธรรมและโทษกรรมทั้งหลายที่พวกปฏิกิริยาได้ก่อขึ้น
ผู้เขียนสบายใจขึ้นที่ได้เตือนไปแล้ว เพื่อปลดภาระทางมโนธรรมส่วนตัว ไม่ต้องรับผิดชอบทางประวัติศาสตร์ต่อการกระทำและเหตุการณ์ทั้งหลายที่จะหลอกหลอนผู้คนอีกจำนวนมากในอนาคต
แล้วท่านผู้อ่านจะคิดอย่างไร
**********************************
หมายเหตุ: บทความนี้ เบื้องต้นเป็นข้อความที่วางไว้ใน เว็ปบอร์ด นิวสกายไทยแลนด์ เป็นความคิดเห็นภายใต้กระทู้ชื่อ “ประเมินสูง” หรือ “ประเมินต่ำ” ที่ ผู้เขียนนำมา แก้ไขเพิ่มเติม ความเกี่ยวโยงทั้งหมดของบทความ สามารถ ดูได้ที่ลิงค์ http://.us/board/index.php?topic=5554.msg29795;topicseen#new
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น