หลังจากลองผิดลองถูก แก้ไขปัญหาอย่างสะเปะสะปะ จนเกิดการสูญเสียทั้งชีวิตผู้คน ทั้งโอกาสทางเศรษฐกิจ และผลกระทบต่างๆ
ในที่สุด รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ยอมใช้แนวทางการเมือง เข้าแก้ปัญหาการชุมนุมของเสื้อแดง
การชุมนุมของเสื้อแดงยืดเยื้อมาตั้งแต่วันที่ 14 มีนาคม ข้ามเดือนเมษายนมาจนถึงเดือนพฤษภาคม
มีการปะทะ 3 ครั้ง ผู้เสียชีวิต 27 คน บาดเจ็บอีกร่วมพันคน
รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ชูคำขวัญ "นิติรัฐ" ใช้กฎหมายจัดการกับผู้ชุมนุม ใช้กำลังเจ้าหน้าที่เข้าจัดการครั้งแล้วครั้งเล่า
ระดมกำลังเจ้าหน้าที่จากทั่วประเทศ จนเกิดการปะทะกับเสื้อแดงต่างจังหวัดที่ฮือกันออกมาตั้งด่านสกัดตำรวจทหารไม่ให้เข้ากรุงเทพฯ
ขยายสภาพวิกฤตไปทั่วประเทศ
ร้อนถึงฝ่ายทหาร คนถือปืนแท้ๆ ต้องเข้ามารับบทนักการทูต ท้าวมาลีวราช จัดการพบปะทางลับให้กับทั้งสองฝ่าย
ก่อนที่นายกฯ อภิสิทธิ์จะเกริ่นกับสื่อญี่ปุ่นที่เข้าสัมภาษณ์พิเศษว่า จะยอมลดเวลาในการยุบสภา ที่เคยยืนยันไว้ที่ 9 เดือนลง
และต่อมาวันที่ 3 พฤษภาคม นายกฯ อภิสิทธิ์ได้แถลงแผนการ ปรองดอง 5 ข้อ หรือ "โรดแม็ป" เพื่อให้บ้านเมืองคืนสู่ความสงบสุข
โรดแม็ป 5 ข้อของนายอภิสิทธิ์ก็คือ
1.ทุกฝ่ายจะต้องไม่ดึงสถาบันพระมหากษัตริย์เข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมือง
2.ให้มีการปฏิรูปประเทศ แก้ปัญหาความไม่เป็นธรรมในสังคมและในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นรากฐานของความขัดแย้งทางการเมือง
3.ต้องมีการปฏิรูปสื่อ ไม่ให้ละเมิดสิทธิ ไม่เสนอข่าวสารที่มุ่งสร้างความขัดแย้ง และนำไปสู่การใช้ความรุนแรง
4.ให้มีคณะกรรมการอิสระเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงในเหตุการณ์ต่างๆ เพื่อให้ความจริงแก่สังคม
5.ระดมความเห็นเพื่อพิจารณาการนิรโทษกรรมคดีทางการเมือง
นายอภิสิทธิ์แถลงประโยคสำคัญว่า หากได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่าย นำความปรองดองมาสู่สังคมได้ จะจัดให้มีการเลือกตั้งได้ในวันที่ 14 พฤศจิกายน
คำแถลงในแนวทางปรองดองนี้ ช่วยลดอุณหภูมิที่ร้อนระอุลงทันที
ภายหลังคำแถลงของนายอภิสิทธิ์ เสียงตอบรับจากเวทีเสื้อแดงที่สี่แยกราชประสงค์ เต็มไปด้วยความยินดีปรีดา
ที่จริงบรรยากาศที่สี่แยกราชประสงค์เริ่มผ่อนคลายมาหลายชั่วโมงก่อนหน้านั้นแล้ว
ไฮไลต์ของโรดแม็ปที่ม็อบเสื้อแดงให้ความสนใจเป็นพิเศษ อยู่ที่การระบุถึงการยุบสภาและการเลือกตั้ง
อย่างไรก็ตาม ในคำแถลงนายอภิสิทธิ์ไม่ยอมกล่าวถึงวันยุบสภา
แต่กลับระบุเฉพาะวันเลือกตั้ง 14 พฤศจิกายน
ทำให้แกนนำเสื้อแดงขึ้นเวที ประกาศขอความชัดเจน ให้นายอภิสิทธิ์ระบุวันยุบสภาให้ชัดเจน
ซึ่งหากนายอภิสิทธิ์ยอมระบุวันทางเสื้อแดงก็จะสลายตัวในวันที่ 5 พฤษภาคม โดยได้ประสานงานกับกระทรวงคมนาคม ให้จัดรถส่งคนเสื้อแดงกลับภูมิลำเนาเดิม
อย่างไรก็ตาม ความพยายามง้างปากนายกฯ อภิสิทธิ์ให้ระบุวันยุบสภา ไม่ประสบความสำเร็จ
โดยพรรคประชาธิปัตย์ส่งคนออกมาชี้แจงแทนนายอภิสิทธิ์ ว่า การยุบสภาเป็นพระราชอำนาจ กระทำโดยพระราชกฤษฎีกา
ดังนั้น นายกรัฐมนตรีไม่มีอำนาจกำหนดวัน แต่จะกำหนดได้เป็นช่วงเวลาเท่านั้น ซึ่งนายกฯ ได้ระบุชัดเจนแล้วว่าจะยุบสภาในช่วงวันที่ 15 ถึง 30 กันยายน
ตามมาด้วยเกมเล่นแง่ของพรรคประชาธิปัตย์
เมื่อกลุ่มเสื้อหลากสี กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กลุ่มพรรคการเมืองใหม่ ตบเท้าออกมาประกาศว่า ไม่เห็นด้วยกับการยุบสภา
ถึงขนาดตั้งข้อหาว่า ทรยศ ยอมประนีประนอมกับกลุ่มที่จะสถาปนารัฐไทยใหม่
และเข้าพบนายกฯ ที่ทำเนียบรัฐบาลกันอย่างคึกคัก
ขณะที่นายกฯ อภิสิทธิ์ออกมาเปิดเผยว่า มีแฟนคลับโทรศัพท์และส่งเอสเอ็มเอสมาแสดงความไม่พอใจจำนวนมาก
รายหนึ่งส่งเอสเอ็มเอสมาด่าว่า ไอ้เฮงซวย เสียดายที่เคยรัก
และนายกฯ ก็ยังอุตส่าห์แบ่งเวลาโทร.กลับไปชี้แจง เอสเอ็มเอสชี้แจงไป
ก็ต้องถือว่าเป็นเกมทิ้งทวนของพรรค ขยายภาพของฝ่ายสนับสนุนรัฐบาลกันอย่างเต็มที่ เพื่อเรียกคะแนนนิยม ในยามเพลี่ยงพล้ำทางการเมือง
หรือถ้ากลุ่มนี้ขยายตัวออกไปอีก ก็อาจจะใช้เป็นไพ่อีกใบ ในการต่อรองกับเสื้อแดงก็ได้
เบื้องหลังโรดแม็ปปรองดองในครั้งนี้ เกิดจาก "ความสุกงอม" ของหลายปัจจัย
ฐานของรัฐบาลได้แก่ ฝ่ายทหารตำรวจ กำลังหลักตามกฎหมายความมั่นคงและพ.ร.ก.ฉุกเฉิน หมดความอดทน และไม่ต้องการนำกองทัพมาเกี่ยวข้องกับปัญหาทางการเมืองมากไปกว่านี้
พรรคร่วมรัฐบาลก็เห็นว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นมากเกินไป ควรจะต้องประนีประนอม โดยแก้รัฐธรรมนูญ ยุบสภา เลือกตั้งใหม่
รวมถึงกระแสสังคมที่เห็นว่า รัฐบาลจัดการกับม็อบผิดพลาด จนเกิดการสูญเสียล้มตายจำนวนมาก
ภายในพรรคประชาธิปัตย์เอง ต้องเผชิญกับหลายปัญหา ทั้งปัญหาการนำของนายกฯ อภิสิทธิ์ ที่เกาะกลุ่มอยู่กับคนสนิท จนนำพรรคเข้าสู่วิกฤต
แต่เรื่องใหญ่ไม่แพ้กัน ก็คือความวิตกว่าจะเจอแจ๊กพอตจากคดีเงินอุดหนุนพรรคการเมือง 29 ล้านบาท ที่กำลังเข้าสู่การพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ
จนต้องปรับแผน หันมาทุ่มกำลังในการต่อสู้คดีอย่างเต็มที่
เพราะเกรงว่าคดีนี้อาจจะมีคำตัดสินออกมาอย่างรวดเร็ว และหากพรรคประชาธิปัตย์โดนยุบพรรคก่อนยุบสภา อาจส่งผลให้ดุลการเมืองเปลี่ยน
พรรคประชาธิปัตย์อาจไม่อยู่ในฐานะพรรคที่มีส.ส.มากที่สุดในสภาอีกต่อไป หรืออาจหลุดจากการเป็นพรรครัฐบาล
ขณะที่คนเสื้อแดงสามารถรักษาจำนวนผู้ชุมนุมในระดับที่ทำให้รัฐบาลไม่สามารถใช้มาตรการสลายการชุมนุมได้ และบีบให้รัฐบาลต้องกลับมาใช้แนวทางการเมืองด้วยการปรองดองในที่สุด
อย่างไรก็ตาม เส้นทางการปรองดองคงไม่ราบรื่น เนื่องจากพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งจะต้องเป็นผู้สูญเสียอำนาจ ย่อมไม่อาจทำใจกับการสูญเสียได้โดยง่าย และต้องหาโอกาสพลิกสถานการณ์ให้ตัวเอง
แต่ความล้มเหลวจากการแก้ปัญหาม็อบตลอดเวลาร่วมสองเดือนที่ผ่านมา และสถานะของพรรคที่อาจถูกยุบ จะทำให้อำนาจต่อรองของพรรคประชาธิปัตย์เหลือน้อยมาก
คาดหมายได้ว่า การเมืองหลังจากนี้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง
แม้จะมีกลุ่มอำนาจบางกลุ่มพยายามแทรกแซงและฝืนความเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ก็ตาม
ที่มา.ข่าวสดรายวัน
"""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น